เที่ยวไทย (ไม่) หลงทาง ภราเดช พยัฆวิเชียร

อากาศอย่างนี้คนทั่วไปอาจกำลังวางแผนเดินทางท่องเที่ยว
แต่โอกาสอย่างนี้อดีตผู้บริหารททท.เสนอให้ทบทวนนโยบายด้านการท่องเที่ยวเพื่อคืนความสุขให้ประชาชน
...................
เหมือนจะเป็นพระเอกในยามคับขัน ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ร้ายที่ไม่อาจไว้วางใจ สำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่หลายคนฝากความหวังให้กอบกู้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ แต่เอาเข้าจริงกลับได้มาแต่ตัวเลขกลมๆ ซึ่งไม่รู้ว่าอยู่ในมือใคร
ซ้ำร้ายวันนี้ยังมีทั้งข่าวร้าย ข่าวแรง ข่าวฉาว ทำลายภาพลักษณ์ Land of Smile จนแทบจะยิ้มกันไม่ออก ถามว่าเรามาถูกทางแล้วหรือ อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภราเดช พยัฆวิเชียร ฟันธง..เริ่มหลงทางแล้ว แต่ยังไม่ถึงขั้นไร้ทางออก
ในฐานะประธานมูลนิธิสถาบันการท่องเที่ยวโดยชุมชน และคณะทำงานผู้ทรงคุณวุฒิของทั้งรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม รัฐมนตรีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พ่วงด้วยบทบาทใหม่หมาด คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า เขามองว่าเราต้องใช้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือไม่ใช่เป้าหมาย การท่อง เที่ยวต้องตอบโจทย์ทางสังคมไม่ใช่รายได้
แต่ทำอย่างไรจึงจะไปถึงฝั่งฝัน...คำตอบอยู่ในบรรทัดถัดไป
-ตอนนี้ใครๆ ก็หวังว่าการท่องเที่ยวจะเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้ผลที่สุด?
ธรรมชาติของการท่องเที่ยวอย่างหนึ่งคือ เวลามีวิกฤติอะไร มันจะมีปฏิกิริยาเร็วในแง่ของการถูกกระทบ แต่ขณะเดียวกันก็จะฟื้นตัวเร็วถ้าสถานการณ์เข้าที่ เพราะฉะนั้นการที่มันเร็วและใช้ทรัพยากรในส่วนที่เป็นต้นทุนทางธรรมชาติทางสังคม ไม่ใช่เรื่องของการลงทุนอย่างเดียว มันก็มีที่ไม่เสียหาย พูดง่ายๆ เศรษฐกิจไม่ดี แต่ทะเลก็ยังสวยอยู่ ภูเขาก็ยังสวยอยู่ ตรงนี้มันเป็นความง่ายที่เราใช้เรื่องการท่องเที่ยว ในลักษณะ Economic Stimulus Program กระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ที่ผมสังเกต ไม่ว่าการกระตุ้นอะไร มันควรจะเป็นมาตรการชั่วคราว เหมือนหัวใจหยุดเต้นก็กระตุ้น อย่างปั๊มหัวใจเนี่ยพอมันเต้นแล้วก็ปล่อยให้เขาฟื้นตัว ไม่ใช่ว่ เรากระตุ้นตลอดเวลา เพื่อเอาประโยชน์ทางเศรษฐกิจ มันจะเป็นดาบ 2 คม
คือการที่เราไปเร่งอย่างหนึ่ง มันจะมีผลกระทบอีกอย่างหนึ่ง การเร่งจำนวนมากๆ ก็ต้องดูว่าการจัดการเราพอไหม กำลังคนพอไหม การกระจายตัวของนักท่องเที่ยวดีไหม หรือมันไปกระจุกตัว เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาสังคมตามมาอีก ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องที่บางครั้งเรามองมิติเดียวว่าเอามากระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เราไม่ได้มองความยั่งยืน ในระยะยาวเราจะลำบาก
-แต่ที่ผ่านมาแทบทุกรัฐบาลก็มองในมิตินี้?
