วิจิตรา ใจอ่อน... เพราะชีวิตยังคงสวยงาม

วิจิตรา ใจอ่อน... เพราะชีวิตยังคงสวยงาม

ถึงจะบอกว่า "คนแพ้ไม่มีสิทธิพูด" แต่บทสัมภาษณ์ของเธอหลังจากคว้าเหรียญทองแดงจากพาราเอเชียนเกมส์ 2014 ที่อินชอน เกาหลีใต้นั้น ไม่ใช่เพราะเรื่องแพ้ชนะในเกมการแข่งขัน หากเป็นเส้นชัยในชีวิตที่ยังคงสวยงามเสมอ

เรียกว่าจำจนตายก็ได้ เพราะกระสุนนัดนั้นได้เปลี่ยนเธอไปแล้วชั่วชีวิต

จากเหตุการณ์กราดยิงรถนักเรียนที่ อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี เมื่อพ.ศ.2545 ในรถนักเรียนคันนั้น วิจิตรา ใจอ่อน หรือ ปุ๋ย ถูกพรากขาทั้ง 2 ข้างไปจาก "ลูกหลง" ที่ถูกยิงเข้ามา

"มันเหมือนไฟช็อตน่ะ" ความรู้สึกเมื่อ 12 ปีก่อนสำหรับเธอยังชัดเจนเสมอ คล้ายเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

ไม่รู้ว่าโดนยิง จนมีเด็กคนอื่นในรถตะโกนบอก หมอเจ้าของไข้ (กับสื่อบางแขนง) ลงความเห็นตรงกันว่า "ไม่น่ารอด" หรือถ้ารอดก็ต้องใช้ชีวิตติดเตียงตลอดไป แต่ปาฏิหาริย์อันน่าอัศจรรย์ของความรัก ทั้งจากคนในครอบครัว รวมถึงคนรอบข้าง และขนาดหัวใจของลูกผู้หญิงคนหนึ่ง ทำให้วันนี้ นอกจากเธอจะลงจากเตียงเองแล้ว ยังสามารถเดินโดยใช้เครื่องช่วยเดินอย่างวอล์คเกอร์ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น ชื่อของวิจิตราก็ถูกบรรจุลงเป็น 1 ในทัพนักกีฬาคนพิการทีมชาติไทยในการร่วมการแข่งขันวีลแชร์เทเบิลเทนนิสประเภท TT4 (ความพิการเป็นโปลิโอเดินไม่ได้ ขาขาดเหนือเข่า 2 ข้าง หรืออัมพาตตั้งแต่เอวลงมา : สมาคมกีฬาคนพิการแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์) ที่เคยคว่ำแชมป์โลกชาวจีนในการแข่งขันรายการ Taichung Open 2013 ที่ไต้หวัน และคว้ารองชนะเลิศ ประเภททีม จากการแข่งขันรายการ Bayrueth Open ประเทศเยอรมนี ปี 2556 อันถือเป็นแมตช์แจ้งเกิดของเธออย่างเต็มตัว

ล่าสุด นักปิงปองสาวจากบ้านคาคนนี้ รั้งตำแหน่งมือวางอันดับ 7 ของโลก และมือวางอันดับ 3 ของเอเชีย ก่อนจะมาคว้าเหรียญทองแดงในการแข่งขันเอเชียนพราราเกมส์ 2014 ที่อินชอน เกาหลีใต้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา จนกลายเป็น 1 ในนักกีฬาดาวรุ่งความหวังพาราลิมปิกเกม 2016 ที่บราซิล

หากถามถึงนิยาม สาวน้อยวัย 25 คนนี้เปรียบเทียบชีวิตตัวเองเนื้อหาไม่ต่างจากบทเพลง "ชีวิตยังคงสวยงาม" ของวงร็อคชื่อดัง

บรรทัดต่อจากนี้ จึงเป็นอีกห้วงทำนองชีวิตที่เธอมาร่วมแบ่งปันให้ฟังระหว่างว่างมือจากไม้ปิงปอง

  • ทันทีที่รู้ตัวว่าเราไม่สามารถกลับมาเดินได้เหมือนปกติอีกแล้ว ตอนนั้นรู้สึกอย่างไร

