โรเจอร์ นอริงตัน กับซูริคเชมเบอร์ออร์เคสตรา

โรเจอร์ นอริงตัน กับซูริคเชมเบอร์ออร์เคสตรา

สนามวิจารณ์ เปิดกว้างเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งการวิจารณ์ ส่งบทวิจารณ์ของคุณมาได้ที่ [email protected]

ในช่วงระยะเวลาราว 30-40 ปีที่ผ่านมานี้ มีกระแสความเคลื่อนไหวทางวิชาการดนตรีเกิดขึ้นในแวดวงดนตรีคลาสสิกอย่างหนึ่ง ที่สร้างความน่าตื่นเต้นได้ไม่น้อยก็คือกระแสการปลุกประวัติศาสตร์ดนตรีย้อนยุคในศตวรรษที่17-18 (หรือแม้กระทั่งในศตวรรษที่19) ให้กลับพลิกฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นในกลุ่มผู้นำทางดนตรีที่นอกจากจะเรียนวิชาดนตรีกันมาเป็นอย่างดีแล้ว ก็มักจะเรียนทางประวัติศาสตร์หรือปรัชญาเพื่อมาเสริมความคิดให้รอบด้านกว้างไกล กลุ่มศิลปินดนตรีเหล่านี้ตั้งคำถามที่ชวนแก่การศึกษาค้นคว้าวิจัยทางวิชาการว่า โดยแท้จริงแล้วดนตรีในศตวรรษที่17-18 นั้นมีเสียงเป็นอย่างไรกันแน่, มีวิธีการบรรเลง-การตีความทางดนตรีอย่างไร? เพราะเราต้องยอมรับกันว่าดนตรีของโมซาร์ท (W.A.Mozart), ไฮเดิน (F.J.Haydn) หรือ เบโธเฟน (Ludwig van Beethoven) ที่เราฟังกันในทุกวันนี้ เป็นการบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีที่ผลิตกันขึ้นใหม่ (โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องเป่า) ใช้เทคนิควิธีการบรรเลงดนตรีที่เปลี่ยนแปลงไปจากยุคก่อน สภาพสถานที่แสดงดนตรีที่เปลี่ยนไป และการใช้วิธีคิดกระบวนการตีความทางดนตรีแบบร่วมสมัยไปใช้กับการบรรเลงดนตรีในยุคคลาสสิก...ฯลฯ

ปัจจัยเหล่านี้เองที่ทำให้พวกเราได้ฟังดนตรีของโมซาร์ท, ไฮเดินหรือเบโธเฟน ที่ไม่เหมือนกับเสียงดนตรีที่เกิดขึ้นจริงๆ ในสมัยนั้นปัญหาก็คือแล้วเสียงดนตรีที่เกิดขึ้นจริงๆในยุคนั้นมันเป็นอย่างไรกันแน่ ใครจะสามารถให้คำตอบที่แน่ชัดและเป็นจริงได้ เพราะในยุคสมัยนั้นยังไม่มีเทคโนโลยีทางการบันทึกเสียงเกิดขึ้น ทุกสิ่ง,ทุกอย่างที่พยายามกระทำกันนั้นก็ล้วนมาจากข้อมูลหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ผ่าน “การตีความ” (Interpretation) จากแง่มุมความคิดของแต่ละคนนั่นเอง

ท่าน เซอร์ โรเจอร์ นอริงตัน (Sir RogerNorrington) วาทยกรอาวุโสชาวอังกฤษคือหนึ่งในกลุ่มศิลปิน-นักวิชาการร่วมสมัยในกระแสการค้นคว้าหาความจริงของดนตรีย้อนยุคดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น และการนำวงดนตรีขนาดย่อม ซูริค เชมเบอร์ ออร์เคสตรา(Zurich Chamber Orchestra) มาเปิดการแสดง ณ หอประชุมใหญ่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เมื่อคืนวันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2557 ที่ผ่านไป ย่อมเป็นการแสดงดนตรีครั้งสำคัญอย่างปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่คือหนึ่งในคำตอบ (ซึ่งมีหลายคำตอบ)ที่ว่า เสียงดนตรีแห่งศตวรรษที่17-18เป็นอย่างไร ?

เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมทีเดียวที่แฟนๆ ดนตรีชาวไทยในคืนวันนั้นให้การต้อนรับท่านเซอร์ฯและวงดนตรีชั้นยอดวงนี้อย่างอบอุ่นน่าประทับใจซึ่งในภาพรวม ต้องถือได้ว่าเป็นการแสดงที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามทั้งสมาชิกนักดนตรีทุกคนในวง, ศิลปินเดี่ยวเปียโนสาวชาวเกาหลี เอช เจ ลิม (H J Lim) และเซอร์ โรเจอร์ นอริงตัน นั้น เป็นคณะศิลปินที่มีฝีไม้ลายมือในระดับนานาชาติอย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอน ซึ่งบทความนี้คงไม่ตั้งประเด็นข้อสงสัยใดๆ ในเชิงฝีไม้ลายมือของพวกเขา แต่...ประเด็นอันน่ากล่าวถึงอันสำคัญยิ่งขึ้นไปกว่าก็คือปัญหาเรื่องวิธีคิด, การตีความทางดนตรีจากข้อมูลหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ได้นำมาบูรณาการและนำเสนอในคืนวันนั้น ซึ่งยังเห็นได้ว่ามีองค์ประกอบหลายๆ อย่างที่ยังย้อนแย้งกันในภาพรวม

เปิดรายการด้วย ซิมโฟนี หมายเลข 1 ของ โมซาร์ท ซึ่งทำให้เราสัมผัสได้ถึงวิธีการบรรเลงดนตรีที่ให้เสียงอันฟังดูแตกต่างไปจากวงออร์เคสตราทั่วๆ ไปอย่างเห็นได้ชัดกลุ่มเครื่องสายใช้การบรรเลงแบบปราศจากการสั่นไหวของกระแสเสียง (Non Vibrato) วิธีการเล่นเครื่องสายในยุคนั้นจะใช้การบรรเลงแบบนี้ที่ทำให้มีเสียงฟังดูบางเบาและ “นิ่งสนิท”ไม่สั่นไหวแบบวงออร์เคสตราในทุกวันนี้กลุ่มเครื่องเป่าที่ยืนบรรเลงทั้งหมด โรเจอร์นอริงตันกำกับการตีความผลงานชิ้นนี้ให้บรรเลงแบบห้วนกระชับกว่า น้ำเสียงโดยรวมที่ฟังดูนิ่งใสสะอาดแบบดนตรีศตวรรษที่18 ตามที่น่าจะเป็น

บทเพลงที่สองของรายการคือ เปียโนคอนแชร์โต หมายเลข 2 ในบันไดเสียง บีแฟลตเมเจอร์,ผลงานลำดับที่19ของ ลุดวิก ฟาน เบโธเฟน นั้น โรเจอร์ นอริงตันอธิบาย “ผ่านไมโครโฟน” ว่า ในบทเพลงนี้ เขาจงใจจัดที่นั่งนักดนตรีในวงใหม่เพื่อให้ตรงกับตอนที่เบโธเฟน นำผลงานชิ้นนี้ออกแสดงในยุคนั้นจริงๆ กล่าวคือ แยกกลุ่มไวโอลินแนวที่หนึ่งและแนวที่สองให้นั่งแยกตรงกันข้ามกัน จัดวงดนตรีล้อมเป็นวงกลม ตั้งเปียโนไว้ตรงกลางวงถอดฝาครอบเปียโนด้านบนออกหมด นักเปียโนหันหลังให้คนดู กลุ่มไวโอลินแนวที่สองหันหลังให้คนดูเช่นเดียวกัน ตัวผู้อำนวยเพลงไปยืนอยู่ใจกลางวงดนตรีหันหน้าเข้าหานักเปียโน

โรเจอร์ นอริงตัน อธิบายว่า เบโธเฟน จัดวางวงดนตรีแบบนี้ เพราะต้องการให้มีลักษณะเหมือนการบรรเลงดนตรีวงเล็กแบบเชมเบอร์มิวสิก (Chamber Music) การจัดวางวงดนตรีในลักษณะนี้ในหอประชุมใหญ่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยในคืนวันนั้น จึงให้สุ้มเสียงที่ฟังดูแปลกหูจริงๆ เพราะเสียงดนตรีที่ออกมาฟังดูรวมตัวกันเป็นกระจุก เป็นก้อนเดียวกัน แยกแนวเสียงต่างๆ ได้ไม่ชัดเจน เสียงจากกลุ่มเครื่องเป่าที่แทบจะจมหายไปหมด เอช เจ ลิมศิลปินเดี่ยวเปียโน มาในชุดกึ่งลำลองสบายๆ สวมเสื้อคลุมยาวตัวนอกสีดำ ฝีมือเทคนิคการบรรเลงของเธอยอดเยี่ยมแน่นอน สามารถจำโน้ตเพลงได้ทั้งเพลงราว 30 นาที โดยไม่ต้องวางโน้ตเพลงไว้เบื้องหน้า