การท่องเที่ยวมันมีความซับซ้อนในตัวของมันอยู่ ยกตัวอย่างง่ายๆ เลย บางคนมองการท่องเที่ยวเหมือนกับห่านที่มีไข่ทองคำ ใครๆ ก็อยากได้ไข่เยอะๆ พอมันออกไม่ทันใจก็ไปเร่งรัดให้มันออก ไม่ทันใจอีกก็ผ่าเอาไข่ทองในท้องเลย แล้วมันก็ตาย การท่องเที่ยวก็เหมือนกัน ถึงจะมีประโยชน์ก็ต้องมีจังหวะเวลา แล้วเราต้องย้อนกลับไปทะนุบำรุง เรามองในมิติของรายได้หรือการตลาดอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องมองด้านอุปทานด้วย ว่าการจัดการอุปทานเราดีพอไหม เราเลี้ยงห่านเนี่ยให้อาหารมันอุดมสมบูรณ์พอที่มันจะออกไข่ได้ไหม ไม่ใช่ว่ามองมิติเดียว ซึ่งตรงนี้เป็นอันตราย
ผมอยากจะชี้ให้เห็นชัดๆ ว่าประเทศไทยตอนนี้เรามีนักท่องเที่ยวทั้งโลกมาเป็นอันดับที่ 10 เทียบกับอันดับ 1 คือฝรั่งเศส เรามีนักท่องเที่ยว 26 ล้านคน(ปีที่แล้ว) ขณะที่ฝรั่งเศสมีนักท่องเที่ยวถึง 80 ล้านคน ที่น่าสนใจก็คือว่า ประเทศเขาเท่ากับเราคือ 500,000 ตร.กม. ประชากรก็เท่ากับเรา 60 กว่าล้านคน เขามีนักท่องเที่ยว 80 กว่าล้านคนจากต่างประเทศอย่างเดียว สิ่งที่ผมนึกก็คือมันกระจายตัว นักท่องเที่ยวไม่ได้ไปอยู่ที่หนึ่งที่ใด ไม่ได้อยู่เฉพาะในปารีสหรือเมืองหลักๆ แต่กระจายออกไปยังพื้นที่ชนบท ไปชาโต้ ไร่องุ่น ไปสวนดอกไม้ ไปทำกิจกรรมอะไรมากมาย แล้วเขาก็รองรับได้ จัดการได้ ไม่เกิดผลกระทบ
ในขณะที่บ้านเราน่าสนใจมากเลย ปี 2540 เรามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาประมาณ 7 ล้านคน พอมาดูการกระจายตัว เรามี 77 จังหวัด แต่จังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวมากกว่า 1 ล้านคนต่อปี มีแค่ 7 จังหวัด คือกรุงเทพ เชียงใหม่ อยุธยา พัทยา-ชลบุรี สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต กระบี่ ทีนี้เราก็พัฒนาไปเรื่อย หลังจากนั้น 10 ปี ปี 2550 เรามีนักท่องเที่ยวเข้ามา 14 ล้านคน เพิ่มขึ้นเท่าตัวในระยะเวลา 10 ปี การกระจายตัวก็ยัง 7 จังหวัดเหมือนเดิม หมายความว่าปีที่แล้ว 26 ล้านคน มันก็ยังกระจุกตัวอยู่ ซึ่งตรงนี้จะเป็นปัญหามากในระยะยาว เพราะว่าตัวทรัพยากรต้นทุนของเรา ธรรมชาติก็ดี สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม ถ้ามันไม่มีการจัดการไม่มีการวางระบบที่ดีแล้วมันแออัดด้วยนักท่องเที่ยว มันก็ไปทำลายต้นทุน
