เรียกเขาว่า ...ทีมพากย์กะหล่ำดอก

เปิดตัวน้องใหม่ในวงการ "ซับนรก" ที่ยืนยันว่าสิ่งที่เขาทำกับการ "ล้อฟุตบอล" ไม่ใช่เรื่องความบังเอิญ แต่ผ่านการคิดมาแล้วอย่างพิถีพิถัน
ยอดแชร์ระดับ "หลักหมื่น" ภายในไม่กี่วันหลังคลิป "ควันหลง MK Dons 4 - ManU 0" ถูกปล่อยออกไปนั้น ทำให้ชื่อของ "ทีมพากย์กะหล่ำดอก" ติดหูคอบอลชาวไทยทันที
หลังการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกฤดูกาลใหม่เปิดม่านไม่กี่สัปดาห์ เพจนี้ก็เติบโตขึ้นพร้อมๆ กับดราม่าของเหล่าทีมบิ๊กเนมจากเกาะอังกฤษ ไม่ว่าจะผี หงส์ ปืน สิงห์ เรือ ถูกเหมาเรียบ ผ่านภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากฮอลลีวูด
รวมทั้งวลีติดปากอย่าง "กะหล่ำดอก" หรือ "สุดติ่งกระดิ่งแมว"
"จริงๆ เราทำงานฝั่งโปรดักชั่นทางนี้อยู่แล้วล่ะ" โปร - นที สาครพันธรักษ์ ออกตัวอารมณ์ดีเมื่อถูกถามถึงผลงานที่ฝากไว้ในอ้อมใจของบรรดา "ติ่งพรีเมียร์ลีก"
ตั้งแต่ คัดคลิปวิดีโอ เขียนบท ลงเสียง ตัดต่อ ใส่ซาวน์ ทั้งหมดถูกกลั่นออกมาจากตัว Managing Director จาก Systim Production คนนี้เพียงคนเดียว "ทีมพากย์" เป็นโปรเจคที่เขากับเพื่อน "คัน" อยากฟอร์มทีมขึ้นมาเท่านั้น
หลังจากคว้าใบปริญญาด้านการละคอนจากรั้วท่าพระจันทร์ โปรก็ใช้ชีวิตอยู่ในวงการอีเวนท์ออกาไนซ์มาโดยตลอด ทำให้คลุกคลีอยู่กับการใช้เสียงค่อนข้างหลากหลาย ทั้งลงเสียง มิกซ์ซาวน์ ทำพรีเซนท์เทชั่น มีบางจังหวะเหมือนกันที่เขาแวบไปร่วมงานกับทีมอนิเมชั่นสัญชาติไทยอย่าง แม็กการ์ตูน และทีมพากษ์หนังในเคเบิลทีวี (โดยแอบมารู้ทีหลังว่าทีมพากย์ที่เขาร่วมงานด้วย 3 ใน 5 คน คือ นักพากย์จากทีมอินทรีที่มารับจ็อบ)
เมื่อบวกเข้ากับทักษะด้านโปรดักชั่นจึงไม่น่าแปลกใจที่ทำให้คลิป "ซับนรก" ล้อฟุตบอลจะฮิตติดโลกออนไลน์ขนาดนี้
สบจังหวะช่วงว่างระหว่างรอคลิปใหม่ (และมุขใหม่) แอดมินดอกจังคนนี้ถึงได้มานั่งเล่าอะไรต่ออะไรให้ฟัง
- ถามจริงๆ ตอนนี้ ดังหรือยัง
ก็คงดังแล้วล่ะมั้ง (ยิ้ม) ในความคิดตัวเองนะ คือ มีคนที่ไม่ได้รู้จักผมมาก่อนมารู้จักผมเพิ่มขึ้นทีละ 7 หมื่นคนเนี่ย ก็คงดังล่ะ (หัวเราะ)
- เล่าถึงที่มาที่ไปของเพจนี้ให้ฟังหน่อย ?