ไม่อยากอยู่... (ตอบทันที) ทุกคนน่ะค่ะ (ยิ้ม) จากที่เคยวิ่งได้ เดินได้ มาอยู่กับที่ แล้วอยู่นิ่งๆ มันรู้สึกแย่นะ ทีแรกไม่รู้ตัวว่า ตัวเองโดนยิง เพราะไม่ได้รู้สึกเจ็บ จนมีเด็กคนอื่นตะโกนขึ้นบนรถว่าถูกยิงนั่นแหละ ถึงรู้ แล้วแผลก็ใหญ่มาก โดนช่วงสะดือทะลุไขสันหลัง เราก็อึ้ง พอฟื้นมาที่โรงพยาบาลก็มีพวกพี่ๆ นักข่าวมา แล้วหมอก็มาอยู่ข้างๆ เตียงพร้อมกับครอบครัว เขาบอกว่า เราไม่รอด ถึงขนาดมีสื่อบางสื่อรายงานแล้วว่า เราเป็นหนึ่งในรายชื่อผู้เสียชีวิต หมอก็บอกพ่อแม่ว่าทำใจนะ ถ้าข้ามคืนนี้ไปก็ไม่รอดแล้ว

  • แต่ก็รอดมาจนได้ ?

ใช่ค่ะ (ยิ้ม) แต่หมอก็บอกว่า พิการนะคะ เดินไม่ได้ตลอดชีวิต คงต้องนอนอยู่บนเตียงแล้วให้พ่อแม่คอยพลิกตัว จากที่เคยวิ่งได้ เดินได้ มาอยู่กับที่ แล้วอยู่นิ่งๆ มันรู้สึกแย่นะ ไม่อยากอยู่น่ะ เคยนะคะ กลั้นหายใจตัวเองตอนที่ใส่เครื่องออกซิเจนก็เคย (หัวเราะ)

  • อะไรที่ทำให้เราก้าวผ่านความเลวร้ายเหล่านั้นมาได้

ครอบครัว เป็นที่หนึ่งเลย พ่อแม่ใส่ใจดูแล ญาติพี่น้อง คนรอบข้างทุกคนใส่ใจเรา ยิ่งพอเราเป็นอย่างนี้ เขาก็ยิ่งรักยิ่งให้กำลังใจเรา จนทำให้... จากนอน เป็นนั่ง จากนั่งก็ค่อยๆ ขยับขา โดยที่มีพ่อแม่ และนักกายภาพคอยดูแล ขนาดคนอื่นยังอยากให้เราเดินได้เหมือนเมื่อก่อน เราก็ต้องเดินให้ได้สิ (ยิ้ม) ตั้งแต่นั้นมาก็ตั้งใจคอยประคองตัวเอง ฝึกพยุงตัว กายภาพ จนเดินโดยใช้ไม้ค้ำยัน กับอุปกรณ์ช่วยเดินได้ในที่สุด (ยิ้ม)

  • แล้วมาเริ่มเล่นปิงปองได้อย่างไร

หลังจากโดนยิง 1 ปี ระหว่างรักษาตัวเราก็เรียนไปด้วย คุณครูก็เคยไม่ทิ้งเลย คอยเอางานมาส่งให้ที่บ้านตลอด ดูแลจนเราสามารถกลับเข้าไปเรียนกับเพื่อนได้ เมื่อคุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ท่านมาอุปการะ ท่านอยากให้เรียนด้วย กายภาพด้วย จะได้อยู่ในสังคมได้อย่างเท่าเทียมกัน ก็ย้ายมาเรียนที่โรงเรียนศรีสังวาลย์ ปากเกร็ด

ที่นี่ ตอนเรียนวิชาพละครูก็จับให้มาลองตีดู เพราะเห็นว่า เราเคยมีพื้นฐานการเป็นนักกีฬามาก่อน เมื่อก่อนเล่นตะกร้อกับวอลเลย์บอล ตอนนั้นชอบตะกร้อมาก เล่นขนาดที่จะเป็นตัวแทนอำเภอไปแข่งเลยนะคะ เริ่มจะเป็นดาวรุ่งเลย ก่อนจะมาโดนยิง (ยิ้ม) ก็ยืนวอล์คเกอร์นะ แบบที่คนแก่ๆ ใช้ ก็ยืนตี (แล้วเป็นยังไง) ตีไม่โดนหรอกค่ะ (หัวเราะ) เล่นไม่เป็น ยืนตียังไม่เป็นเลย ครูก็เลยจับมานั่งรถเข็นตีกับผนังแทน