ยกตัวอย่างรัฐบาลที่ผ่านมามองแค่เป้าเป็นตัวเงิน ต้องการเพิ่มตัวเลขเท่าตัวจากหนึ่งล้านล้านเป็นสองล้านล้านภายในระยะเวลา 5 ปี หมายถึงอะไร ก็หมายถึงหน่วยงานที่ทำด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวต้องเน้นให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเพื่อจะมาให้ได้รายได้ต่อหัวต่อคนให้ได้ตามเป้าสองล้านล้าน แล้วถามว่าจำนวนคนกับเงินที่เขาใช้จ่ายมันสัมพันธ์กันไหม มันสัมพันธ์กัน ถ้าเราอยากได้นักท่องเที่ยวที่มาน้อยแต่จ่ายมากก็ต้องเป็นตลาดอีกแบบหนึ่งซึ่งไม่ง่าย แล้วสินค้าที่จะรองรับนักท่องเที่ยวตลาดที่มาน้อยใช้เงินมากมีไหม ทีนี้พอเราต้องการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว ง่ายที่สุดเลยก็คือตลาดใหญ่และใกล้อย่างจีน
พอเอานักท่องเที่ยวจีนเข้ามาก็บอกว่าจีนไม่ค่อยมีคุณภาพ มีปัญหา แต่เราต้องเอามาเพราะต้องการที่จะเพิ่มยอดตัวเลข เพื่อจะเพิ่มเป็นรายได้ ลักษณะแบบนี้ก็จะผกผันกันตลอดเวลา ฉะนั้นการกระตุ้นก็เป็นไปแนวนี้ กระตุ้นจำนวนกระตุ้นรายได้เฉพาะหน้า แล้วมันก็ไม่มีการจัดการหรืออะไรมารองรับให้เป็นการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพได้ เพราะฉะนั้นในที่สุด ของที่เคยเป็นที่ดึงดูดด้วยความงาม ด้วยวัฒนธรรมที่ดี จิตใจที่ดีอะไรเนี่ย มันก็เจือจาง กลายเป็นมลพิษ รถติด ความแออัด ผู้คนก็แทนที่จะนิสัยใจคอดี ใจเย็น มันถูกกดดันด้วยเรื่องธุรกิจ มีแย่งชิงวิ่งราว มีปัญหาอะไรต่างๆ ซึ่งในที่สุดแล้ว ที่เคยมีแรงจูงใจมันก็จะหมดแรงจูงใจ
ผมถึงบอกว่าทุกวันนี้เราอาจจะยังกินบุญเก่าอยู่ โชคดีที่เรามีบุญเก่าเยอะ แต่บุญเก่ามันไม่ได้อยู่ยั่งยืนตลอดไป มันมีข้อจำกัดเหมือนกัน อันนี้คือที่ผมเป็นห่วง ไอ้การกระตุ้นเศรษฐกิจเนี่ย มันไม่ใช่ตั้งคำถามในมิติของเศรษฐกิจอย่างเดียว หรือรายได้อย่างเดียว มันต้องตั้งคำถามด้วยว่า แล้วเราจะจัดการให้มันยั่งยืนได้อย่างไร ให้สิ่งแวดล้อมอยู่ได้ สังคมมีความสุข แล้วจริงๆ แล้วการท่องเที่ยวตอบโจทย์อะไรของประเทศ อันนี้ก็ต้องมานั่งคิดกัน ซึ่งควรจะเป็นเรื่องแรก เป็นนโยบายสาธารณะที่ต้องมานั่งคิดให้ดีว่าการท่องเที่ยวจะทำประโยชน์อะไรให้ประเทศโดยเฉพาะในระยะยาวด้วย
-แล้วในมุมมองของคุณภราเดชการท่องเที่ยวควรตอบโจทย์ด้านไหน
ก่อนอื่นเราต้องมองว่าปัญหาของประเทศคืออะไร อันหนึ่งที่รัฐบาลพูดตลอดเวลาคืออยากให้ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนลดลง อยากให้คนจนมีความเป็นอยู่ดีขึ้นถามว่าคนจนอยู่ที่ไหน ส่วนใหญ่แล้วคนจนก็จะอยู่ในภาคเกษตรอยู่ในชนบท อยู่กับอะไรก็อยู่กับทรัพยากรต้นทุน คือธรรมชาติป่าเขาลำเนาไพร แต่เขาจนเพราะเขาขึ้นอยู่กับผลผลิตทางการเกษตรอย่างเดียว ปลูกข้าวก็รอขายข้าว ปลูกยางก็รอขายยาง ราคาตลาดโลกตกก็แย่ แต่จริงๆ แล้วในภาคเกษตรมันมีมิติที่สำคัญมากเลยก็คือต้นทุนที่ไม่ใช่แค่ผลผลิต มีป่าเขา น้ำตก ห้วยหนองคลองบึง มีวัฒนธรรม วัดวาอาราม มัสยิด มีอาหารการกิน เครื่องแต่งกาย มีวัฒนธรรมประเพณีที่มันแฝงอยู่ในวิถีของภาคเกษตร อันนั้นคือคุณค่า เพียงแต่เราไม่เคยเอาคุณค่านั้นมาสร้างให้เกิดเป็นมูลค่า สร้างให้มันเป็นเรื่องของการท่องเที่ยว โดยจะเรียกว่าการท่องเที่ยวโดยชุมชน การท่องเที่ยวทางเกษตร หรืออะไรก็แล้วแต่
