บนความพลิ้วไหวใน'แก่งกระจาน'

ม่านหมอกสีขาวที่เริงระบำอยู่ในราวป่าคือความสดชื่นเย็นตาที่คนกรุงสามารถสัมผัสได้ เพียงแค่เปิดใจแล้วก้าวออกไปค้
หลายปีมานี้ "แก่งกระจาน" เป็นชื่อที่อยู่ในหัวข้อของการสนทนาบ่อยครั้ง ทั้งเรื่องดีและที่ไม่งดงาม แต่ในจังหวะนี้ขอพาทุกคนกลับไปทบทวนความทรงจำที่น่าประทับใจในป่าตะวันตกกันจะดีกว่า
เพราะอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เท่าไรนัก เราจึงมีโอกาสได้ไปเยือนแก่งกระจานหลายหน ไปเช้ากลับเอาตอนค่ำๆ บ้าง หรือไปนอนค้างอ้างแรมก็มี ไปทีไรก็ไม่เคยผิดหวัง เพราะแก่งกระจานมีครบในแบบที่เราอยากได้
ดูนกมั้ย ที่นี่เป็นแหล่งดูนกที่ใหญ่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งของเมืองไทย เข้าป่าไปก็จะได้เจอกับพรรณไม้เฉพาะถิ่นแปลกๆ เช่นพวกกระโถนพระราม, โมฬีสยาม, จำปีเพชร หรือใครมีเวลาน้อย แค่มาคอยชมพระอาทิตย์ตกที่เขื่อนแก่งกระจานก็สุขสำราญเกินพอแล้ว
เชื่อว่าบางคนวางแผนมาเที่ยวป่าแก่งกระจานเพราะจะมาดูผีเสื้อ แต่ฤดูนี้ไม่มีแล้ว คงต้องมากันใหม่ปีหน้า ช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน นั่นแหละเหมาะสุด
อ้าว...ถ้าวางแผนแล้วจะมาดูอะไรในฤดูหนาวนี้ ตามมาสิ แล้วฉันจะพาไป
1.
"เรื่องป่าต้นน้ำลำธารของแม่น้ำเพชรบุรี ขอให้เจ้าหน้าที่ดูแลรักษาอย่าให้มีการลักลอบตัดไม้ ถางป่า ทำไร่ ในป่าต้นน้ำของแม่น้ำเพชรบุรี เพราะจะทำให้เกิดความแห้งแล้ง แม้จะได้มีการให้สัมปทานป่าแปลงนี้ไปบ้างแล้วก็ขอให้เจ้าหน้าที่ตรวจดูแลการทำไม้ อย่าให้มีการทำลายป่าเกิดขึ้น" พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2522 ทำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนช่วยกันดูแลผืนป่าแห่งนี้เป็นอย่างดี แน่นอนว่า พวกเรามีป่าสมบูรณ์แบบนี้ได้เพราะพระองค์ท่านจริงๆ
อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เป็นอุทยานที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุดของประเทศไทย มีพื้นที่ถึง 2,915 ตารางกิโลเมตร หรือ 1.8 ล้านไร่ ครอบคลุมอำเภอแก่งกระจาน อำเภอหนองหญ้าปล้อง จังหวัดเพชรบุรี และอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สภาพป่าเป็นป่าดงดิบตามธรรมชาติที่สมบูรณ์ และมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมาก จนได้รับการประกาศให้เป็นเขตอุทยานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2524
ผืนป่าแก่งกระจานเป็นต้นน้ำลำธารของแม่น้ำหลายสาย นอกจากนี้พื้นที่ส่วนใหญ่ของอุทยานฯ ยังเป็นภูเขาสลับซับซ้อนอยู่ในเทือกเขาตะนาวศรี สภาพภูมิประเทศเป็นป่าดิบชื้นที่สมบูรณ์มาก จนประเทศไทยส่งป่าแก่งกระจานไปขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วย
สำหรับยอดเขาที่สูงที่สุดในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน คือ ยอดเขางะงันนิกยวงตอง อยู่ในเขตรอยต่อประเทศพม่าและไทย มีความสูง 1,513 เมตร รองลงมาคือยอดเขาพะเนินทุ่ง ซึ่งมีความสูง 1,207 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง
จะชวนไป "งะงันนิกยวงตอง" ก็อาจจะต้องใช้ความเสี่ยงมากหน่อย ฉันว่าเราเก็บชีวิตน้อยๆ ของเราไว้เสี่ยงกับเรื่องที่ควรเสี่ยงดีกว่า ว่าแล้วก็พาวกกลับมาที่ "พะเนินทุ่ง"
พะเนินทุ่ง อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 50 กิโลเมตร เป็นภูเขาสูงที่มีความหนาวเย็นตลอดปี บนยอดเขาปกคลุมด้วยทุ่งหญ้าและไม้ต้นเล็กๆ มีทิวทัศน์ที่สวยงามทั้งยามปกติ และยามที่มีทะเลหมอกในทุกฤดู โดยเฉพาะช่วงปลายฤดูฝนและต้นฤดูหนาว ที่ฉันกำลังจะเล่าอยู่ตรงนี้แหละ
อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมตลอดทั้งปี แต่เฉพาะบริเวณบ้านกร่างและเขาพะเนินทุ่งจะปิดให้บริการ 3 เดือน คือตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม - 31 ตุลาคมของทุกปี แล้วเปิดให้ชื่นชมความงดงามของผืนป่าอีกทีวันที่ 1 พฤศจิกายน - 31 กรกฎาคมของทุกปีเช่นกัน
เหตุที่ต้องทำแบบนี้เพราะฤดูฝนอาจก่อให้เกิดอันตรายระหว่างการเดินทาง เนื่องด้วยเส้นทางสูงชัน นอกจากนี้การเปิดโอกาสให้ป่าได้พักฟื้นตัวเองบ้าง ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีที่เราควรให้การสนับสนุน
พร้อมจะไปพะเนินทุ่งกับฉันหรือยัง
2.
การเดินทางไปพะเนินทุ่งอาจต้องอาศัยรถขับเคลื่อนสี่ล้อที่มีสมรรถนะสูง เพราะเส้นทางค่อนข้างชันและมีหิน ลำธาร เป็นอุปสรรค คนขับเองก็ต้องมีประสบการณ์มากพอด้วยถึงจะเอาอยู่ แต่ถ้าใครไม่มีรถแบบที่ว่า หรือหาคนขับมือแข็งๆ ไม่ได้ สามารถติดต่อเช่ารถพร้อมคนขับได้ที่ที่ทำการอุทยานแห่งชาติ เพราะเราเองก็ใช้วิธีนี้
เราจะไปพะเนินทุ่งเพื่อชมทะเลหมอก นี่คือจุดหมายหลัก แต่จุดหมายรองคือชมสัตว์ป่านานาชนิดที่พบได้ง่ายในระหว่างทาง แน่นอนว่า ผีเสื้อต้องตัดไป เพราะไม่ใช่ฤดูของมัน แต่ก็ยังมีให้เห็นบ้างบริเวณลำธารที่ 1-3 หลังจากผ่านด่านบ้านกร่างขึ้นมาแล้ว
ทางดินผสมหินก้อนใหญ่ๆ นำเราไต่เขาขึ้นไปเรื่อยๆ ระหว่างชื่นชมผืนป่าว่าที่มรดกโลกอยู่นั้น พลันคนขับรถก็เบรคเอี๊ยดจนเราเกือบหัวทิ่ม แกปิดกุญแจรถทันที แล้วชี้ขึ้นไปที่ต้นไม้ใหญ่
"นกกกครับ บนต้นไทรโน่นเห็นมั้ย มันมากินลูกไทร"
เรามองตามมือลุงคนขับไป นกกกจริงๆ มี 2 ตัวผัวเมีย มันคงจะหาอาหารไปป้อนลูกมัน
นกกก( Great hornbill) เป็นนกเงือกขนาดใหญ่ที่สุดของไทย และเป็นดัชนีชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของป่าดงดิบ ที่สำคัญมันยังเป็น BIG5 ประเภทนกในป่าแก่งกระจานด้วย โดยดารานำอีก 4 ตัว คือ นกกะลิงเขียดหางหนาม, นกหัวขวานใหญ่สีเทา, นกกาน้อยหงอนยาว และนกเงือกสีน้ำตาล ส่วน BIG5 ประเภทสัตว์ คือ ช้าง(ไม่อยากเจอเลย), เสือดาว, กระทิง, เลียงผา และสมเสร็จ ส่วนผีเสื้อ ได้แก่ ผีเสื้อหางติ่งสะพายเขียว, ผีเสื้อถุงทองป่าสูง, ผีเสื้อนางพญากอดเฟรย์, ผีเสื้อนางพญาพม่า, ผีเสื้อรักแร้ขาว สุดท้ายคือ 5 ชนิดพันธุ์ของพืชป่าก็คือ กระโถนพระราม, จำปาหลวง, จำปีเพชร, แดงพะเนิน และโมฬีสยาม
