ตามรอยชาร์ลส์ ดาร์วิน ตามฝัน 'กาลาปากอส'

ภารกิจพิชิตฝันของสองนักชีววิทยาแถวหน้าของเมืองไทยในดินแดนมหัศจรรย์ต้นธารทฤษฎีวิวัฒนาการ
มีหลายเหตุผลที่ทำให้คนเราออกเดินทาง แต่ถ้าถาม ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์ รองผู้อำนวยการ ฝ่ายสื่อวิทยาศาสตร์ สวทช. กับ รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แรงบันดาลใจเดียวกันที่ทำให้ข้ามน้ำข้ามทะเล ขึ้นเครื่องบินโดยสารรถยนต์ก่อนจะลงเรืออีกหลายต่อไปจนถึงเกาะกาลาปากอส ประเทศเอกัวดอร์ ก็คือการตามรอย ชาร์ลส์ ดาร์วิน เจ้าของทฤษฎีวิวัฒนาการ ผู้เป็นดั่งศาสดาของนักชีววิทยาทั่วโลก
และเพราะที่นั่นคือความฝันที่ต้องไปสักครั้งในชีวิต เมื่อเท้าเหยียบแผ่นดินอันเป็นตำนาน ทั้งนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ ดร.นำชัย และนักวิชาการผู้เปิดโปงเรื่องลวงโลกจนเป็นที่รู้จักอย่าง ดร.เจษฎา จึงส่องกล้องกาลาปากอสแบบครบถ้วนทุกมุมมอง
-ร่วมทริปไปกาลาปากอสครั้งนี้ได้อย่างไรคะ
ดร.นำชัย: ผมเห็นโฆษณาของสิงห์ (โครงการ Singha Discovers 500) รับสมัครผู้ร่วมเดินทางไปเกาะกาลาปากอส ในฐานะนักชีววิทยาก็น่าสนใจ เขาให้แพ็คทีม 2 คน ก็เลยชวน อ.เจษฎา เพราะวิธีคิด อุปนิสัยใจคอ อะไรต่อมิอะไรคล้ายๆ กัน แล้วแกค่อนข้าง High Profile นิดนึง หลังๆ อาจารย์นอกจากจับเรื่องโกหกหลอกลวงทั้งหลายแล้ว ยังไปแตะๆ เรื่องการเมืองอะไรด้วยก็มีคนรู้จักกว้างขวาง
ดร.เจษฎา: พออาจารย์นำชัยติดต่อมาว่ามีโครงการนี้สนใจมั้ย ผมก็เฮ้ย มันมีจริงๆ เหรอ ต้องทำวีดีโอส่งจะทำทันมั้ย พี่เขาก็บอกว่าเดี๋ยวจัดการให้ ซึ่งเราเป็นคู่นักวิชาการดูน่าจะมีน้ำหนัก แล้วมันเป็นความฝันอยู่แล้วโดยธรรมชาติว่าเราเรียนสายชีวะ ต้องอยากไปกาลาปากอสแน่ๆ ก็เลยโอเค
-ในมุมของนักชีววิทยาเกาะที่อยู่ห่างไกลแบบนั้นมีความพิเศษอย่างไร
ดร.นำชัย: คือนักชีวะก็จะมีฮีโร่อยู่หลายคน คนหนึ่งซึ่งแน่นอนทุกคนต้องรู้จัก คือ ชาร์ลส์ ดาร์วิน และทฤษฎีวิวัฒนาการของเขา ทีนี้ในนั้นก็จะพูดถึงหลักฐานหลายๆ อย่าง รวมทั้งหลักฐานส่วนหนึ่งซึ่งได้มาจากเกาะกาลาปากอส ฉะนั้นเราก็อยากจะเห็นด้วยตาตนเอง ในมุมของผมก็อยากไปดูหลักฐานต่างๆ ที่พอเราแปลหนังสือ "The Origin of Species" ร่วมกับอีกหลายๆ คน ผมเขียนประวัติของดาร์วิน เพราะฉะนั้นก็ผ่านหูผ่านตาว่าเขาพูดถึงอะไร ไปเจออะไร รู้สึกว่ากาลาปากอสมันยูนีคมาก มันมีอะไรที่พิเศษ
ดร.เจษฎา: ผมเชื่อว่าใครที่เรียนทางชีววิทยาทุกคนต้องเคยได้ยินชื่อกาลาปากอสมาก่อนนะครับ จริงๆ แล้วถ้าเราพูดถึงสัตว์แปลกๆ ทั่วโลก หรือว่าสิ่งมีชีวิตแปลกๆ ที่อื่นก็มี อย่างไปออสเตรเลีย เราก็อยากเห็นสัตว์มีกระเป๋าพวกจิงโจ้ ไปขั้วโลกก็อยากไปเห็นเพนกวินอะไรก็ตาม แต่มันก็เป็นแค่พื้นที่ที่คนคุ้นเคยกัน ไม่ได้เป็นตำนานเหมือนกาลาปากอส การที่เราได้เรียนเรื่องเกี่ยวกับวิวัฒนาการ ทฤษฎีของชาร์ลส์ ดาร์วิน การพึ่งพิงธรรมชาติ มันจะเริ่มไม่ได้เลย ถ้ามันไม่มีตำนานตรงนี้เกิดขึ้นมาก่อน แล้วทุกคนจะจำว่า ที่นี่คือจุดหนึ่งที่แม้ว่าดาร์วินจะเดินทางไปทั่วโลกแต่มันคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาเริ่มมองเห็นอะไรบางอย่าง โดยส่วนตัวผมเองสอนวิชานี้อยู่ สอนชีววิทยา สอนวิวัฒนาการ เวลาเราพูดเราจะพูดด้วยแพชชั่นในการเล่าให้เด็กฟังว่าดาร์วินไปทำอะไรที่นั่น มันก็เลยปลูกฝังกันมาเรื่อยๆ ว่า กาลาปากอส คือที่หนึ่งในชีวิตถ้ามีโอกาสไปได้มันคือสุดยอดแล้ว
-ถึงขนาดเปรียบเทียบว่ามันคือเมกกะของนักชีววิทยา?