แต่ต้องขีดเส้นใต้ว่าเป็นรายได้เสริม เพราะว่ามันอยู่ในวิถีเกษตรกรรมอยู่ในวิถีชีวิตของเขา คือใช้สิ่งที่มีและส่วนเกินที่เขาจัดการเองได้ให้เกิดประโยชน์จากการท่องเที่ยว เอาคุณค่าอันนั้นมาแปลงเป็นมูลค่าให้เกิดรายได้เสริม ซึ่งหลายประเทศการท่องเที่ยวอยู่ในภาคเกษตรทั้งนั้น คุณดูอย่างชาโต้ที่ปลูกองุ่น มีวินยาร์ด มีสวนดอกไม้ ไปดูเขาตัดขนแกะ เลี้ยงปลาคาร์ฟ สารพัดอยู่ในภาคเกษตรทั้งนั้น แม้ในพื้นที่ยากไร้อย่างทะเลทราย เขาก็ทำการท่องเที่ยวแบบ Desert Safari อันนี้คือภาพที่มันเป็นอยู่จริง เพียงแต่มันต้องมีองค์ประกอบ มีกิจกรรมให้ทำ ไม่ใช่ให้ดูอย่างเดียว มีต้นทุนอาหารการกิน มีความสนุกสนาน มีธรรมชาติ ที่จริงมันเป็นเรื่องของต้นทุนทางทรัพยากรแต่ว่าต้องมีการจัดการ ตรงนี้เราไม่คิดกัน
-เป็นปัญหาเรื่องวิสัยทัศน์?
เราต้องกลับมาคิดว่าการท่องเที่ยวจะมีมิติอะไรที่น่าจะเป็นประโยชน์กับประเทศได้ ส่วนใหญ่มันมีอยู่ 3 เรื่อง คือความยั่งยืนทางด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม และด้านสิ่งแวดล้อม ทางด้านเศรษฐกิจที่ผ่านมาปัญหาก็คือเรามองเศรษฐกิจแบบมหภาค เอาเฉพาะรายได้ที่ได้จากการท่องเที่ยว แต่อย่างที่ผมบอกถ้ามาดูรายละเอียดมันไม่กระจายนะมันกระจุก แล้วก็ไม่เคยมีตัวชี้วัดที่มีประสิทธิภาพ ประเทศเรามีตัวชี้วัดอย่างเดียวคือรายได้กับจำนวน เราเคยถามมั้ยว่าถ้าการท่องเที่ยวที่บอกว่าจะไปพัฒนาชนบท มีเศรษฐกิจชุมชนที่เกิดจากการท่องเที่ยวเท่าไหร่ มีผลผลิตทางด้านเกษตรด้านหัตถกรรมไปอยู่ในเซคเตอร์ของการท่องเที่ยวเท่าไหร่ มีผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นไหม หรือในทางลบเราเคยดูไหมว่านายทุนเข้ามาเท่าไหร่แล้ว ร้านเล็กๆ ในชุมชนหายไปเท่าไหร่ อะไรอย่างนี้นะครับ เราไม่เคยมีตัวชี้วัดที่ชัดเจน
ผมจึงแนะว่าในด้านเศรษฐกิจ ถ้าเราจะใช้การท่องเที่ยวให้เป็นประโยชน์ต้องมองในเชิงจุลภาค ให้เศรษฐกิจกระจายตัว ให้การท่องเที่ยวกระจายไปยังท้องถิ่นให้มากที่สุด โดยเขาจัดการเองได้ ซึ่งตรงนี้ก็เป็นหัวข้อใหญ่อีกว่าจัดการอย่างไร ไม่อย่างนั้นพอคิดตรงนี้ปั๊บ นโยบายแบบบนลงล่าง ก็โอโห...ทำกันใหญ่เลย แล้วในความไม่พร้อมของท้องถิ่นเขาก็จะเดือดร้อนอีก โอท็อปเป็นตัวอย่างที่ดีเลย พอเป็นนโยบายกระจายไปทั่ว กลายเป็นว่าท้องถิ่นเป็นเครื่องมือการผลิตให้นายทุน โดยท้องถิ่นไม่ได้พัฒนาความเข้มแข็งของตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบ การท่องเที่ยวก็ต้องระวังแบบนี้เหมือนกัน