ถามว่าระหว่างทางเราเจออะไรบ้าง เอิ่ม..คือ แค่นกกก 2 ตัวนั่นแหละ แต่ก็ยังได้เจอสัตว์ประจำถิ่นอื่นๆ อยู่บ้างนะ ขอแค่ให้มีสายตาของนักช่างสังเกต อย่างตอนที่เราไปก็เจอหลายอย่าง ทั้งพญากระรอกดำ, ค่างแว่นถิ่นใต้, นกเขาเขียว, ลิงเสน และทากดูดเลือด ใช่ มันคือทากดูดเลือดจริงๆ เพราะเพิ่งพ้นหน้าฝนมาหมาดๆ และเราก็เป็นคณะแรกๆ ที่ได้เข้ามาหลังจากอุทยานแห่งชาติประกาศเปิดป่า ทากผู้หิวโหยจึงแท็กทีมกันมาขอแบ่งเลือดไปกิน
จริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอะไร เพราะทากดูดเลือดอิ่มแล้วเดี๋ยวมันก็หลุดไป แต่ฉันก็อยากเก็บเลือดตัวเองไว้บริจาคให้มนุษย์ที่ยังมีลมหายใจมากกว่า เพราะฉะนั้น อย่ามายุ่งกับฉันเลย(ขอร้อง)
3.
ใช้เวลาเดินทางแบบเนิบช้าเพราะตามองหาสัตว์ต่างๆ ไปด้วย เราเลยนั่งรถกันจนเมื่อยก้นอยู่ราว 2 ชั่วโมงครึ่ง สุดท้ายก็มาถึงแคมป์พะเนินทุ่งที่อยู่ปลายทาง
จริงๆ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็มาได้แค่จุดนี้แหละ เพราะถ้าจะไปยอดเขาพะเนินทุ่งที่ความสูง 1,207 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลางจริงๆ ต้องเดินเท้าขึ้นไปอีก โดยมี 2 เส้นทางหลัก คือ เส้นทางแรกเริ่มจาก กม. ที่ 27.5 ของเส้นทางสายวังวน-พะเนินทุ่ง โดยเดินข้ามลำธารหลายสายก่อนขึ้นไปถึงยอดเขา ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง อีกเส้นทางเริ่มจากบริเวณ กม. ที่ 30(แคมป์พะเนินทุ่ง) ของเส้นทางสายวังวน-พะเนินทุ่ง ใช้เวลาเพียง 4 ชั่วโมง แต่ต้องข้ามเนินเขาหลายลูก ผู้สนใจต้องติดต่อขอเจ้าหน้าที่ช่วยนำทาง
เราติดต่อกางเต็นท์นอนกันบนลานหญ้ากว้างๆ เพราะข้างบนนี้ไม่มีบ้านพักให้บริการ แต่ก็ดีไปอย่าง เพราะมันทำให้เราได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างแท้จริง กลางคืนนอนดูน้ำค้างหยดติ๋งๆ พร้อมกับมองดาวนับล้านดวงผ่านม่านหน้าต่าง นี่มันเป็นช่วงเวลาของความดรแมนติกชัดๆ
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เสียงนกร้องจุ๊บจิ๊บปลุกเราจากถุงนอนตั้งแต่ฟ้ายังไม่มีแสง เรางัวเงียตื่นมาล้างหน้าแปรงฟันแล้วเดินขึ้นไปที่จุดชมวิวเขาพะเนินทุ่งทันที
ในยามเช้าจะมองเห็นทะเลหมอกสีขาวปกคลุมทั่วหุบเขา เมื่อทะเลหมอกสลายตัวไปแล้วจึงจะเห็นผืนป่าดงดิบเบื้องล่างเบียดตัวกันแน่นท่ามกลางเทือกเขาสลับซับซ้อนกว้างไกลสุดตา บางครั้งอาจพบนกกกและนกเงือกกรามช้างบินอยู่เหนือผืนป่า แต่เราไม่เจอ
ไม่เป็นไร เพราะม่านหมอกสีขาวที่ล่องลอยแผ่วเบาไปบนอากาศ ก่อนจะค่อยๆ พลิ้วผ่านยอดไม้ที่มีรูปทรงหงิกงอแบบประหลาดนั้น มันเป็นภาพที่งดงามเกินจะจินตนาการจริงๆ
เข็มเทอร์โมมิเตอร์บอกอุณหภูมิ 18 องศา มันไม่หนาวถึงขนาดที่ว่าต้องพันตัวเป็นแหนม แต่ก็ทำให้เราแช่มชื่นราวกับยืนอยู่บนภูเขาสุงในภาคเหนือได้เหมือนกัน
เมื่อเห็นนักท่องเที่ยวหลักร้อยออกันอยู่เต็มพื้นที่ ฉันก็ขอเดินแหวกฝูงชนเข้าไปหามุมดีๆ แล้วกดชัตเตอร์บันทึกภาพแห่งความงดงามมาฝากกัน แม้มันจะไม่ใช่ภาพที่ดีที่สุด แต่มันก็เป็นภาพที่ประทับใจที่สุดสำหรับการเดินทางไปพะเนินทุ่งในครั้งนี้
แต่ถ้าใครยังไม่หนำใจกับจุดชมวิวที่ กม. 30 สามารถนั่งรถต่อขึ้นไปที่ กม.36 ได้ เพราะตรงนี้ก็จะมีจุดชมวิวทะเลหมอกอีกแห่งคล้ายๆ กัน แต่ฉันว่า กม.30 นั่นแหละสวยที่สุดแล้ว
.........................