ดร.เจษฎา: คือผมใช้คำนี้ไป หลายคนก็จะขำๆ หรืองงๆ ว่ามันคืออะไร คนนับถือศาสนาอิสลามครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไปทำพิธีที่เมกกะ ฉะนั้นเหมือนกับเรามองว่าครั้งหนึ่งในชีวิตในฐานะนักชีววิทยาอยากไปกาลาปากอส ซึ่งก็ไม่มีแนวโน้มว่าจะเป็นไปได้ เพราะการเดินทางไปไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เงินเยอะ จริงๆ เคยคิดว่าเก็บเงินยันเกษียณ พอเกษียณแล้วยังไงก็ขอไปสักครั้งหนึ่งโชคดีว่ามีโอกาสไปในครั้งนี้ด้วย
ดร.นำชัย: สำหรับผมมันเป็นสถานที่ที่ต้องไป เป็นลิสต์ของนักชีวะ จริงๆ ก็มีอีกหลายจุดนะ คือโดยปกติทุกปีผมจะลาไปสักหนสองหน เพื่อไปตามดูอดีต ไปตามดูปัจจุบันของนักวิทยาศาสตร์หลายๆ คนอยู่แล้ว อย่างสองปีก่อนก็ไปที่ Natural History Museum ของอังกฤษ ไปที่ British Museum ซึ่งก็จะไปเจอรูปปั้นดาร์วินนั่งอยู่ อะไรแบบนี้ ก็ไปตามรอย ผมไปบ้านของนิวตันมาแล้ว ผมไปที่เคมบริดจ์ ไปดูต้นไม้ที่เขาคุยว่าน่าจะเป็นต้นแอปเปิลต้นที่นิวตันมานั่ง ก็คือนักวิทยาศาสตร์จะสนใจส่วนที่เป็นแลนด์มาร์กทางประวัติศาสตร์ แล้วผมก็เป็นนักเขียนอยู่ด้วย ผมก็สนใจที่จะหารูปที่เป็นออริจินอลมาใช้ประกอบงานเขียนของตัวเอง
ดร.เจษฎา: ผมขอเสริมนิดนึง คือจะอารมณ์เดียวกัน ชาร์ลส์ ดาร์วิน ก็เป็นเหมือนไอดอลในสายชีวะ แบบที่ไอน์สไตน์เป็นในสายฟิสิกส์ ฉะนั้นตอนผมไปเรียนที่สกอตแลนด์ ไปเรียนเอดินเบอระ เป็นเมืองที่ดาร์วินเคยไปเรียน ผมก็ไปตามหาว่าบ้านเขาเคยอยู่ตรงไหน ทีนี้ตอนช่วงเรียนอยู่ก็ไม่เคยได้มีโอกาสไปเที่ยวบ้านดาร์วิน ซึ่งอยู่ทางอังกฤษตอนล่าง แต่เมื่อไม่นานนี้มีโอกาสไปเที่ยวอังกฤษอีกรอบก็ไปเก็บตก มันเหมือนกับว่าสักครั้งในชีวิตต้องไปเที่ยวบ้านดาร์วินให้ได้ แต่ก็ไม่คิดว่าในชีวิตนี้จะได้มาที่กาลาปากอส ถือว่าได้ครบทั้งหมดที่ต้องการแล้ว
-การเดินทางไปในสถานที่แบบนี้มันให้อะไรกับเราคะ
ดร.นำชัย: มันได้คิด ได้สงสัยอะไรเพิ่ม ยกตัวอย่าง นิวตัน ส่วนใหญ่เราจะได้ฟังมาว่าเขานั่งใต้ต้นแอปเปิลจนเป็นที่มาของกฎแรงโน้มถ่วง แต่ถามว่าต้นแอปเปิลที่ไหน ผมไปสองที่นะ ที่บ้านเขา กับที่มหาวิทยาลัย ก็จะมีล้อมรั้วต้นแอปเปิลเหมือนกัน เราก็ไม่รู้ต้นไหนกันแน่ อะไรแบบนี้ แล้วไปที่บ้านของนิวตันก็จะมีรู รูนี้แหละที่ทำให้นิวตันเริ่มคิดเรื่องสเปกตรัม เขาก็จะโม้มาให้ฟัง เราก็แบบจริงเปล่าว้า ในทำนองเดียวกันไปบ้านดาร์วินก็จะเห็นโต๊ะเก้าอี้ เห็นความเป็นอยู่เขาว่า เออ…ชีวิตเขาเป็นประมาณไหน ก็น่าสนใจ เป็นงานอดิเรกที่ผมว่าสนุกดี