อันที่สองคือเรื่องทางด้านสังคม การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือที่ดีมาก เพราะว่าการท่องเที่ยวเป็นการไปเรียนรู้ระหว่างกัน เป็นการเรียนรู้นอกระบบที่เราเรียกว่าเป็น Comparative Study เป็นการเรียนรู้เปรียบเทียบ ประเทศที่เจริญแล้วจะเป็นประเทศที่เดินทางท่องเที่ยวอย่างมาก เช่น เยอรมัน ญี่ปุ่น ไม่ใช่ไปแบบเรา อยู่ๆ ไม่เคยไปไหนเลย เรียนกวดวิชาจนจบเข้ามหาวิทยาลัย สอบเอเอฟเอสได้หน่อยไปอยู่อเมริกา ปีหนึ่งกลับมาอเมริกาดีที่สุด ลืมเมืองไทยเลย อย่างนั้นมันขาดราก คนไทยมี 77 จังหวัด เรายังแบ่งแยกเลย คนกรุงเทพ เรียกคนใต้ว่าแขก เรียกคนอีสานว่าลาว แล้วไม่กล้าไปโน่นไปนี่เพราะว่าไม่รู้จัก เพราะฉะนั้นเรื่องการท่องเที่ยวจะช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ มันทำให้เรารู้จักตัวเอง รู้จักประเทศ รู้จักคนอื่น เมื่อเข้าใจวัฒนธรรมที่ต่างกัน มันก็เกิดความเป็นมิตรเกิดสันติภาพขึ้นมา ขยายจากเล็กไปใหญ่ จากคนในประเทศสู่ประเทศเพื่อนบ้าน อันนี้เป็นมิติทางสังคมที่สำคัญ ซึ่งก่อนที่เราจะไปรู้จักคนอื่นเราต้องรู้จักตัวเราเอง ตรงนี้คือหัวใจ
ทางด้านสิ่งแวดล้อม คนในชนบทอยู่กับสิ่งแวดล้อม ตอนนี้ด้วยความที่เขายากจนมันมีแนวโน้มที่ส่วนหนึ่งจะขายที่ให้นายทุน แรกๆ ก็มีเงิน พอเงินที่ขายที่หมดทำอะไรได้ ทำไม่ได้ ทีนี้ถ้าเขามีรายได้เสริม เหมือนหลายชุมชน อย่างลีเล็ดที่สุราษฎร์ การท่องเที่ยวชุมชนเกิดจากการที่เขาต้องการรักษาพื้นที่ป่าชายเลนไว้ เพราะถูกพวกเรืออวนรุนอวนลากมาทำลายชายฝั่ง ป่าชายเลนพัง เขาก็ต่อสู้จนในที่สุดฟื้นฟูป่าลำพูป่าชายเลนได้เป็นพันๆ ไร่ ระบบวงจรชีวิตความสมบูรณ์ก็กลับมา เขาเกิดความภาคภูมิใจ อยากจะอวดคนอื่น ก็กลายเป็นท่องเที่ยวขึ้นมา มีการฟื้นฟูลิเกป่า อาหารต่างๆ ตามมาอีก
ผมคิดว่าถ้าเราไม่ได้เอาเรื่องการท่องเที่ยวเป็นหลัก แต่เอาโจทย์ของประเทศตั้งว่าเราอยากจะพัฒนาให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็ง มีรายได้พอเพียง แล้วยังรักษาฐานต้นทุนวัฒนธรรม วิถีเกษตร ให้เปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะเราปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ และรับเอาสิ่งใหม่ๆ มาได้อย่างมีภูมิคุ้มกัน การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือตัวหนึ่งที่จะมาช่วย
-ในมุมกลับการท่องเที่ยวชุมชนหลายๆ แห่งก็เป็นปัญหาโดยตัวของมันเอง?