บทเพลงแถมที่มอบให้ในคืนวันนั้น คือท่อนช้าจากเปียโนคอนแชร์โต หมายเลข 21ของโมซาร์ทที่ฟังดูงดงามละมีชีวิตชีวามากขึ้นบทเพลงแถมเพลงที่สองคือ ท็อคคาตา (Toccata)ของ เซอร์เกย์ โพรโคเฟียฟ (Sergei Prokofiev)ที่อวดพลังฤทธิ์เดชทางดนตรีอันร้อนแรงประดุจเปลวไฟอันลุกโชน ซึ่งเธอบรรเลงอย่างเต็มไปด้วยพายุอารมณ์ประดุจปีศาจแห่งดนตรีโรแมนติก ซึ่งตรงกันข้ามกับบทเพลงหลักที่เธอเพิ่งบรรเลงจบไปอย่างสิ้นเชิง

บทเพลง ซิมโฟนี หมายเลข 41 (Jupiter) ของ โมซาร์ท ที่เลือกมาปิดท้ายรายการ แสดงลักษณะบางประการที่เป็นคู่ขนานบนความขัดแย้งอยู่มาก โดยเฉพาะในท่อนที่สองในจังหวะช้า (Andante Cantabile) และในท่อนที่สาม ในลีลาดนตรีเต้นรำแบบมินูเอ็ต(Minuetto) โรเจอร์ นอริงตันก็ได้แสดงแนวคิดที่ “เล่น” กับดนตรีอย่างเป็นอิสระ โดยแทบจะไม่อินังขังขอบใดๆ กับตัวสกอร์ดนตรี เขาสบตาอย่างจดจ้องกับนักดนตรีในวงอย่างเป็นพิเศษ ราวกับบันดาลให้เกิดการสะกดจิตเล็กๆ เพื่อนำทุกคนเข้าสู่โลกแห่งดนตรีอันอิสระเสรี จังหวะดนตรีที่ทั้งยืด-หด, หน่วง-ล้ำ สารพัดที่จะทำกันในช่วงขณะเวลานั้นราวกับเป็นการบรรเลงแบบใช้ปฏิภาณกวี (Improvisation) โดยไม่สนใจว่า โมซาร์ทเขียนสั่งการบรรเลงอะไรเอาไว้ในสกอร์ดนตรีบ้าง ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า เมื่อมาถึงซิมโฟนีบทสุดท้ายของโมซาร์ทบทนี้แล้ว โรเจอร์ นอริงตันสามารถอำนวยเพลงได้อย่างเป็นอิสระ, สร้างความแตกต่างทางดนตรีได้อย่างมีชีวิตชีวา ราวกับเป็นบทเพลงที่ประพันธ์ขึ้นใหม่ที่ยังคงความสดใหม่ราวกับไม่เคยได้รับการบรรเลงมาก่อน อันขัดแย้งกับแนวคิดการนำเสนอการบรรเลงตามข้อเท็จจริงทางวิชาการและประวัติศาสตร์อย่างเคร่งครัดของเขา

มีความจริงบางอย่างที่ไม่ควรมองข้ามนั่นก็คือกระแส HIP( Historically informed performance) หรืออาจเรียกว่า Authentic Performance หรือ Period performance นี้ก็คือ การบรรเลงดนตรีเพื่อให้ตรงกับเสียงดนตรีที่เกิดขึ้นจริงในยุคสมัยนั้นๆ อย่างถูกต้องที่สุด ซึ่งมีกลุ่มวงดนตรีประเภทนี้เกิดขึ้นในยุโรปหลายวง กล่าวคือ London Classical Players (โรเจอร์ นอริงตันก่อตั้งขึ้นด้วยตนเอง), The English Concert ภายใต้การอำนวยเพลงโดย เทรเวอร์ พินน็อค (Trevor Pinnock) นักเล่นฮาร์พซิคอร์ดฝีมือเยี่ยม, Academy of Ancient Music ภายใต้การควบคุมวงโดยคริสโตเฟอร์ ฮอกวูด(Christopher Hogwood) หรือ เชมเบอร์ออร์เคสตรา ออฟ ยุโรป ภายใต้การอำนวยเพลงโดย นิโคเลาซ์ อาร์นองกูท์ (Nicolaus Harnoncourt)