-ทีนี้พอได้ไปถึงกาลาปากอสแล้ว เหมือนกับที่คิดไว้ไหม
ดร.เจษฎา: มันก็มีทั้งที่เหมือนแล้วก็แตกต่าง คือเวลาเราสอนหนังสือก็จะบอกว่าในธรรมชาติมันมีตัวนั้นตัวนี้ จะเห็นภาพแบบป่าๆ ตลอด แต่ว่าก่อนเดินทางก็ไปทำการบ้านนิดนึง หาวีดิโอมาดู ก็เฮ้ย มันเป็นเมืองกว่าที่คิด ทีนี้พอไปเห็นก็เออจริงด้วย ตรงส่วนที่เป็นเมืองก็เป็นเมือง ความแปลกใจอันแรก คือมันก็เป็นเมืองจริงๆ เนอะ แต่ในมุมกลับคือว่า แล้วตรงที่ไม่ใช่เมือง เขากลับดูแลไว้ดีมาก ธรรมชาติคือธรรมชาติเลย
ส่วนสัตว์ต่างๆ ก่อนไปเรารู้จักแค่ไม่กี่ตัวในตำรา แต่พอจะไปจริงๆ ถึงรู้ว่ากาลาปากอสมีสัตว์แปลกๆ อีกเยอะเลย เยอะมากกว่าที่เราแค่ใช้สอนด้วยซ้ำ และแต่ละตัวก็มีลักษณะสำคัญ หรือจุดที่แปลกออกไป อย่างที่ผมสอน ผมบอกว่านกฟินช์มันมีหลายหน้าตา แต่ละหน้าตาอยู่แต่ละเกาะ แต่พอไปถึงจริงๆ มันก็มีหลายอย่างที่ไม่ตรงกับที่เราเข้าใจ เราเริ่มเห็นภาพชัดมากขึ้น หรืออิกัวน่าทะเล เราก็เคยดูในสารคดี ถ่ายมาเป็นตัว พอเราไปเห็นมันก็อยู่กันง่ายๆ อย่างนี้เลยเหรอ บางตัวก็ตัวเล็กๆ เดินไปเดินมา ซึ่งมันกลับเป็นความประทับใจสำหรับผมนะ
ดร.นำชัย: ส่วนหนึ่งที่ผมสนใจเป็นพิเศษ ก็คือการบริหารจัดการ ซึ่งได้ประโยชน์มากนะ ความเอาจริงเอาจังของเขาเนี่ยมันทำให้สามารถรับนักท่องเที่ยวจำนวนมากได้พร้อมๆ กับยังดูแลสภาพให้ใกล้กับของเดิมมาก ซึ่งบ้านเราถ้าทำแบบเดียวกัน เราต้องเปลี่ยนวิธีการทำงาน วิธีที่ชาวบ้านหรือบริษัททัวร์จะหากินกับพื้นที่ในหลายๆ แบบ ยกตัวอย่าง ที่นั่นเรานั่งเรือยอร์ชแล้วก็ลงเรือยาง แทบจะไม่เห็นคราบน้ำมันอะไรเลย ซึ่งผมนึกถึงเมื่อสิบปีที่แล้ว ไปเที่ยวใต้ ตั้งแต่เรือใหญ่จนเรือเล็ก ไปถึงตรงไหนจะมีแต่คราบน้ำมัน คือการบริหารจัดการตรงนี้มันต้องการความละเอียดอ่อน ถ้าคุณอยากให้ประเทศเป็นเมืองท่องเที่ยวซึ่งมีคุณภาพดี ไม่ใช่คนมาแล้วไม่มาอีก เพราะว่ามันโทรมลงๆ เราต้องมีการดูแลบริหารจัดการซึ่งต้องการความจริงจัง บ้านเราอาจจะต้องคิดละเอียดเรื่องนี้และอีกหลายๆ อย่าง
-เรียกว่าของเขากฎเป็นกฎ ไม่มียกเว้นเป็นกรณีพิเศษ?
