ใครหว่า...คิดไม่เป็น

ผู้ใหญ่หลายคนชอบพูดว่า เด็กไทยคิดไม่เป็น แล้วจะทำให้พวกเขาคิดเป็นอย่างไรล่ะ
"ความรู้ คู่คุณธรรม นำสู่อนาคต" คำขวัญวันเด็กในปีนี้
..............................
เคยได้ยินได้ฟังบ่อยๆ ที่ผู้ใหญ่ของประเทศนี้ พูดอยู่เรื่อยๆ ว่า "เด็กไทยคิดไม่เป็น ตามกระแส ไม่มีความรับผิดชอบ...."
แล้วเราจะพัฒนาเด็กอย่างไร
ทั้งๆ ที่รู้ว่า เยาวชนคือ รากฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศ แล้วผู้ใหญ่วันนี้หันมาทบทวนตัวเองบ้างไหมว่า คุณและหน่วยงานทั้งหลายแหล่ที่มีส่วนในการพัฒนาเด็กได้ทำอะไร เพื่อเด็กบ้าง
เหมือนเช่นคำขวัญวันเด็กปีนี้...มีความรู้อย่างเดียวไม่พอ ต้องมีปัญญา และคุณธรรมด้วย ทั้งสองอย่างเป็นของคู่กัน
ยังไม่ถึงเวลาใช้สมอง
"เด็กยุคนี้ เปรียบเสมือนต้นไม้ยักษ์ แต่เอาพวกเขามาใส่กระถาง เรียนบทเรียนโบราณ ทั้งๆ ที่ยุคนี้ กดสมาร์ทโฟนนิดเดียว ก็รู้ทั้งโลก" สมศรี ธรรมสารฏโสภณ เจ้าของโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษครูสมศรีที่คลุกคลีกับเด็กมาทั้งชีวิต เล่าให้ฟัง เมื่อปลายปีที่แล้ว
เธอเปรียบเปรย เพื่อให้ผู้ใหญ่กลับมาทบทวนตัวเอง
"ไม่ใช่ว่า พวกเขาจะแยกผิด แยกถูก ไม่ได้เลย มีเยาวชนมากมายที่ทำประโยชน์ ทำสิ่งดีๆ ให้สังคม" สิ่งดีๆ ที่คุณครูสมศรีเล่า ผู้ใหญ่บางคนก็มองเห็น บางคนก็มองไม่เห็น จำได้ไหมช่วงน้ำท่วมใหญ่ เยาวชนกล้ามเป็นมัดๆ หรือเอวบางร่างน้อย มาร่วมกันเป็นอาสาสมัครช่วยคนแก่และเด็ก หรือเยาวชนที่ทำคลิปให้ความรู้ผู้ใหญ่เรื่องปัญหาน้ำท่วม
คุณครูสมศรี เล่าถึงตัวเองว่า เราเคยเป็นเด็กโง่ แต่แม่ให้ความเชื่อมั่นมาตลอด
"ญาติๆ เคยถามแม่ว่า ลุูกคนเล็ก (เรา) ไม่ฉลาด แล้วตอนนี้ฉลาดหรือยัง แม่ก็บอกว่า ไม่ใช่...มันไม่ฉลาด แต่มันยังไม่ใช้สมอง"
กรณีนี้เห็นได้ว่า การต่อจิกซอในสมองเด็กให้คิดเป็น ไม่จำเป็นที่พ่อแม่ต้องฉลาดหรือเรียนสูงๆ แต่สามารถสอนทักษะการใช้ชีวิตที่พวกเขามีและเป็น นั่นก็คือ ให้ลงมือทำด้วยตนเอง
.............................