ก็เริ่มฝึก พัฒนาตัวเองมาเรื่อยๆ หลังเลิกเรียน กายภาพเสร็จ ก็ลงไปซ้อม จนได้ลงแข่ง เราเริ่มสนุกกับมัน เลยทุ่มเทฝึกซ้อมจนติดเยาวชนทีมชาติตอนปี 2548 ได้ไปแข่งที่ออสเตรเลีย พอไปแข่งกีฬาแห่งชาติก็มีคนเห็นว่า เออ น้องคนนี้สามารถพัฒนาได้ เขาก็เลยแนะนำว่า เดี๋ยวจะมีคัดตัวไปฟิลิปปินส์ เอเชียนพาราเกมส์ปี 2549 ก็ไปคัดกับพี่ๆ เขาปรากฏว่า ติด!!! (ยิ้ม) เลยติดทีมชาติชุดใหญ่เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

  • อะไรคือแรงบันดาลใจในความชอบของเราในตอนนั้น

ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ (ยิ้ม) เคยไปเล่นเปตองด้วยนะ แต่มันไม่ชอบน่ะ (ยิ้ม) แต่กับปิงปอง เราเห็นเพื่อนไปตั้งโต๊ะเล่นกันอยู่หลังห้องดนตรี ก็ไปขอเขาเล่น (สนุกตรงไหน?) บางครั้งได้ปลดปล่อยไง ตบแรงๆ อย่างนี้ (ทำท่าประกอบ) แต่ถ้าตบไม่โดนก็แขนเคล็ดนะ (หัวเราะ) ทุกวันนี้ก็มีหลุดนะคะ แข่งเกมจริงนี่แหละ เขาตัดมาเม็ดยาว ถ้าตบก็จะติดตั้งแต่ไม่ถึงเน็ต ก็ต้องท็อป (ท็อปสปิน) เหวี่ยงแขนแบบเร็วๆ น่ะ ใช้ข้อมือ ใช้ท่อนแขน แต่วืด ลูกก็หล่นตกพื้นไปเลย (หัวเราะ)

  • ช่วยเล่าถึงการแข่งระดับนานาชาติให้ฟังหน่อย ?

เล่นทีมชาติ ซ้อมไม่ยากเท่าแข่งนะ อย่างเอเชียนพาราเกมส์ครั้งนี้ เวลาซ้อมเราซ้อม 4 เดือนครึ่ง แต่เราแข่งแค่ 6 วัน มันก็ต้องเต็มที่น่ะ นักกีฬาที่ลงแข่งส่วนใหญ่ฝีมือก็ไม่แตกต่างกันมากนัก แต่เวลาลงสนาม จริงขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจว่า ใครเข้มแข็งกว่าคนนั้นได้เปรียบ ตอนซ้อมเต็มร้อย แต่พอลงสนามจริงๆ เราเอาไปใช้แค่ 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง ถ้าสามารถเอาไปใช้ได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์นี่ถือว่า เยอะมากแล้วค่ะ ถือว่างัดฝีมือมาใช้เต็มที่ เพราะเวลาไปถึงสนามเราจะเกร็ง อะไรที่เคยทำได้ก็จะเสีย อย่างลูกตบเต็มๆ ลูกนี้เราต้องได้แต้ม กลายเป็นถ้าไม่ตบออก ก็ติดเน็ต ลูกนี้เล่นสั้น จะแบ็ค (แบ็คแฮนด์) แต่เวลาลงสนามจริงแบ็คออก ทั้งๆ ที่มันเป็นลูกง่ายๆ นี่คืออาการเกร็ง เพราะบรรยากาศ และความกดดันต่างๆ ที่เข้ามา วันแรกๆ ของการแข่งขันส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนี้ ตีไม่ค่อยออก (ยิ้ม)

ตอนลงแข่งที่เกาหลีวันแรก เราเจอจอร์แดน ที่ผ่านมาฝีมือเราเป็นต่อเขาเยอะมาก แต่กลับกลายเป็นว่า เกมสูสี จากที่เคยชนะ 3-0 เซต กลายเป็น 3-2 ตอนที่ไปแข่งเป็นหญิงเดี่ยวเป็นที่ 1 ของสายก็ไปเจออินโดนีเซีย ตอนไปแข่งที่เมียนมาร์เราชนะเขา 3-0 แบบแต้มขาดเลย แต่พอมาเจอที่อินชอนในสายเดียวกัน ชนะ 3-2 แถมเขานำเราไปก่อน 2-0 น่ะ เอาแล้ว ใจเริ่มแบบ... จากที่เคยชนะขาดกลับต้องมาเป็นฝ่ายตามทีละเซ็ต พอมาชนะทีหลังก็แต้มสูสี แต่พอวันต่อๆ มาก็ปกติแล้ว