ดร.นำชัย: ถูกฮะๆ
ดร.เจษฎา: คือกฎพวกนี้มันไม่ได้วางแค่คนเอกัวดอร์เอง แต่มันวางโดยระดับโลกเลย เพราะเขาเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติที่แรกของโลก และได้ข่าวว่าถูกเชิญ คือปกติอย่างประเทศไทยถ้าอยากเอาเขาใหญ่เข้าไปก็ต้องสมัครใช่มั้ยครับ แต่ที่นี่คือที่แรกที่ยูเนสโกขอให้เป็น ฉะนั้นตั้งแต่ปีแรกที่เริ่มประกาศมาถึงวันนี้เขาเข้ามาบริหารจัดการ วางกฎไว้เยอะแยะเลย อย่างเราไปเรือใหญ่ ถ้าเป็นบ้านเราเรือใหญ่อาจจะมาจอดรับถึงท่าเรือเลยก็ได้ แต่นี่เราต้องนั่งเรือแท็กซี่ไปต่อเรือใหญ่ คือมีกฎที่เราคาดไม่ถึง แล้วก็มีไกด์ดูแล ถ้าไกด์ไม่ยอมทำตามกฎมาให้สิทธิพิเศษกับเรา ไกด์ก็จะเสียใบอนุญาต เสียอาชีพไปเลย
ดร.นำชัย: คือเบื้องหลังกฎพวกนั้น เราจินตนาการได้ว่ามันมีคำอธิบายอยู่ เช่นห้ามเอาเรือยอร์ชขนาดใหญ่เข้าไปใกล้ชายฝั่งมากๆ เพราะเรือมันกินน้ำลึกกว่า แล้วมันก็อาจจะไปทำลายพวกปะการังที่อยู่ด้านล่าง ซึ่งแน่นอนถ้าเป็นเรือยางท้องมันไม่กินน้ำลึก พวกนี้มันมีระเบียบมีวิธีจัดการ แล้วเขาก็ทำได้ดี อย่างในที่พักเราแม้จะหรูขนาดนั้น อุปกรณ์หลายๆ อย่างก็เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
-อะไรคือความตื่นเต้นแบบนักชีววิทยาที่กาลาปากอสคะ ได้ข่าวว่าอ.เจษฎากรี๊ดไปหลายรอบมาก
ดร.เจษฎา: (หัวเราะ) ผมต้องเล่าย้อนกลับไปว่า ตอนผมไปบ้านชาร์ลส์ ดาร์วิน ที่อังกฤษ ผมไปกับแฟนผม ผมก็กรี๊ดสารพัดเลย เฮ้ย มุมนี้ๆ ฉากนี้ ตรงนี้นี่นา คือเราอ่านประวัติเขามา แต่แฟนผมก็ไม่เข้าใจว่าอะไร งานนี้เหมือนกัน ทุกคนก็จะถ่ายภาพเฮฮาร่าเริง โอเคอย่างเต่ายักษ์ทุกคนต้องกรี๊ดอยู่แล้ว เพราะไม่เคยเห็นกัน คือผมรู้สึกดีใจที่ได้เห็นพฤติกรรมมัน ได้รู้ว่ามันมีนิสัยยังไง แล้วพอเจอนกฟินช์ ซึ่งมันคือนกในตำนานของดาร์วินเลย เมื่อก่อนเห็นแต่รูปภาพอย่างเดียว เห็นตัวจริงมันกระโดดๆ เราก็ตื่นเต้นมาก ซึ่งคนอื่นเขาก็มองเหมือนนกกระจอกธรรมดา หรืออย่างนกมัคกิ้งเบิร์ด เราก็วิ่งไล่ถ่ายรูป ความประทับใจคือการที่เราได้เห็นตัวจริงๆ ของมัน ชีวิตของมันมากกว่า
แต่จุดที่พีคสุดคือการที่ผมได้ลงไปดำน้ำ เพราะผมว่ายน้ำไม่เป็น ผมก็ไม่กล้า แต่ครั้งหนึ่งมาถึงนี่แล้วจะไม่ทำเหรอ ทุกคนเขาทำหมด ซึ่งคนอื่นอาจมองว่าธรรมดามากการลงไปว่ายน้ำ แต่สำหรับผมพอลงไปมันคือเปลี่ยนมุมมองของตัวเราเองว่าเราต้องกล้ามากขึ้น แล้วก็ได้เห็นสิ่งที่เราไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น เช่น ฉลาม คือฉลามว่ายน้ำต่อหน้าแล้วเราก็ว่ายตามไป อยู่เมืองไทยไม่คิดว่าจะได้ทำอย่างนี้แน่ๆ
ดร.นำชัย: ของผมมองเรื่องการปรับตัวกับหลายๆ อย่าง คือความต้องการของเราที่จะไปเห็นสัตว์ ไปดูไปสังเกตไปทำอะไรต่อมิอะไรเนี่ย นั่นเป็นพาร์ทสำคัญในชีวิต แต่ว่าภารกิจที่ไปจริงๆ คือไปถ่ายหนัง มันก็ต้องมีความสมดุล เราต้องพร้อมให้เขาเรียกไปเข้าฉาก แต่ขณะที่เราไม่ต้องเข้าฉาก เราก็ถ่ายอะไรที่เราสนใจของเรา แต่ต้องอยู่แถวนั้น ก็ต้องหาสมดุลในการทำงาน แล้วก็ได้เห็นวิธีการทำงานของคนอื่นๆ ด้วย
-คือไม่ได้เรียนรู้ในแง่วิทยาศาสตร์อย่างเดียว แต่เรียนรู้จากเพื่อนร่วมทริปด้วย?