คิดให้เป็นประโยชน์
"ถ้าจะบอกว่า เด็กไทยคิดไม่เป็น ใจร้ายเกินไปหรือเปล่า" ครูวิภา เกตุเทพา หัวหน้างานแนะแนว โรงเรียนสตรีวิทยา 2 และประธานแนะแนวกรุงเทพมหานคร สมาคมแนะแนวแห่งประเทศไทย บอก
เธอโยงให้เห็นว่า สาเหตุที่เด็กหลายคนคิดไม่เป็น ทั้งๆ ที่อยากคิด แต่คิดแล้ว ไม่มีคนยอมรับ ไม่มีคนฟัง ทำให้พวกเขาไม่กล้าคิดและนำเสนอ เพราะเด็กบางคนแค่พูดออกมา ก็ถูกหัวเราะและปฎิเสธแล้ว นี่เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ ต้องช่วยเสริมความคิดพวกเขา
ผู้ใหญ่ต้องกระตุ้นความคิดและจัดบรรยากาศสิ่งแวดล้อม ให้โอกาสคิดอย่างสร้างสรรค์ ครูวิภา บอกว่า เด็กทุกคนคิดเป็น แต่คิดเป็น คือ คิดให้เป็นประโยชน์ ถ้าคิดแบบตามโลก ตามสมัย ก็ไม่เป็นประโยชน์
"ดังนั้น การที่จะส่งเสริมให้เด็กคิด ก็ต้องมาจากต้นทุนคือ คนรอบข้าง ครอบครัว และการเรียนรู้ที่โรงเรียน"
................
คิดให้ทันเด็กสิ
ถ้าจะให้เด็กคิดเป็น ต้องเริ่มที่ผู้ใหญ่คิดเป็นก่อน หากบอกว่า สังคมไทยขาดระเบียบวินัย ก็เพราะผู้ใหญ่เป็นอย่างนั้น แล้วจะให้เด็กมีระเบียบวินัยได้อย่างไร
พระอาจารย์กวง(ธีระพันธุ์ ลอไพบูลย์) วัดพิชัยญาติ ซึ่งท่านเคยเป็นศิลปินวาดรูป และเมื่อบวชเรียน ก็ยังทำงานให้ความรู้เยาวชนในบางโอกาส ท่านบอกว่า พระไม่ควรมียศตำแหน่งใดๆ
"ถ้าผู้ใหญ่คนใดบอกว่า เด็กคิดไม่เป็น ผู้ใหญ่นั่นแหละคิดไม่เป็น ผู้ใหญ่ว่าเด็กเอาแต่เล่นเกม แล้วทำไมไม่เล่นกับเด็ก เพื่อจะได้รู้ว่าเกมเหล่านั้น นำมาพัฒนาความคิดทั้งเรื่องภาษา และคณิตศาสตร์อย่างไร อีกอย่างการเล่มเกมจะได้รู้ว่า ทำไมเด็กติดเกม เกมสนุกอย่างไร อาตมามองว่า วันนี้ผู้ใหญ่ดูถูกเด็กเกินไป เชื่อเถอะว่า ศักยภาพการคิดของมนุษย์ถูกพัฒนาตามสายพันธุ์อยู่แล้ว แล้วทำไมผู้ใหญ่ไม่พัฒนาความคิด นี่มันปี 2558 แต่ผู้ใหญ่ที่พูดยังใช้ระบบความคิดปี 2512 ถ้าอย่างนั้นผู้ใหญ่คิดให้ทันเด็กสิ ถ้าต้องเรียนรู้การใช้โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ ระหว่างผู้ใหญ่กับเด็ก ใครจะใช้ได้เร็วกว่ากัน เหมือนคุณไม่เคยไปเหยียบดวงจันทร์ คุณก็จะคิดว่า สิ่งที่นาซ่าพูดเป็นเรื่องโม้ หรือคุณไม่เคยกินหูฉลาม ก็บอกว่า ไม่ใช่หูฉลาม เพราะเคยกินแต่วุ้นเส้น "
หากใครก็ตามคิดว่า เด็กไทยโง่ ก็ต้องมีเหตุผลอธิบาย พระอาจารย์กวง บอกว่า นี่ปี 2558 แต่ยังเรียนแบบเรียนปี 2495 ทุกวันนี้ยังไม่เปลี่ยนวิธีการเรียน
"แบบนี้น่าจะยุบกระทรวงศึกษาธิการ แล้วเริ่มต้นใหม่ เพราะการศึกษาไทยเชื่อแต่ระบบความรู้จากต่างประเทศ ไปดูงานก็ต้องไปต่างประเทศ ดูงานในประเทศไทยได้ไหม ซึ่งทุกวันนี้ผู้ใหญ่ก็แสดงความเป็นผู้ใหญ่แบบโง่ๆ เคยสอนแบบไหน ก็สอนแบบนั้น คือสอนแบบโง่ๆ รู้เท่านี้ก็สอนเท่านี้ ไม่ได้คิดค้นมากกว่านั้น ถ้าให้ผู้ใหญ่และเด็กลองขึ้นเครื่องไปอเมริกา ใครจะไปถึงก่อนกัน"
.......................