เราต้องมามองว่าปัญหาอยู่ตรงไหน ปัญหาการท่องเที่ยวโดยชุมชนในบ้านเราต่างกับในต่างประเทศตรงที่ช่องว่างเรื่องรายได้ระหว่างเมืองกับชนบทเขาไม่ต่างกันมาก เขามีเงินพอที่จะรักษาพื้นที่ไว้ได้ พัฒนาอะไรได้ ส่วนของเราอาจมีปัญหาการขายที่ดินอะไรต่อมิอะไร อีกอันหนึ่งคือสิ่งที่เรียกว่า Social Status ในบ้านเราคนชนบทยังถูกมองว่าเป็นอีกชั้นทางสังคม แล้วจะพูดจะเรียกร้องอะไรต่างๆ ก็ไม่ได้รับการตอบรับ หรือเสียงของเขาไม่มีใครได้ยิน ไม่เหมือนเวลาพวกธุรกิจท่องเที่ยวต่างๆ เจ้าของโรงแรมมีปัญหาก็บอกเลยท่านรัฐมนตรีต้องฟังต้องดูแล แต่ชาวบ้านแม้กระทั่งไปตัดถนนผ่าชุมชนเขา ไปย้ายทางน้ำ ร้องเรียนก็ไม่มีใครฟัง คือมันขาดอำนาจในการต่อรอง ขาดภูมิคุ้มกัน แล้วก็ขาดความรู้ในแบบโลกาภิวัตน์
คือเขามีความรู้ที่เรียกว่า Local Wisdom มีความรู้พื้นถิ่น มีภูมิปัญญาค่อนข้างมาก แต่ด้วยความที่รัฐไม่เคยไปส่งเสริมให้ความรู้ภูมิปัญญาดั้งเดิมมันต่อเนื่องเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ เหมือนกับไปไว้บนหิ้ง คือไม่ได้วิวัฒน์ไปด้วยกัน มันก็หายไป ลืมไปหมด ฉะนั้นสามตัวนี้คือด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม องค์ความรู้ที่พอจะเป็น Empowerment ให้เขาได้มันยังไม่มี ก็เป็นเรื่องที่รัฐจะต้องมองแล้วไปช่วยให้พัฒนาความเข้มแข็งตรงนี้ขึ้นมา เพราะฉะนั้นแนวความคิดเรื่องการท่องเที่ยวโดยชุมชนมันค่อนข้างเซนซิทีฟ แต่ไม่คิดทำเลยไม่ได้แล้ว ถ้าไม่ทำประเทศไทยพังแน่เรื่องการท่องเที่ยว เพราะมันกระจุกตัว
ของเดิมเวลาเราพัฒนาอะไรจะเป็นลักษณะที่เรียกว่าท็อปดาวน์ มีแผนชาติ แผนภาค แผนเฉพาะด้าน แล้วก็จะมีที่เขาใช้ศัพท์ว่า PPP - Plublic Private Partnership หมายความว่าทั้งหมดที่คิดกันมาส่วนหนึ่งเป็นเรื่องที่รัฐต้องรับผิดชอบ อีกส่วนหนึ่งคือธุรกิจเอกชน แต่สิ่งที่ถูกลืมไปเลยก็คือ ภาคประชาชน หรืออีก P หนึ่ง คือ People ซึ่งได้แต่รอรับผล ความต้องการและปัญหาของเขาไม่เคยถูกฟีดเข้าไปในระบบ ยกตัวอย่างความผิดพลาดของภาครัฐ เช่นพอบอกว่าจะต้องกระจายเรื่องการท่องเที่ยว ต้องสร้าง แน่นอนบางส่วนต้องคิดแบบนั้น ต้องมีถนน ต้องมีสนามบิน แต่พอมีความคิดว่าเราจะมีอะไรมาดึงดูดนักท่องเที่ยว เอาเลย...ต้องมีเอนเตอร์เทนเมนคอมเพล็กซ์ ต้องมีไนท์ซาฟารี ต้องมีอะไรใหญ่ๆ สร้างอะควาเรียม คิดแบบพวกนักบริหารคิด แต่เขาลืมต้นทุน เพราะมันไม่เคยมีเสียงสะท้อนมาจากข้างล่าง