  • ที่ผ่านมาเราก็เคยเป็นนักกีฬา เคยลงแข่งมาก่อน แต่พอมาถึงระดับชาติบรรยากาศความกดดันมันต่างกัน ?

ต่างกันนะ เมื่อก่อนเล่นไม่ได้คิดอะไร เด็กๆ สนุก เจอเพื่อนเยอะแยะ ได้มีการแข่ง ยังไม่รู้ว่าชนะได้อะไร แพ้แล้วจะเป็นยังไง แต่พอมาทุกวันนี้ติดทีมชาติ ถ้าชนะ เรามีคะแนนสะสม เพื่อที่เราจะยกระดับในอันดับโลก จาก 7 ก็จะขึ้นไป 6 ไป 5 หรืออันดับต้นๆ ของโลกเพื่อได้สิทธิไปแข่งพาราลิมปิกที่บราซิล (ปี 2016) ถ้าเราติด 1 ใน 3 เราก็จะยิ่งได้เปรียบคู่แข่ง

  • เลยกลายเป็นแรงกดดันไปโดยปริยาย ?

กดดัน (ตอบทันที) แล้วเราก็ต้องสร้างผลงานให้ดี แล้วก็ต้องได้เหรียญ เมื่อมีโอกาสแล้วเราก็ต้องทำให้ได้ แต่ตอนเด็กๆ เราชนะ ดีใจ แค่เราชนะทีมเดียว ถึงจะไม่ได้ที่ 1 หรือ 2 แค่เราชนะเราก็ดีใจแล้ว

  • มีวิธีรับมือกับแรงกดดันเหล่านั้นอย่างไร

แข่งจริงจะพยายามลบออกจากหัวไปเลย (ยิ้ม) อย่าคิดอะไร ตอนรอบ 8 คนสุดท้ายที่เกาหลี ต้องเจอกับเจ้าภาพ มือ 1 คลาสเดียวกัน ล่าสุดเพิ่งแพ้เขามา 3-2 ก็เอาล่ะ พรุ่งนี้เช้าเราจะเจอใคร คืนนี้นอนคิดเลย ต้องมโนว่าตัวเองตีกับคู่แข่งในวีดิโอที่อัดไว้เพื่อมาดูฟอร์มการเล่นตอนที่เราซ้อม ก็นอนคิดเลยพรุ่งนี้จะตียังไงกับเขา เสิร์ฟลูกไหนได้แต้ม เสิร์ฟแล้วขึ้นไม้สาม...บุกเลย บุกยังไง เป็นอิมเมจเทรนนิ่ง แล้วต้องคิดให้เราชนะ ให้เราได้แต้มด้วยนะ (ยิ้ม)

  • แสดงว่าจิตวิทยาในแง่ของทัศนคติค่อนข้างมีผลในการแข่งขัน ?

มีมากค่ะ เพราะช่วงที่เราเก็บตัวจะมีอาจารย์จิตวิทยามาทุกอาทิตย์ มาฝึกให้ว่าก่อนลงสนามเราต้องคิดแบบนี้นะ เราจะตีเขายังไง แมตช์ต่อแมตช์ คนต่อคน เจอคนนี้ทำยังไง บางครั้งถ้าเราอึดอัดมาก ถ้าอยากได้ความมั่นใจก็จะปรึกษาโค้ช ไม่ไหวแล้ว ตอนที่เจออินโดนีเซียนี่เราตีไม่ได้ เขานำ 2-0 เซตก็หันมาหาโค้ช บอกเลยว่าตีไม่ได้ ไม่ไหวแล้ว โค้ชจับมือ แล้วก็ให้กำลังใจ พี่ๆ ก็ช่วยกันตะโกนลงมา เอาทีละลูกนะ ก็ค่อยๆ เล่นทำแต้มไล่ตามมาจนชนะ แต่ก็มารู้ที่หลังว่าทุกคนก็ลุ้นเหมือนกันหมด นั่งไม่ติดกันแล้วน่ะ (หัวเราะ)