ให้โอกาสเด็กคิดสิ
"ถ้าจะฝึกให้เด็กคิด ต้องเอาเด็กเป็นตัวตั้ง" เชษฐา มั่นคง ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก บอกเช่นนั้น
เอาเด็กเป็นตัวตั้งไม่ได้หมายความว่า เอาเด็กเป็นศูนย์กลางของจักรวาล แต่หมายถึง ผู้ใหญ่ต้องให้โอกาสและสนับสนุน เพราะคนทำงานเด็กเช่นเขา เข้าใจเด็กๆ เป็นอย่างดี
"เด็กจะคิดเป็นหรือไม่เป็นอยู่ที่การซึมซับ ซึ่งผู้ใหญ่ต้องจัดให้ และตัวแปรสำคัญอีกอย่างคือ ระบบการศึกษา ไมใช่แค่สอนให้ท่องจำ ถ้าทำอย่างนั้น เราก็ได้แต่เด็กที่เปิดอินเตอร์เน็ตดูนั่นนี่ แต่ไม่รู้จะนำมาใช้ยังไง เหมือนเด็กที่ก็อปปี้งานส่งอาจารย์
ถ้าจะเปิดมุมมองใหม่ให้เด็ก ต้องให้พวกเขาคิดเอง ทำเอง โดยผู้ใหญ่ต้องเปิดโอกาสให้เด็กลองทำ ซึ่งผู้ใหญ่ไม่ใช่แค่ดูแลความปลอดภัยให้เด็กๆ แล้วบอกว่าสิ่งนี้ไม่ดี ไม่ต้องทำ ถ้าไม่ดีต้องมีคำอธิบาย ไม่ดีอย่างไร ยกตัวอย่าง ถ้าผู้ใหญ่บอกว่า อย่าเอามือไปจับไฟ มันร้อน ก็ลองเอามือเด็กไปอังใกล้ๆ ให้รู้สึกถึงความร้อน เพื่อเป็นการเรียนรู้"
เชษฐา เล่าถึงกระบวนการคิดเพื่อให้เด็กมีส่วนร่วมว่า เคยทำพื้นที่เล่นอย่างสร้างสรรค์ให้เด็ก โดยปรับพื้นที่ในการเล่น มีทราย สี และน้ำ เพื่ออำนวยการให้เด็กเล่นเพื่อเรียนรู้
"ถ้าให้เด็กออกแบบสนามเด็กเล่นเอง พวกเขาก็มีแค่สนามทราย เขาสามารถดัดแปลงเล่นด้วยตัวเองได้หลายแบบ แต่ถ้าให้ผู้ใหญ่ออกแบบ ก็จะมีรูปแบบเหมือนกันหมด เด็กที่มีโอกาสเล่นอยู่กับธรรมชาติ ก็จะมีภูมิต้านทานในชีวิตที่ดี อีกอย่างเราเคยให้เด็กปาดินน้ำมันใส่กำแพงเล่น ซึ่งเป็นเรื่องที่ผ่อนคลายสำหรับเด็กที่อัดอั้นจากความกดดันที่ได้รับจากครอบครัว เราคิดว่า การพัฒนาเด็ก ต้องไม่ยัดเยียดเหมือนที่ทำอยู่"..........................