ถ้าผมจำไม่ผิดสมัยรัฐบาลคุณทักษิณ เอา ไมเคิล อี พอร์เตอร์ มาให้คำปรึกษาที่สภาพัฒน์ ในเรื่องการท่องเที่ยวเขาเสนอแนะว่าให้ทำเมกะโพรเจ็คท์ อาจจะเป็นแนวคิดนี้ที่ทำให้รัฐบาลไปสร้างไนท์ซาฟารี ซึ่งใช้เงินประมาณ 2 พันกว่าล้าน เป็น Investment Cost แต่อย่าลืมนะ เขาไปทำลายต้นทุนทางธรรมชาติและต้นทุนทางสังคม แถวนั้นเดิมมีป่าอยู่แล้ว ต้องไปเอามันออกก่อนเพื่อจะสร้างสภาพแวดล้อมใหม่ให้เหมาะสมกับสัตว์ แล้วก็ไปทะเลาะกับชาวบ้านเพราะว่าแย่งน้ำเนื่องจากตอนนี้น้ำจากดอยสุเทพ-ปุยไม่พอ อันนี้คือปัญหาที่เขาไม่เข้าใจ แล้วสุดท้ายก็ต้องไปตั้งองค์กรใหม่เพื่อมาจัดการ แต่นับจากวันแรกจนถึงวันนี้ ขาดทุนตลอด ไม่คิดต้นทุนเลยก็ขาดทุน
ทีนี้ผมก็ถามคำถามใหม่ คุณเคยไปเที่ยวตลาดสามชุกไหม หลายคนบอกไป พอถามว่าคุณเคยไปไนท์ซาฟารีไหม บางคนบอกเคยไป แต่ส่วนใหญ่เคยไปสามชุกมากกว่าประเด็นซึ่งมีความสำคัญมากกว่าคือคุณเคยไปไนท์ซาฟารีมากกว่าหนึ่งครั้งไหม น้อยครับ เหตุผลก็เพราะมันไม่มี Social contact ไปดูอย่างเดียวแล้วจบก็คือจบ แต่ตลาดสามชุกถามว่าไปอีกไหม ไป เพราะว่ามันมีวิถีชีวิต เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วถามว่ารัฐไปลงทุนอะไรให้ตลาดสามชุกบ้าง ขณะที่ลักษณะแบบตลาดสามชุกมีทั่วประเทศ ชุมชนที่มีความพร้อม มีต้นทุนทางวัฒนธรรม ต้นทุนทางธรรมชาติ รวมทั้งองค์กรที่จะบริหารจัดการเขาก็มีอยู่แล้ว องค์กรชุมชน ไม่ต้องไปสร้างขึ้นมาใหม่ เอาเงินสองพันกว่าล้านนั้นไปพัฒนาไปต่อยอดไปสร้างความเข็มแข็งอะไรก็ได้ เราจะเกิดแหล่งท่องเที่ยวขึ้นอีกเยอะ แทนที่จะไปแต่ที่เดิมๆ หรือเสนอให้สร้างโน่นสร้างนี่ ทำไมไม่พัฒนาจากต้นทุนที่มีอยู่แล้ว
-เราจะทำให้ยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวเป็นไปในทิศทางนี้ได้อย่างไรคะ
จริงๆ แล้วควรจะต้องมีนโยบายสาธารณะ ทีนี้เรื่องของการท่องเที่ยวมันทำแบบกระจัดกระจายมาตลอด ไม่เคยมองในเชิงของนโยบายหลักให้เป็นกรอบ ซึ่งตรงนี้ Political Will มันไม่ชัด การชี้นำทางการเมืองว่าจะทำการท่องเที่ยวในมิติไหนก็เลยไม่เคยมีใครมานั่งตีโจทย์ เวลาพูดกันก็พูดเป็นครั้งๆ คราวๆ ซึ่งจริงๆ แล้วมันมีเครื่องมือนะ แต่รัฐบาลที่ผ่านมาไม่ยอมใช้เครื่องมือตรงนี้ นั่นคือพระราชบัญญัตินโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติที่ออกมาตั้งแต่ปี 2550 คือในทางเทคนิคมันอาจมีความบกพร่องอยู่บ้าง แต่แนวคิดนี่ใช้ได้ เพราะเป็นเรื่องการบูรณาการการทำงานระหว่างกระทรวง แล้วเขาบังคับเลยว่าต้องทำแผนนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ซึ่งผมเรียกว่านโยบายสาธารณะที่เป็นกรอบซะก่อน เสร็จแล้วก็ให้ไปตั้งคณะกรรมการระดับคลัสเตอร์ โดยโครงสร้างของกรรมการจะแบ่งเป็นกลุ่ม มีฝ่ายบริหาร ฝ่ายวิชาการ ฝ่ายภาคธุรกิจ ไม่ใช่มีแต่ภาครัฐ