ผู้อำนวยเพลงแต่ละคนที่เอ่ยชื่อมานี้ต่างก็มีภูมิรู้ทางประวัติศาสตร์และปรัชญามาด้วยกันทั้งสิ้น แต่ผลงานค้นคว้าวิจัยทางดนตรีของแต่ละท่านกลับสร้างมาตรฐานการบรรเลงที่ต่างก็ออกมาแบบไม่เหมือนกันเลย และต่างก็อ้างกันว่า นี่แหละคือเสียงของดนตรีในศตวรรษที่18 อย่างแท้จริง แล้วตกลงคนฟังดนตรีสามัญธรรมดาๆ อย่างเราๆ จะปักใจเชื่อใครดีว่า นั่นคือเสียงดนตรีแบบโมซาร์ท, ไฮเดินหรือเบโธเฟนที่แท้จริง เพราะหลักฐานที่ตกทอดมาถึงปัจจุบันก็อยู่ในรูปพยานวัตถุและเอกสารเท่านั้น ไม่มีงานบันทึกเสียงแบบไฮไฟ หรือดิจิตอลในยุคนั้นที่จะมาเป็นข้อตัดสินชี้ขาด (ทั้งนี้ยังไม่ต้องพูดถึงว่าวงดนตรีย้อนยุคหลายวงเหล่านี้ บางทีก็ใช้สมาชิกนักดนตรีที่เป็นคนกลุ่มเดียวๆกัน วิ่งสลับย้ายวิกไป-มาภายใต้ชื่อวงและผู้อำนวยเพลงที่ต่างกัน!)

เราหันมาย้อนพิจารณาแค่การบรรเลงของซูริคเชมเบอร์ออร์เคสตรา ที่เพิ่งจะผ่านไปก่อนแค่นี้ก็พอ แม้พวกเขาอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของกระแส HIP แต่ก็มิได้มีการใช้เครื่องดนตรีโบราณในการบรรเลงแบบวงดนตรีอื่นๆ บางวงในกลุ่มความเคลื่อนไหวนี้ กลุ่มเครื่องสายที่ยังใช้สายและคันชัก (Bow) แบบปัจจุบัน มิได้ใช้คันชักทรงคันธนูแบบคันชักเครื่องสายในศตวรรษที่18 กลุ่มเครื่องเป่าทั้งกลุ่มเครื่องทองเหลือง (Brass) และกลุ่มเครื่องลมไม้ (Woodwind) ซึ่งใช้เครื่องดนตรีในแบบปัจจุบันทั้งหมด ไม่ได้ใช้เครื่องเป่าที่จำลองแบบมาจากเครื่องดนตรีในพิพิธภัณฑ์แบบวงดนตรีย้อนยุควงอื่นๆ แค่นี้ก็คงพอจะตอบคำถามในบางแง่มุมได้บ้างแล้วว่าการบรรเลงแบบนี้จะนำพาเราย้อนยุคไปสู่ “เสียงแห่งดนตรียุคคลาสสิก” ได้จริงหรือ

การจัดวงแบบล้อมปิดเป็นวงกลมแล้วให้ผู้อำนวยเพลงยืนอยู่ใจกลางวงยิ่งเป็นประเด็นที่น่าอภิปรายถึง เหตุผลก็คือท่านเซอร์ โรเจอร์นอริงตัน บอกว่านี่เป็นลักษณะการจัดวงตามแบบในสมัยที่เบโธเฟนบรรเลงบทเพลงนี้อย่างแท้จริง เราคงต้องไม่ลืมว่าสภาพห้องแสดงดนตรีในสมัยศตวรรษที่18 นั้น มีความแตกต่างจากหอแสดงดนตรี (Concert Hall) ในยุคปัจจุบันอย่างแทบจะเทียบกันไม่ได้เลย