ตอนเจอเกาหลีก็เหมือนกัน เจ้าภาพด้วย เราก็โดนเหมือนกับนักกีฬาชาติอื่นๆ เขาโดนนะ (ยิ้ม) แต่อีกทางหนึ่งมันก็ทำให้เราฮึดด้วย เป็นเจ้าภาพใช่ไหม เราก็ยิ่งฮึด แล้วยิ่งเป็นคนเสียงแหลมอยู่แล้ว เวลาอยู่ในสนามเราจะตะโกนเสียงดังมาก ขู่น่ะ (ยิ้ม) เหมือนมันอึดอัดต้องระบาย แถมกองเชียร์เกาหลีอีก เยอะมากด้วย ถ้าจิตไม่นิ่งนะ เตลิดเลย (ยิ้ม)

  • ถือเป็นแมตช์หนึ่งในความทรงจำได้ไหม

ค่ะ (ยิ้ม) แต่แมตช์ที่ประทับใจจริงๆ ต้องการแข่งขันที่ไต้หวัน เพราะว่าเราไปชนะแชมป์โลกมา ก็คือจีน ชนะโดยที่ตัวเองคิดเสมอเลยว่า ยังไงก็ไม่ชนะ ตียังไงก็ตีกับเขาไม่ได้ ตียากน่ะ (ยิ้ม) พอลงสนามปุ๊บ คำว่าแพ้ชนะไม่ได้อยู่ในหัวเลย แค่บอกตัวเองว่า ตีเต็มที่ ตีตามที่ซ้อม ซ้อมยังไงตีอย่างนั้น ตอนนั้น นักกีฬาไทยลงเกือบทุกโต๊ะเลย แต่โค้ชมีน้อย เราก็บอกกับโค้ชว่าให้ไปโค้ชให้พี่ๆ คนอื่นที่มีโอกาสดีกว่า ปรากฏว่า เซตแรก 2-11 เราให้เขาแค่ 2 แต้ม (ยิ้ม) พอนำ 2-0 เซ็ตเท่านั้นแหละค่ะ โค้ชนั่งไม่ติดแล้ว เดินไปเดินมาจนชนะ 3-1 นั่นแหละประทับใจที่สุด มันแบบ... เฮ้ย ทำได้ยังไง จริงๆ นะ สิ่งไหนที่เราไม่คิดไม่คาดฝันว่าจะทำได้ มันกลับกลายเป็นแบบมาทำได้ แล้วเราจดจำ ภูมิใจน่ะ ว่าเราทำได้ยังไง มันทำให้เรารู้สึกมีกำลังใจการซ้อมมากขึ้นด้วย

แต่ทุกครั้งที่ไปแข่งนะ ก็จะมีไปเจอคนที่คิดว่า เราสู้ได้ แต่กลับแพ้ คือมันเหลืออีกนิดเดียวน่ะ เกือบจะได้ติดเหรียญแล้ว ที่ 4 มาตลอดเลย แต่คนแพ้ไม่มีสิทธิพูดใช่ไหมคะ พูดยังไงมันก็แพ้น่ะ คนชนะสิพูดยังไงใครๆ ก็ฟัง คุณจะเล่นสูสีแค่ไหน คุณจะเล่นดีแค่ไหน อีกนิดเดียวยังไง มันก็แพ้น่ะ

  • เกิดอะไรขึ้น

เพราะเราจะเป็นคนตีเสียเองง่าย ไม่เหนียว ใจร้อน มองลูกไม่ชัวร์ ไม่ยอมบุกก่อน ยอมให้เขาบุกแล้วเราเป็นคนรับตลอด อย่างนี้ก็ไม่ได้ เราเป็นคนที่เล่นลูกไม่ชัวร์ ปกติกว่าจะได้แต่ละแต้ม เขาต้องโต้กันไปโต้กันมา ใจเย็นน่ะ แต่เราเหมือนกับโต้เขาไม่ได้นานแล้วเราใจร้อนอยากได้แต้ม ก็กลายเป็นเสียแทน ส่วนหนึ่งเพราะประสบการณ์ด้วย แต่ตอนนี้ก็เหมือนเราดีขึ้นนะ (ยิ้ม) เล่นแบบสุขุมขึ้น ไม่โผงผาง ตีกลับมาก็โต้กลับไป เวลาเราไม่มีคิวซ้อมก็จะเอาวีดิโอคู่แข่งคนอื่นๆ ไปนั่งดู ศึกษา เพราะถ้าเราไม่เจอวันนี้ สักวันหนึ่งเราก็ต้องเจอ ก็เอาวีดิโอไปตั้งอัดเอง ดูเอง จดเอง ศึกษาการเล่นทั้งข้อดี-ข้อเสีย