ถ้าเราใช้เครื่องมือตัวนี้ แล้วมาตั้งคำถามว่าการท่องเที่ยวจะมีประโยชน์หรือมีหน้าที่อะไรต่อประเทศ ถ้าเรายังมองแค่รายได้ ต้องถามว่ามันจะไปได้อีกกี่ปี ฉะนั้นเราต้องมองมิติอื่นทางด้านสังคมวัฒนธรรมด้วย เพราะการท่องเที่ยวต้องอาศัยทรัพยากรตรงอื่นที่มีหน้าที่หลักของมัน อย่างวัฒนธรรมถ้าไปทำลายวัฒนธรรมก็ไม่เหลือ เรื่องธรรมชาติสิ่งแวดล้อม หาดทราย ป่าไม้ แม่น้ำลำธาร มันก็มีหน้าที่ทางด้านนิเวศวิทยา เมื่อเราไปอาศัยเขา เราต้องเอาเซอร์พลัสไม่ใช่ไปเอาต้นทุน ถ้าทำแบบไม่เข้าใจก็ไปทำลายทรัพยากรต้นทุน เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจว่าข้อจำกัดของการท่องเที่ยวควรจะเป็นแค่ไหน แล้วเราจะได้ประโยชน์สูงสุดจากการท่องเที่ยวในมิติไหนบ้าง
ทีนี้ที่ผ่านมาเราเจอปัญหาเฉพาะหน้าด้วยระบบทางการเมือง ก็หวังว่ารัฐบาลที่ตั้งใจว่าจะไม่ได้อยู่ถาวร แต่จะอยู่เพื่อการปฏิรูป จะชัดเจนในเรื่องของการปฏิรูปการท่องเที่ยวด้วย เพราะรายได้ตอนนี้มันเป็นอันดับหนึ่งของทุกเซคเตอร์ แล้วก็เป็นอันดับหนึ่งที่ค่อนข้างอันตรายถ้าเราไม่ได้รักษาต้นทุน เพราะนอกจากเราจะไม่ได้แล้ว มันจะไปทำลายสิ่งที่ดีงามทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ เพราะฉะนั้นต้องมองอย่างเข้าใจ อย่ามองว่ามันเป็นเครื่องมือเฉพาะหน้าในเชิงกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ต้องมองว่าทำอย่างไร มันจะใช้ประโยชน์ในมิติอื่น
-ฟังดูมีความหวัง?
ตราบใดยังมีชีวิตอยู่ ผมก็ยังมีความหวัง ผมอยากเห็นการท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือที่จะไปสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน ให้เขามีรายได้พอเพียง รักษาต้นทุนฐานทรัพยากรทั้งวัฒนธรรมและธรรมชาติ เราไม่ได้ต้องการคนมาเยอะๆ แต่ต้องการคนมาเที่ยวแบบยั่งยืน เราอยู่ได้ เขาอยู่ได้ แล้วก็อยู่อย่างมีความสุข
ผมอยู่ใน Main Stream ของการท่องเที่ยวมาตลอด ผมเห็นภาพใหญ่ว่าถ้าเราพัฒนาแบบกระแสหลักเราไปไม่รอด เพราะฉะนั้นแทนที่ผมเกษียณจะไปนั่งทำงานบริษัท ผม เลือกทำงานวิชาการ แล้วก็ทำงานมูลนิธิ เพราะต้องการใช้สถานภาพทางสังคมที่เรามีเป็นตัวเชื่อมกับภาคส่วนต่างๆ สร้างความตระหนักว่า จริงๆ แล้วการท่องเที่ยวควรเป็นเครื่องมือสร้างประโยชน์ให้กับประเทศ ที่สำคัญคือให้คนมีความเป็นอยู่ดีขึ้น มีความสุข