ดร.เจษฎา: จริงๆ มันเป็นความผูกพันด้วยนะ คือแต่ละคนที่ไปก็ไม่ใช่ทำตามหน้าที่ตัวเองคนเดียว ต้องทำเป็นทีมทั้งหมด ต้องช่วยเหลือกันตลอดเวลา ที่ผมได้เรียนรู้มากคือการได้เข้าไปคุยกับแต่ละคนมากขึ้น ชีวิตเราวันๆ ก็อยู่ในกรอบวิชาการ ชีวิตพวกดาราเขาเป็นยังไงบ้าง ชีวิตจริงเขาทำงานขนาดไหน เขาทำงานเหนื่อยหนักนะ แล้วเขาดูแลสุขภาพยังไง อย่างคุยกับชาคริต เขาบอกผมออกกำลังกายทุกวัน วันละชั่วโมง เราก็กิลตี้ (หัวเราะ) ตายละ วันๆ เวลาเราก็มีนะ แต่ไม่เคยออกกำลังกายอะไรเลย
มันก็ได้เห็นแต่ละคน เห็นมุมมอง อย่าง คริส (หอวัง) ก็จะชอบคุยว่าทำยังไงให้บ้านเราอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้ดีขึ้น ซึ่งเราก็ไม่เคยเห็นภาพนี้ เขาชวนว่ากลับไปเรารวมตัวกันมั้ย มาตั้งกลุ่มเรื่องสิ่งแวดล้อม ส่วนติ๊ก (เจษฎาภรณ์ ผลดี) นี่ชัดเจนมาก ก็นั่งคุยเรื่องการจัดการ เขาไปถ่ายมาหลายที่ ผู้ชมที่ดูรายการก็จะสนุก แต่เราไม่รู้เลยเบื้องหลังเขาลำบากนะ บางที่ก็เข้ายาก บางทีก็ไม่ให้เข้าเลย หรือจัดการไม่ดี คือกลายเป็นว่านอกจากเรียนรู้จากสิ่งที่เราเห็น พอเราคุยกับคนอื่นในทีมทั้งหมด ได้ผูกพันกัน เราได้เรียนรู้ในสิ่งที่เขาเห็นด้วย ผมว่าได้อะไรเยอะทีเดียว
-ระหว่างการเดินทางมีเรื่องเซอร์ไพรซ์บ้างไหมคะ
ดร.เจษฎา: มันเซอร์ไพรส์ 2 รอบ รอบที่หนึ่งคือสัตว์ที่กาลาปากอสมันอยู่อย่างนี้เองเหรอ มันไม่ได้แปลกอย่างที่เราคิดนะว่าตามหายาก อย่างที่สองคือ มันอยู่ด้วยกันได้ยังไง มันอยู่กับคนได้ยังไง เวลาผ่านไปตั้งนาน ติ๊กเคยถามคำถามนี้กับผม ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมบ้านเราไม่เป็นอย่างนี้บ้างล่ะ สัตว์แปลกๆ บ้านเรามันกลัวคนนะ แล้วมันก็หายไป
ดร.นำชัย: สัตว์ที่ไหนในโลกก็กลัวคน
ดร.เจษฎา: ใช่ๆ ทำไมไม่เห็นเหมือนกับที่กาลาปากอส
ดร.นำชัย: คือสัตว์ที่นี่มันเชื่องมาก ดาร์วินพูดในหนังสือเขาเยอะว่า สัตว์ที่มันเชื่องเพราะมันไม่เจอกับความโหดร้ายของมนุษย์ มันเลยไม่ต้องเรียนรู้ มันเลยไม่ต้องคัดตัวซึ่งจะต้องหลบเก่ง หนีเก่งถึงจะอยู่รอด มันก็เลยอยู่เฉยๆ มันเห็นเราเหมือนสัตว์ตัวหนึ่งซึ่งมันไม่สนใจ เราไม่ไปกินมัน เราไม่ไปไล่มัน ทำร้ายมัน มันก็เดินผ่านเราไปเฉยๆ หรืออาจจะยืนมองๆ ซึ่งไอ้พฤติกรรมลักษณะที่ไม่กลัว เชื่องแบบนี้ ถ้าเป็นสัตว์เมือง มันหายหมดแล้ว เพราะว่าเราเข้าใกล้คือความเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายของมัน แต่ว่าด้วยกฎระเบียบต่างๆ ของที่นี่ ห้ามเข้าใกล้เกินไป หรือแม้แต่เข้าใกล้ ไกด์ก็จะบอกวิธีการ คุณค่อยๆ เดินนะ อย่าเดินพรวดเข้าไป เพราะการพรวดเข้าไปใกล้ๆ สำหรับมันคือโดนโจมตี
ดร.เจษฎา: คือเมื่อ 200 ปีที่แล้วมันเชื่องก็พอเข้าใจนะ แต่ ณ วันนี้ก็ยังเชื่องอยู่ เราไปเล่นน้ำ เฮ้ยแมวน้ำเข้ามาเล่นด้วย มันจะเป็นไปได้ไง แต่เขาก็คงมีการจัดการอะไรต่างๆ คือประทับใจตรงนี้แหละ