แดดอ่อนๆ ยามเช้าสะท้อนกับไอหมอกสีขาวที่ลอยละล่อง เกิดเป็นภาพของความงดงามแบบสว่างจ้า วินาทีนี้ผืนป่าสีมืดทะมึนกลับดูสดใส และมันก็ทำให้เรายิ้มออกมาได้
ถามว่ายิ้มให้ใคร ฉันคงตอบแบบง่ายๆ ว่า ยิ้มให้กับตัวเองที่ได้มายืนอยู่บนนี้ "พะเนินทุ่ง" ณ แก่งกระจาน
.....................
การเดินทาง
จากกรุงเทพฯ แนะนำให้ใช้ทางหลวงหมายเลข 35 ถึงอำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี แล้วใช้ทางหลวงหมายเลข 4 ผ่านแยกเข้าตัวเมืองเพชรบุรี ขับไปเรื่อยๆ จนถึงสี่แยกท่ายาง เลี้ยวขวาเข้าอำเภอท่ายาง จากนั้นวิ่งไปตามถนนเลียบคลองชลประทาน ตามทางหลวงหมายเลข 3499 ระยะทางประมาณ 30 กิโลเมตร ก็จะถึงอำเภอแก่งกระจาน จากปากทางเข้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานอีก 4 กิโลเมตรจะถึงที่ทำการอุทยานฯ
ถ้าจะขึ้นไปถึงพะเนินทุ่งควรใช้รถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อที่มีสมรรถนะสมบูรณ์ ผู้ขับขี่ต้องมีทักษะในการขับรถขึ้นที่สูงชัน เพราะเส้นทางค่อนข้างชันและมีอุปสรรคเยอะ หรือติดต่อรถในพื้นที่ที่ให้บริการได้ โดยติดต่อที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน โทรศัพท์ 0 3246 7326, 08 6166 2991, 0 3245 9293,0 32433658 หรือสอบถามที่ ททท.สำนักงานเพชรบุรี โทรศัพท์ 0 3247 1005-6
เนื่องจากเส้นทางบ้านกร่าง-เขาพะเนินทุ่ง เป็นเส้นทางที่ลาดชัน บางช่วงแคบ ผ่านหน้าผา อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานจึงกำหนดเวลาขึ้น-ลงสำหรับรถยนต์ที่ใช้เส้นทางนี้ เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวดังนี้ นักท่องเที่ยวที่เดินทางแบบไป-กลับ ไม่พักค้างแรม กำหนดให้เดินทางดังนี้ เวลาขึ้นจากบ้านกร่าง 05.30 น. -07.30 น. เวลาลงจากเขาพะเนินทุ่ง 09.00 น. -10.00 น. และ 16.00 น.-17.00 น. และนักท่องเที่ยวที่เดินทางเพื่อพักค้างแรมที่เขาพะเนินทุ่ง กำหนดให้เดินทางดังนี้ เวลาขึ้นจากบ้านกร่าง 13.00 น. -15.00 น. เวลาลงจากเขาพะเนินทุ่ง 09.00 น. -10.00 น. และ 16.00 น.-17.00 น.