ตรงนี้ก็ยิ่งทำให้เห็นว่า ความกดดันในระดับทีมชาติมันก็ไม่ได้อยู่แค่การรักษาฟอร์มการเล่นอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังต้องมีเทคนิค หรือรายละเอียดอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวด้วย ?

  • ใช่ค่ะ (ยิ้ม)

ผ่านการแข่งขันทั้งที่เอเชีย และยุโรปมาแล้ว วิเคราะห์ให้ฟังหน่อยได้ไหมว่านักกีฬาปิงปองเอเชียกับยุโรปฟอร์มการตีแตกต่างกันอย่างไร

เอเชียตีง่ายกว่าเพราะเราเจอบ่อย จีน เกาหลี ไต้หวันอะไรอย่างนี้ การเล่นแถบเอเชียจะเน้นไม่บุก ชอบเคาะอย่างเดียว แต่เราสไตล์บู๊ไง (ยิ้ม) เราก็เลยจะตีง่ายเวลาเจอกัน แต่พอไปชิงแชมป์โลกปีที่แล้วกับนักกีฬาจากยุโรปเจอแต่แนวบู๊ทั้งนั้น ถ้าเราไม่เหนียว หรือเบสิคไม่แน่นจริงๆ ก็สู้เขาไม่ได้ แรงก็เยอะมาก แถมฝีมือก็เนียนมากด้วย (ยิ้ม)

ประสบการณ์การเป็นนักกีฬาทีมชาติ และมือวางอันดับโลกนั้นสามารถเอากลับมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้ด้วยหรือเปล่า

มันทำให้เรามีสมาธิ นิ่ง แล้วทำให้เราทำงานรอบคอบ ละเอียดมากขึ้น คล้ายๆ กับเวลาตีปิงปองนั่นแหละค่ะ เราต้องคอนโทรลตัวเองให้ได้ ถ้าลูกนี้มาแล้วเราไม่มีสมาธิ เราอาจจะตีส่งเดช ตีไปอาจจะเสียหรือโต้กลับไปแล้วไม่ชัวร์ก็ได้

  • ถ้าเปรียบเทียบกับความพิการของตัวเองล่ะ ?

ก็มีที่แวบเข้ามาบ้าง เมื่อก่อนมีบ่อยมาก บางครั้งร้องไห้กับตัวเองด้วยนะ ร้องไห้อยู่คนเดียวหลายครั้ง เพราะเราไม่ได้อยู่กับพ่อกับแม่ ตอนเด็กๆ ที่จะต้องมานี่ไม่เอาเลย เพราะเราไม่เคยห่างจากครอบครัว ที่บ้านก็ไม่อยากให้มา แต่เพื่ออนาคตของเราเขาก็ต้องยอม มาอยู่คนเดียวอย่างนี้ บางอย่างเราทำไม่ได้ อย่างของที่มันอยู่สูงเราหยิบไม่ได้ อยู่คนเดียวก็มอง น้ำตาก็ไหล (ยิ้ม) หรือบางครั้งเราล้ม พออยู่คนเดียวเราก็ลุกขึ้นไม่ได้ ก็ต้องตะเกียกตะกายเอา มันลำบากนะ

บางครั้งเราเดินทางไปเจอฟุตบาทที่ไม่มีทางลาด จะไปยังไง มันก็ต้องอ้อมไปลงทางถนนใหญ่ รถก็กลัว แต่มันจำเป็นน่ะ หลายอย่างมันลำบากจริงๆ ตรงนี้เราก็ต้องทำใจยอมรับให้ได้ มันก็มีสิ่งทดแทนกันนะ เราได้รับใช้ชาติ เป็นนักกีฬาทีมชาติ เราได้เหรียญ มีผลงาน สร้างชื่อเสียงให้ครอบครัว ให้จังหวัด ให้ประเทศ (ยิ้ม) แทนที่เราพิการแล้วเอาแต่นอนอยู่กับบ้าน เราก็ได้กีฬามาทดแทน ทำให้รู้จักคนเยอะแยะ ทำให้เรามีเพื่อนต่างประเทศ ทำให้ได้ไปไหนต่อไหนไม่รู้ตั้งกี่ประเทศ แล้วก็ทำให้เราได้ทำงานอย่างทุกวันนี้ (ยิ้ม)