ดร.นำชัย: แต่สัตว์หลายชนิดที่สูญพันธุ์ในประวัติศาสตร์แค่ 300-400 ปี เป็นสัตว์ที่เชื่องมากเกินไปจริงๆ นะ อย่างนกโดโด้ อะไรต่อมิอะไร มันโดนฆ่าโดยที่ไม่รู้สักนิดว่ามันกำลังจะโดนฆ่า จนมันตายไปหมด สูญพันธุ์ไปต่อหน้าต่อตา
-กรณีนี้ถ้าอธิบายด้วยทฤษฎีวิวัฒนาการจะเป็นอย่างไร
ดร.เจษฎา: เขาพยายามอธิบายว่า เหตุผลที่มันเชื่องเพราะไม่มีสัตว์ผู้ล่าเท่าไหร่ คือในเกาะกาลาปากอสเองส่วนใหญ่เป็นสัตว์ที่กินพืช อย่างอิกัวน่าทะเล ที่หน้าตาน่ากลัว กินสาหร่ายทะเล กินกระบองเพชรบ้าง เต่าก็กินกระบองเพชร มีแค่นกบางอย่างที่กินนกด้วยกันเอง แต่โดยรวมๆ มันไม่มีผู้ล่า เขาเลยเชื่อว่ามันชินกับการที่อยู่ด้วยกันมาเรื่อยๆ ถ้ามนุษย์ไม่ได้ล่า แต่ความจริงมันก็มีช่วงที่มนุษย์เข้ามาแล้วก็ล่ามันไปเยอะเลยนะ ผมยังเชื่อว่าเป็นเพราะช่วงหลังเขาบริหารจัดการดีด้วยแหละ
ดร.นำชัย: ต้องบอกว่าเกาะกาลาปากอส เป็นหนี้บุญคุณดาร์วินนะ เพราะว่าอยู่ดีๆ คงไม่มีใครเข้ามาช่วยจัดการอะไรแบบนี้ การที่มันเกิด Research Center การที่มันบริหารจัดการจนลงตัว เป็นเพราะมีประเทศหลายๆ ประเทศทางยุโรปเข้ามาช่วย เพราะชื่อของดาร์วิน เพราะความดังของดาร์วิน
ดร.เจษฎา: แต่ทุกวันนี้ปัญหาก็ยังเยอะอยู่ คนเริ่มอพยพเข้ามาเป็นปัญหาใหญ่มาก คือตั้งแต่เขาประกาศเป็นมรดกโลก กำหนดเลยว่าคนที่อยู่ก่อนหน้านั้นถือเป็นคนท้องถิ่น คนที่เข้ามาหลังจากนั้นห้ามอยู่ถาวรต้องออก แต่พอมันเป็นแหล่งรายได้ คนก็พยายามลักลอบเข้ามา โชคดีว่าเอกัวดอร์โดยพื้นฐานคนของเขารักเรื่องสิ่งแวดล้อมของประเทศสูงมาก เรารู้สึกได้เมื่อเวลาไปคุยกับเขา แต่ที่น่าเป็นห่วงอีกเรื่องก็คือการที่มีสัตว์ต่างถิ่นเข้ามาแล้วทำลายสัตว์อื่น
ดร.นำชัย: เรื่องนี้ยุ่งมาก อย่างมีคนเอาแพะเข้ามา แพะไปกินอาหารของเต่าจนเต่าไม่มีอะไรจะกิน สูญพันธุ์ไปทั้งเกาะ อันนี้ก็เป็นเรื่องหนึ่งซึ่งเกิดขึ้น แล้วมันไม่ได้มีแต่แพะ มีหนู มีหมู ซึ่งพวกนี้กินฉิบหายวายป่วงหมด มันทำลายกระทบเป็นลูกโซ่มาก แม้แต่สุนัขก็กระทบ ฉะนั้นเขาจะไปตามล่า จับออกให้หมดครับ
ดร.เจษฎา: เรื่องแบบนี้บ้านเราไม่เคยคุยกันเลยนะ เรื่องสัตว์ต่างถิ่นที่เข้ามา แต่ละหมู่เกาะของเรา คือพยายามอนุรักษ์มากขึ้น แต่เน้นแค่ให้คนไปเที่ยวเท่านั้นเอง ไม่ได้วางแผนจัดการอะไรที่ละเอียดขนาดนี้
ดร.นำชัย: ผมว่าบ้านเราเน้นท่องเที่ยวผิดวิธี คนที่มีหน้าที่โฆษณาก็โหมโฆษณาจนคนมาเยอะแยะ แต่ไม่มีความสมดุลเลย เมืองไทยมีการสกรีนคนเข้ามาที่ไม่ค่อยดี ไปดูในหนังฮอลลีวู้ด ไปถามไอเดียฝรั่ง เมืองไทยคือเที่ยวแหล่งอโคจร มาปล่อยผี ไปเกาะบางเกาะเพื่อเสพยาเสพติดในวันฟูลมูน ถามว่าเราอยากได้ภาพแบบนี้จริงๆ หรือ แล้วถามว่าภาพแบบนี้คุ้มกับคุณภาพชีวิต คุ้มกับประเทศหรือ ทำไมเราไม่ทำให้มันยั่งยืนกว่านี้
-หลายๆ อย่างที่กาลาปากอสมันสามารถเชื่อมโยงมาถึงบ้านเราได้?