ห้องแสดงดนตรีในยุคสมัยของโมซาร์ทหรือเบโธเฟน ยังเป็นลักษณะแบบห้องโถงหรือท้องพระโรงในวังของกษัตริย์ หรือเจ้านาย,ขุนนางชั้นสูงที่จุผู้คนได้อยู่ในหลักสิบหรืออาจแค่ร้อยกว่าคน เราจึงไม่ต้องแปลกใจที่ว่าบทเพลงซิมโฟนีหลายๆ บทของโมซาร์ท หรือแม้กระทั่งเรื่อยมาจนถึงซิมโฟนีหมายเลข 3(Eroica) ของเบโธเฟนนั้น บรรเลงรอบปฐมทัศน์กันในห้องแสดงดนตรีขนาดย่อมๆ เหล่านี้ ซึ่งแน่นอนว่าวงดนตรีที่ใช้ก็ย่อมเป็นวงดนตรีขนาดเล็กและบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีที่ยังเปล่งเสียงได้ไม่ดังมากเหมือนเครื่องดนตรีในยุคนี้ ดังนั้นการจัดวงดนตรีแบบล้อมเป็นวงกลมที่เบโธเฟนกระทำ จึงไม่น่าส่งผลทางเสียงที่แตกต่างมากนักกับการจัดวงแบบครึ่งวงกลมมาตรฐาน

และยิ่งเมื่อพิจารณาถึงความจริงที่ว่าเบโธเฟนหูหนวก ก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นว่าเหตุใดเขาจึงต้องเอานักดนตรีทั้งหมดมาล้อมเป็นวงรอบตัวเขา ที่น่าจะช่วยให้สะดวกต่อการได้ยินของตัวเขามากยิ่งขึ้น (เบโธเฟนยืนกรานอำนวยเพลงด้วยตนเองอยู่บ่อยๆ เรื่อยมาจนถึงซิมโฟนีหมายเลข 9 ตอนที่หูของเขาหนวกสนิทแล้ว!) แต่การยึดรูปแบบการจัดวงเช่นว่านี้ในศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย หอแสดงดนตรียุคใหม่ที่จุผู้ฟังได้นับพันคน จึงเป็นการสร้างอุปสรรคต่อการฟังไปบ้าง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จนเกิดเสียงที่กระจุกรวมตัวกันไปหมด เสมือนการดำเนินรอยตามความจริงทางประวัติศาสตร์ ที่ไม่ได้สอดคล้องต่อสภาพความจริงในปัจจุบัน ซึ่งไม่ได้เป็นการรับใช้หรือตอบสนองวัตถุประสงค์ทางดนตรีให้เต็มที่แบบที่ควรจะเป็น

การบรรเลงดนตรีย้อนยุคแบบนี้ ซึ่งทั้งผู้บรรเลงและผู้ฟังต่างก็ล้วนเกิดไม่ทันศิลปินต้นกำเนิดผู้แต่งเพลง ก็อาจเปรียบได้กับหลักศาสนาทีเดียวอย่างเช่นศาสนาพุทธนี้ ก็ยังแบ่งได้ทั้งนิกายเถรวาทและมหายาน ฝ่ายเถรวาทที่ยึดมั่นตามพระไตรปิฎก และยึดมั่นในสิ่งที่พระบรมศาสดาเคยตรัสไว้ในสมัยพุทธกาลอย่างไม่ผิดเพี้ยน ส่วนฝ่ายมหายานก็ไม่ยึดมั่นในพระไตรปิฎก ยอมรับการปรับเปลี่ยนในข้อหลักธรรมต่าง ๆ และเน้นการปฏิบัติที่มุ่งไปยังจิตโดยตรงอย่างรวดเร็วเพื่อการหลุดพ้นในฉับพลันทันที

และเมื่อกล่าวมาถึงจุดนี้ก็จะขอเปรียบเทียบวิธีคิด-การตีความทางดนตรีย้อนยุคของโรเจอร์ นอริงตันว่า มีอะไรบางอย่างที่มีแนวคิดแบบฝ่ายเถรวาท ที่ดำเนินรอยตามแนวทางบางอย่างของการบรรเลงของศิลปินต้นแบบอย่างเคร่งครัด จนไม่ปรับปรน บางสิ่งบางอย่างให้เข้ากับยุคสมัยและวิถีชีวิตทางดนตรีในปัจจุบัน โดยเฉพาะบทเพลงเปียโนคอนแชร์โตของเบโธเฟน เป็นการถอดแบบวิถีปฏิบัติของเบโธเฟน โดยมิได้เอื้ออำนวยต่อการสื่อความทางดนตรีในสถานที่จริงในปัจจุบัน