  • จนถึงตอนนี้ความรู้สึกแบบนั้นยังมีอยู่ไหม

นานๆ จะมีสักที ท้อไหม ท้อนะ แต่นานๆ น่ะ คนเราก็ท้อทุกคนแหละ แต่อย่างตัวเรา มันเป็นไปแล้วน่ะ เอากลับคืนมาก็ไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร (ยิ้ม)

  • คิดว่ามันเป็นโชคชะตาหรือเปล่าที่เราต้องมาเจออะไรแบบนี้

บางครั้งก็น้อยใจโชคชะตาตัวเองนะ (ยิ้ม) เพราะตอนโดนยิงนี่โดนเราเต็มๆ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก โชคดีแล้วที่เรามาได้ถึงทุกวันนี้ (ยิ้ม)

  • ถ้าเลือกได้ล่ะ ?

(นิ่ง... คิด) ตอบยากค่ะ (ยิ้ม) ถ้าเกิดว่า ไม่เป็นแบบนี้ เราคงจะอยู่บ้านเฉยๆ คงไม่ได้มาทำงานในกรุงเทพฯ ไม่ได้ไปต่างประเทศ ไม่ได้เจอเพื่อนเยอะแยะ ป่านนี้คงแต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว (ยิ้ม) แต่พอเป็นอย่างนี้... ได้เจอคนมากมาย ได้ไปเที่ยว ไปต่างประเทศ ได้เห็นอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่เคยเห็น (ยิ้ม)

  • ตัวเองก็เรื่องหนึ่ง แต่คนรอบข้าง หรือสังคมทั่วไปที่ต้องมีทั้งคนที่เข้าใจ และไม่เข้าใจ...

เมื่อก่อนอายนะ (ตอบทันที) อายมาก ใหม่ๆ อยู่แต่บ้าน จะไม่ออกไปไหน อายที่จะเดินวอล์คเกอร์ เดินไม้ค้ำยัน อายที่จะไปตลาดนัด แต่พ่อจะเป็นคนให้ออกสังคม พาไปเจอญาติ พาไปเดินตลาดนัด ไม่อยากให้อยู่กับบ้าน เพื่อที่จะได้ไม่เหงา จนเรามานั่งคิดได้ว่า ยังไงเราก็ต้องเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ เราก็ต้องออกไปเจอผู้คน เจอสายตาคนมอง เจอคนถามนะ เป็นอะไร รถล้มเหรอ ทุกคนเข้าใจอย่างนั้นว่าเรารถล้ม ทำตัวเอง แต่คนที่รู้จักก็จะช่วยแก้ตัวให้ว่าไม่ใช่ เราถูกยิงมา ก็ผ่านมาเรื่อยๆ

ถามว่าทุกวันนี้มีคนมองไหม มี แต่ก็ไม่รู้สึกอะไรแล้ว บางคนก็มาทัก เอ๊ะ ทำไมหน้าตาคุ้นๆ (หัวเราะ) บางคนก็... เป็นนักกีฬาหรือเปล่าคะ เคยเห็นในทีวี ก็... อ๋อ ใช่ค่ะ (ยิ้ม) เขาก็ให้กำลังใจเรา แต่ที่ท้อก็มีนะ อย่างเราเรียกแท็กซี่ เขาก็จะไม่ค่อยไป จะไปหาหมอ หรือไปซ้อม ช่วงเวลาเลิกงาน ที่รถติดๆ เราเรียกแท็กซี่แต่เขาไม่ไป บางทีเราก็ท้อนะ เชื่อเถอะ คนพิการทุกคนเป็นหมด