ดร.เจษฎา: อย่างเรื่องฉลาม เมื่อก่อนผมไม่เคยมีเซ้นท์ว่าไปกาลาปากอสไปดูฉลาม คิดว่ามีแต่สัตว์บกแปลกๆ แต่ว่ากาลาปากอสเป็นแหล่งดำน้ำที่สำคัญ คนก็ชอบไปดำน้ำด้วย เนื่องจากกระแสน้ำมันมีหลายกระแสน้ำมาก มีปลาชุกชุม ปลาที่เด่นมากคือ ฉลาม มีมากกว่า 20 สายพันธุ์ และหลายสายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ที่ใกล้สูญพันธุ์ ที่สำคัญมากคือฉลามหัวค้อน ภาพที่ออกมาเราดูในวีดิโอมันสวยมาก เป็นร้อยตัวพันตัว มาเป็นฝูง จนกระทั่งเป็นโลโก้ของที่นั่นได้ มันก็เลยฉุกคิดขึ้นมาว่า จริงๆ ประเทศไทยเอง เราคิดว่าเราไม่ได้เชื่อมโยงกับแหล่งทรัพยากรสำคัญของโลกที่อื่นเลย เราไม่สนใจที่ไกลออกไป แต่ว่าสิ่งที่เราทำอยู่ที่บ้านเรากระเทือนถึงที่บ้านเขาด้วยหรือเปล่า
มันก็เลยแวบขึ้นมาว่า เออ...คนไทย คนจีน หรือคนเอเชียชอบกินหูฉลาม ซึ่งหูฉลามก็มาจากทั่วโลก แล้วพอค้นข้อมูลเข้าไปจริงๆ ก็เห็นชัดว่าฉลามโดนจับที่กาลาปากอสเยอะมาก เป็นการลักลอบ เพราะเขาไม่ได้อนุญาตเลย แล้วหูฉลามนี่เป็นเรื่องทารุณมาก จับทั้งเป็นแล้วตัดเอาครีบฉลามออกไป แล้วมันก็มาถึงชามหูฉลามน้ำแดงที่บ้านเราหรือเปล่า เป็นความเชื่อมโยง คือจริงๆ ตั้งแต่แรกเรื่องการจัดการเป็นสิ่งที่เราอยากจะกระตุ้นให้คนไทยคิดมากขึ้น การได้รู้จักเรื่องสัตว์ต่างๆ อยากให้รู้มากขึ้น ตื่นเต้นกับธรรมชาติ แต่ที่สำคัญคือตรงนี้ สิ่งที่เราทำ ณ วันนี้กระเทือนถึงที่อื่นทั่วโลกหรือเปล่า แค่การกินหูฉลามชามนึง ความจริงคือคุณกำลังทำลายทรัพยากรทั่วโลก นั่นคือสิ่งที่ผมคิด
ดร.นำชัย: ผมมองว่าการบริหารจัดการง่ายๆ ซึ่งไม่ยุ่งยาก ซับซ้อนและมีประสิทธิภาพมากๆ แล้วยั่งยืน ควรจะเร่งทำอย่างด่วนเลย ผมยกตัวอย่างไปเที่ยวถ้ำหลายๆ ที่ ในหลายๆ ประเทศ ไม่แต่กาลาปากอส ถ้าถ้ำคุณมีอะไรเด่นและต้องการโชว์ ต้องห้ามสัมผัส คือผมเคยไปถ้ำหลายแห่งในประเทศไทย ครั้งแรกนี่สวยเลย แวววาว เพราะมีธาตุนู่นนี่นั่นอยู่ แต่ไปอีกทีมันหายไปแล้ว คนไทยไป คนต่างชาติไป เห็นสวยเอามือแตะดูว่าเป็นยังไง คือมันแตะไม่ได้ เป็นข้อห้าม แล้วต้องเป็นข้อห้ามที่เข้มแข็งด้วย ถ้าทางเดินลำบาก คุณก็ต้องมีราวไว้ให้จับ มันต้องมีวิธีบริหารจัดการที่ให้เหมาะสม ซึ่งของเรายังห่างอีกเยอะ
แค่เบื้องต้นพื้นๆ ในที่ท่องเที่ยวทั่วไป ถ้าคุณไม่ใช่คนที่มีร่างกายปกติ แข็งแรง คุณจะเที่ยวได้อย่างไร ถ้าไปด้วยรถเข็น จะเหลือที่ให้เที่ยวน้อยมากเลยในประเทศไทย แต่ถ้าไปหลายๆ ประเทศ เขาจะมีระบบรองรับที่เพิ่มขึ้นมา ซึ่งตรงนี้ผมว่ามันเป็นอีกขั้นนึงนะ ต้องคิดละเอียดขึ้น แต่บางอันที่พื้นๆ อย่างกฎระเบียบอะไรบางอย่าง เราเป็นเจ้าของสถานที่กำหนดได้ แล้วเราเองต้องทำด้วยนะ ต้องใช้กับคนของเราด้วย ซึ่งตรงนี้ทำแล้วมันดีหมด
-เหมือนว่าเป้าหมายแรกคือไปตามฝันแบบนักชีววิทยาทั่วไป แต่พอกลับมาได้มุมมองทางสังคมสิ่งแวดล้อมมาคิดต่อ?