คิดต่างมุม
หากถามผู้เชี่ยวชาญเด็กอีกคน ที่ศึกษาลงลึกเรื่องปรัชญาเด็ก อ.ดร.ปัทมศิริ ธีรานุรักษ์ อาจารย์ประจำ สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ บอกว่า ในเรื่องการคิด เด็กๆ ก็คิดในมุมของเขา เรื่องเหล่านี้ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ได้ช่วยพัฒนาวิธีคิดหรือครอบครัวได้ฝึกให้พวกเขามีโอกาสคิดได้มากน้อยแค่ไหน น่าจะมองย้อนกลับไปที่ตัวกระบวนการในการพัฒนา
"ถ้ากระบวนการไม่ได้เตรียมสำหรับการพัฒนาให้เขาคิด อัดแต่ความรู้ให้เขาจำ ก็ไม่มีประโยชน์ และเป็นธรรมดาที่ทำให้เขาคิดไม่เป็น ดังนั้นถ้าจะตำหนิเด็กว่า คิดไม่เป็น ก็ไม่แฟร์ เพราะคนที่เลี้ยงดูพวกเขา มีตั้งแต่สิ่งแวดล้อม ครอบครัว โรงเรียน สิ่งรอบตัวไม่ได้ฝึกให้เขาคิด ก็เป็นธรรมดาที่เขาคิดไม่เก่ง เด็กรุ่นใหม่เกิดมาในยุคที่พ่อแม่มีทุกอย่างพร้อม ทำให้ความสามารถการคิดมีแค่นี้ แต่ไม่ได้หมายถึงโง่ ซึ่งต่างจากคนที่ถูกฝึกให้ทำอะไรด้วยตัวเอง "
หากถามว่า เด็กขาดการฝึกคิดในมุมไหน อาจารย์ปัทมศิริ บอกว่า การคิดให้เห็นคุณค่าที่แท้จริงของสิ่งต่างๆ ให้ลึกซึ้งและเห็นประโยชน์อย่างแท้จริง ซึ่งครอบครัวไม่มีเวลาสอนเรื่องแบบนั้น
"คนยุคนี้ที่คิดเรื่องคุณธรรมน้อยลง นึกถึงตัวเองเยอะขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาสังคมที่เกิดขึ้น "
ถ้าพูดกันถึงการคิดในระดับปัญญา อาจารย์ปัทมศิริบอกว่า มีหลายด้าน ไม่ว่าปัญญาเชิงคุณธรรม ปัญญาของเหตุและผลทางด้านวิชาการความรู้
"บางคนเก่ง แต่เมื่อพูดถึงเรื่อง คุณธรรม ไม่ได้เรื่องเลย ไอคิวกับอีคิวต้องไปด้วยกัน ไม่อย่างนั้นเราก็มีแค่คนเก่ง แต่เห็นแก่ตัว ก็เป็นพวกทำลายสังคม"
หากจะฝึกให้คิดเป็นตั้งแต่เด็กๆ อาจารย์ปัทมศิริ แนะว่า ต้องพัฒนาทุกด้าน และการเรียนไม่ใช่อัดแต่เนื้อหา ต้องฝึกกระบวนการคิดด้วย
"จะฝึกให้คิดเชิงวิทยาศาสตร์หรือคณิตศาสตร์ ก็ฝึกไป ไม่ใช่ท่องจำ แต่ต้องฝึกคิดประยุกต์ใช้กับชีวิต และต้องดูพัฒนาการเด็กด้วย เพราะทุกวันนี้สังคมไทยเน้นการอัดเนื้อหาและเน้นการแข่งขัน เด็กบางคนอาจจะเก่งท่องจำ แต่นำความรู้ไปใช้ไม่เป็น เด็กไม่ค่อยพัฒนาตัวเอง เพราะมีคนคิดให้ ทำให้ ปล่อยเข้าป่าก็อดตาย นี่เป็นเรื่องทักษะชีวิตที่คนเราต้องเอาตัวรอด "