  • วันนี้สังคมรับรู้การมีของนักกีฬาคนพิการทีมชาติไทยแค่ไหน

ก็ยังถือว่าน้อยนะคะ เรามีนักกีฬาคนพิการด้วยเหรอ มีแบบนี้ด้วยเหรอ แต่เมื่อก่อนกับปัจจุบัน ทุกวันนี้ก็เริ่มรู้เยอะขึ้น เริ่มจะมีคนสนใจเยอะขึ้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเราออกสื่อเยอะขึ้น ที่ต้องยอมรับอีกอย่างก็คือ มีผู้สนับสนุนมากขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยค่ะ มีคนสนใจ มีคนคอยติดตามก็มีค่ะ คอยให้กำลังใจ ก็มีแนวโน้มที่ดีนะคะ (ยิ้ม)

  • นอกจากเป็นตัวทีมชาติแล้ว ตอนนี้ทำอะไรอยู่

ทำงานในฝ่ายงานบุคคล ศูนย์การศึกษาพิเศษ ส่วนกลาง กรุงเทพมหานครค่ะ (ยิ้ม)

  • ก็ต้องแบ่งตารางเวลารับใช้ชาติกับทำงานด้วย ?

ใช่ค่ะ (ยิ้ม) ถ้าเป็นช่วงเก็บคะแนนสะสม ถ้าเราไม่มีเวลาจริงๆ ช่วงที่เราทำงาน หลังเลิกงานก็จะไปซ้อมที่ใกล้ๆ ใกล้ที่สุดตอนนี้ก็การกีฬาแห่งประเทศไทย หัวหมาก กับที่สมาคมกีฬาคนพิการจังหวัดนนทบุรี ที่ปากเกร็ด พี่ๆ ที่ทำงานก็น่ารักนะคะ เขาเข้าใจเรา เดินทางไปแข่งกลับมาไม่ว่าจะได้เหรียญหรือไม่ได้เหรียญเขาก็จะคอยให้กำลังใจอยู่ตลอด

  • จุดมุ่งหมายในวันนี้ของคุณคืออะไร

วันนี้ คิดว่า ทำเพื่อประเทศ ทำชื่อเสียงให้ประเทศ เพื่อจังหวัดตัวเอง เพื่อครอบครัว เพื่อพ่อแม่ ถ้าเรามีผลงานดี ประสบความสำเร็จในเชิงกีฬา มันก็ทำให้ทุกคนมีความสุข

  • วางแผนชีวิตในอนาคตของตัวเองไว้อย่างไร

อยากเรียนโท คิดว่าน่าจะถึงเวลาแล้วค่ะ เพราะเราจบปริญญาตรีมาได้ 2 ปีแล้ว ตอนนั้นเรียนด้วย เล่นกีฬาด้วย เราคิดว่ามันเต็มที่แล้ว จนเหมือนจะไปด้วยกันไม่ได้แล้ว ช่วงนั้นการแข่งขันที่จีน โค้ชให้เลือกดร็อปเรียนแล้วไปทุ่มเทกับกีฬา เราเรียนไม่จบแน่นอน แล้วจะตามเพื่อนได้ยังไง เพื่อนหอบเราขึ้นหลังไปเรียนอย่างนี้ เพื่อนที่รักเราจริงๆ ก็หายาก ตอนนั้นเราเลยเลือกเรียนก่อน กีฬาไม่เอาเลย จนจบน่ะ แล้วค่อยมาทุ่มเทให้กับกีฬาเต็มที่ ที่เกาหลีนี่ถือเป็นแมตช์ใหญ่แมตช์แรกหลังจากเรียนจบมา แล้วเราก็อยากทำงานหาเลี้ยงครอบครัวบ้าง

แต่ถ้าถามถึงอนาคต... คนพิการก็จะลำบาก แก่ตัวไปใครจะดูแล ถ้าเราไม่มีครอบครัว ไม่มีลูก ที่บ้านก็ไม่สนับสนุนให้มี ทุกครั้งที่กลับบ้านพ่อจะบอกว่า กลัวเขามาหลอก กลัวเขาจะทำร้ายลูก เรามีพี่ชายคนหนึ่งแต่งงานมีครอบครัวแล้ว มีหลานแล้วหนึ่งคน ก็เนี่ย... ให้หลานเลี้ยง (หัวเราะ) ทุกวันนี้ก็ อา... อา... (หัวเราะ) เขาบอกเลยถ้ามีนะ กลับบ้าน ไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องเล่นกีฬา (ยิ้ม)

  • ถ้าอย่างนั้น คิดว่าจะแต่งงานไหม

ต้องผ่านพ่อแม่ที่บ้านให้ได้ก่อนล่ะค่ะ เรื่องนี้ (หัวเราะ)