ดร.เจษฎา: ผมว่าเราคล้ายๆ กัน คือเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่สนใจเรื่องสังคมค่อนข้างเยอะ สนใจบ้านเมือง สนใจเรื่องทุกเรื่อง สนใจการเมืองด้วย เพราะฉะนั้นมันก็เลยเป็นมุมที่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยนะ แล้วพอเห็น คือแค่ในเกาะที่เราอยู่ ธรรมชาติก็ธรรมชาติสุดๆ เห็นเต่ายักษ์ตรงส่วนที่เป็นเมือง ที่เป็นท่าเรือ เขาก็ทำดี๊ดี ดีกว่าท่าเรือในเมืองท่องเที่ยวบ้านเราเยอะ มีทางจักรยานตลอดทั้งเมือง ขี่จักรยาน แยกขยะต่างๆ คนก็อยู่กันเรียบร้อย เดินไปซื้อของก็ไม่มีมาตะโกนว่าซื้อมั้ยลดราคา ทุกคนก็อยู่กันเฉยๆ คุณจะซื้อก็ซื้อ ไม่ซื้อก็ไม่ซื้อ มันมีหลายอย่างให้ฉุกคิดแล้วกลับมาคิดด้วย ไม่ใช่แค่เรื่องชีววิทยา แต่นั่นก็ยังเป็นเรื่องที่สุดยอดอยู่นะ
ดร.นำชัย: เรื่องสัตว์ พืช ภูมิอากาศ นี่เราก็ตื่นเต้นตลอดเวลานะ อย่างนกฟริเกต เออเนอะมันบินตามนานสองนาน โลมาก็ว่ายแข่งกับเรือ ในมุมของพฤติกรรมวิทยา นั่งไปเราก็คิดไปว่า เอ๊ะ ทำไมเป็นอย่างนี้นะ ทำไมไม่เป็นอย่างนี้ มันกระตุ้นความรู้ความสงสัยบางอย่างเพิ่มขึ้นในจุดที่เราไม่เคยคิด แต่ว่าในฐานะนักวิทยาศาสตร์ถ้าไม่เชื่อมโยงกับสังคมเลย เราจะเป็นกลุ่มคนที่ใช้ไม่ได้ แล้วเราจะโดนทอดทิ้งจากสังคม เพราะเราแยกตัวเด็ดขาด แต่ถ้ามุมคิดทางวิทยาศาสตร์ทางเทคโนโลยีเอามาช่วยแก้ปัญหาสังคมได้เมื่อไหร่ สังคมก็จะเห็นว่าเราจำเป็นกับสังคมโดยรวมเอง
-ไปครั้งนี้ถือว่าอิ่มหรือยังคะ หรือว่าอยากจะกลับไปอีก
ดร.เจษฎา: แน่นอน สิ่งหนึ่งที่ได้กลับมาคือ เราอยากกลับไปแน่ๆ เพราะว่าเราไปแค่เกาะเดียวเอง กาลาปากอสมีเกาะเยอะ เรารู้ในแผนที่ว่าเกาะอื่นๆ ยังมีสิ่งมีชีวิตที่ประหลาดหรือแปลกกว่านี้อีก แล้วเราก็อยากให้แฟนเรา หรือต่อไปมีลูกหลานมาเห็นด้วย มันมีแต่สิ่งที่เราอยากให้คนอื่นเห็นบ้าง ดังนั้นหนังที่จะออกมาก็เป็นช่องทางหนึ่งที่ให้คนอื่นเห็น ผมว่ามันน่าจะเป็นจุดเริ่มต้น
ดร.นำชัย: ก็อยากไปอีกครับ เพราะครั้งนี้ไปในสภาวะพิเศษมาก เราไปถ่ายหนังมันมีภารกิจของมันอยู่ แต่นึกภาพว่าถ้าเราไปเต็มที่ตรงนั้น สามารถอยู่สักอาทิตย์สองอาทิตย์ น่าจะสนุกกับการเดินทางมากขึ้น อย่างทางช้างเผือกเราก็ไปด้วยความตั้งใจว่าจะได้เห็นเพราะว่าเป็นข้างแรมพอดี แต่กว่าเราจะกลับไปถึงที่พักมันก็ครึ้มๆ ฝนตกเกือบทุกคืน
ดร.เจษฎา: ฉะนั้นเราต้องกลับไปซ่อม ยังมีหลายอย่างที่เรายังไม่เห็น