และจะว่าไปแล้วการย้อนยุคของ โรเจอร์ นอริงตันก็ยังมีช่องโหว่อยู่ในประการสำคัญก็คือ เครื่องดนตรีในวงทุกชิ้นมิได้ถอดแบบมาจากเครื่องดนตรีในศตวรรษที่18แต่อย่างใดแล้วเราจะไปหา “เสียงโมซาร์ท”, “เสียงเบโธเฟน”ที่ว่าแท้จริงได้อย่างไร จนบางทีมันน่าจะเป็นเรื่องสุดวิสัยที่เราจะไปแสวงหาสิ่งเหล่านี้ในสภาพบริบทสังคมชีวิตยุคปัจจุบัน มีศิลปินดนตรีหลายคนที่ได้รับการยกย่องว่าเข้าถึงและตีความดนตรีของโมซาร์ท หรือเบโธเฟนได้อย่างงดงาม,ลงตัว โดยไม่จำเป็นต้องพยายามใฝ่หาอะไรที่ต้อง “ย้อนยุค” เลย ตัวอย่างเช่น เซอร์ โคลิน เดวิส (Sir Colin Davis) หรือ เซอร์ เนวิลล์ มาริเนอร์ (Sir Neville Marriner)ในผลงานดนตรีของโมซาร์ท หรือ อ็อตโต เคลมเพอเรอ (Otto Klemperer) ที่อำนวยเพลงงานดนตรีซิมโฟนีของเบโธเฟน จนได้รับการอ้างอิงเชื่อถือมาจนทุกวันนี้

มีหลักคิดทางดนตรีที่น่าฟังในเรื่องนี้ประการหนึ่งที่ผมเอง ขอสารภาพว่าจำไม่ได้แล้วว่าใครกล่าวไว้ แต่ใจความนั้นมีอยู่ในทำนองที่ว่า... เปล่าประโยชน์ในอันที่เราจะไปหาข้อสรุปเรื่องดนตรีย้อนยุค พวกเราทุกคนต่างล้วนมีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 21 ซึ่งผ่านเสียงดนตรีดนตรีศตวรรษที่ 20 อย่าง บาร์ท็อค,โพรโคเฟียฟ,สตราวินสกีหรือเพ็นเดอเร็คกิมามากมาย หูเรา,การรับรู้ทางดนตรีของเรามันมิได้บริสุทธิ์ผุดผ่องสำหรับดนตรีสมัยศตวรรษที่ 18 อย่างแท้จริงหรอก... ผมเองชื่นชอบกับแนวคิดทางดนตรีในข้อนี้มาก(แม้จะจำไม่ได้ว่าใครกล่าวไว้)

ประเด็นทิ้งท้ายที่น่าคิดเพิ่มขึ้นไปอีกก็คือ แล้วถ้าเบโธเฟน หรือ โมซาร์ทมีชีวิตอยู่ในยุคปัจจุบันเล่าท่านจะเลือกกรุงเวียนนา หรือเมืองภาพยนตร์อย่างฮอลลีวูดเป็นแหล่งพำนักในการสร้างงานดนตรี ท่านจะเขียนดนตรีประกอบภาพยนตร์หรือไม่? หรือจะจำกัดวงเขียนแต่ดนตรีซิมโฟนีและละครร้องอุปรากร (Opera) เพียงเท่านั้น วิถีปฏิบัติทางดนตรีหลายประการในยุคสมัยของท่านเหล่านี้แท้จริงแล้วเราคงต้องยอมรับว่า มันเกิดขึ้นจากสิ่งที่เป็น “ข้อจำกัด”ในสมัยของท่านนั่นเอง ทำไมซิมโฟนีของเบโธเฟนที่ก้าวหน้าล้ำยุคในสมัยนั้นจึงยังล้าหลังทางเทคนิคในหลายประการเมื่อเทียบกับซิมโฟนีของมาห์เลอร์ที่กำลังฮิตระเบิดเถิดเทิงในปัจจุบัน ก็ลองให้เบโธเฟนมาเกิดร่วมสมัยกับมาห์เลอร์ดูบ้างสิ ให้เบโธเฟนได้มีโอกาสพบกับเครื่องดนตรีในวงซิมโฟนีออร์เคสตราที่ได้รับการพัฒนาศักยภาพจนถึงขีดสุดแบบที่มาห์เลอร์ได้มีโอกาสพบบ้างสิ

ลองดูซิว่า ดนตรีซิมโฟนีของเบโธเฟนจะยังอยู่ในขีดจำกัดบางอย่างแบบที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้หรือไม่?