จริงๆ เราทำงานฝั่งโปรดักชั่นทางนี้อยู่แล้วล่ะ พวกงานวิดีโอ พรีเซ็นเทชั่นทั้งหลาย งานอีเว้นท์ หลายๆ อย่าง และมีส่วนหนึ่งในนั้นที่ทำมาตลอดก็คือเรื่องของการใช้เสียงนั่นแหละ อัดวอยซ์โอเวอร์บ้าง ทำสปอตบ้าง ส่วนใหญ่ที่ใช้เสียงก็เป็นคนรู้จักกัน แล้วพอ 4-5 ปีหลังที่มาจับงานวิดีโอเยอะขึ้นถึงได้เห็นว่า มันมีความจำเป็นเรื่องการใช้เสียงมากขึ้น ก็ใช้วิธีการส่งสคริปต์มา กำกับตัวเองมาให้เรียบร้อย อัด ส่งไฟล์เสียง จบ ไม่ต้องไปเข้าห้องอัดหรือทำอะไรให้ยุ่งยาก เราก็สนุกกับสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว และบางงานของเพื่อนก็จะเป็นงานพากย์ ปกติเขาก็จะใช้ทีมอินทรี หรือปัจจุบันก็เป็นเสียงไทยที่อยู่ใกล้ออฟฟิศเขา แต่ถ้าเป็นเสียงเดียวหรือ 2 เสียง ก็จะโยนมาให้เรา เพราะเราเคยพากย์หนังในช่องเคเบิลทีวีมาก่อน แล้ว 3 ใน 5 ของคนพากย์เนี่ยมาจากทีมอินทรีมารับจ๊อบฟรีแลนซ์ แต่ไม่เคยเจอหน้ากันเลย (หัวเราะ)
การใช้เสียงมันเป็นเรื่องประจวบเหมาะกันตั้งแต่เด็ก เราโตมากับหนังพากย์น่ะ จะมาเริ่มดูซาวน์แทร็กก็ตอน ม.ปลายแล้ว เราก็ติดกับสำเนียง หรือสำนวนการพากย์อย่างนั้น แล้วโชคดีที่เนื้อเสียงของเรามันหนา แล้วเราก็เล่นกับเสียงมาเรื่อยๆ ซึ่งตอนเด็กๆ ไม่มีใครมาใส่ใจหรอกว่ามันคือศักยภาพด้านหนึ่งที่เอาไปต่อยอดได้ จนเข้าไปเรียนด้านการละครที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นั่นแหละ สายที่เรียนมันเอื้อให้เราต้องใช้งานมัน เรื่องวอยซ์เทรนนิ่งมันเป็นวิชาบังคับอยู่แล้ว และบทละครที่เรียนส่วนใหญ่ก็เป็นบทละครต่างประเทศ และตัวละครก็อายุ 60 -70 ปีแล้วเราเป็นเด็ก 20 น่ะ จะไปเล่นยังไง ก็ต้องหาทางให้มันไปได้
ตอนนั้นก็มีรุ่นพี่ที่เป็นนักพากย์เคยมาไกด์ให้ครั้งหนึ่ง แกบอกว่าเสียงเราเอามาใช้ประโยชน์พวกนี้ได้เยอะ พอเราได้ลองใช้เสียงไปเยอะๆ ก็เริ่มสนุกกับมัน พบเรียนจบเราก็มาทางสายงานอีเว้นท์ ทำโชว์ ตรงนี้มันก็ได้ใช้ หลังจากนั้นเราก็ได้ไปร่วมงานกับแม็กการ์ตูน ในตำแหน่งซาวน์ดีไซน์เพื่อออกแบบเสียงที่จะใช้ในการ์ตูน แต่พอเน็ตเริ่มเร็ว ก็เริ่มมีการพากย์ไปด้วย เห็นเราเรียนละครมาก่อนน่าจะทำได้ก็เลยได้ลองทำดู พอเริ่มทำไปก็เริ่มมีฟีดแบ็กในเว็บที่ดี ก็เริ่มเขียนบท จริงๆ วิธีคิดเพี้ยนๆ มันมาของมันตลอดแหละ แต่เรายังไม่รู้ว่าจะเริ่มใช้งานยังไง
ถ้าถามว่ากะหล่ำดอกวันนี้เอาทักษะส่วนไหนมาใช้มากที่สุด หรือสิ่งที่มีอิทธิพลมากที่สุด ก็คือตอนทำที่แม็กการ์ตูนนั่นแหละ เพราะมันเหมือนเป็นการย้อนกลับไปใช้วิธีคิดแบบนั้น เฮ้ย คิดอะไรของเอ็งน่ะ ช่างมัน กูจะเอาอย่างนี้
- ทำไมถึงต้องเป็นกะหล่ำดอก
(หัวเราะ) มันเป็นคำติดปากผมน่ะ (ยิ้ม) จนเพื่อนๆ ที่โทรมาเวลาคุยกันก็... ว่าไงกะหล่ำดอก จนตอนที่ทำคลิป พอจะเปิดเพจ คำแรกที่เข้ามาในหัวก็คือคำนี้เลย จริงๆ ก็เคยพูดกับเพื่อนไว้เหมือนกันนะ เฮ้ยถ้าจะทำทีมพากย์ ต้องเป็นทีมพากย์กะหล่ำดอก แล้วตอนแรกที่ทำตรงนี้ ก็ตั้งใจไว้เลยว่า ครั้งนี้เราจะไม่ยึดติดกับอะไรทั้งสิ้น ทำแบบตัวเราล้วนๆ
- อะไรที่ทำให้รู้สึกว่าต้องทำงานออกมา อยู่เฉยไม่ได้แล้ว
คือมันก็มีคนอื่นบอกแหละ พอมาทำงานในฝั่งทีวีเยอะๆ ก็มีคนบอกว่าเสียงเราพากย์ได้ หลายๆ คนที่ไม่รู้ว่าเราเคยพากย์มาก่อน เพื่อนที่รู้ก็เคยคุยกันช่วงสงกรานต์ว่า ตอนนี้พี่ๆ ทีมพากย์รุ่นใหญ่ๆ ก็เริ่มอายุมากกันแล้ว และตอนนี้เสียงพากย์รุ่นใหม่ๆ ที่คนไทยคุ้นเคยก็ยังไม่ค่อยมี ถ้าอย่างนั้น ลองทำทีมพากย์กันไหม ก็เหมือนฟอร์มทีมพากย์ทั่วๆ ไป มีเสียงหลัก เสียงรอง อะไรอย่างนั้น
ตอนนั้นผมเริ่มมีความคิดบางอย่างแล้ว คือ ช่วง 4 ปีหลังที่ทำงานวิดีโอ ทำตามใจตัวเอง เราก็มีอีโก้บางอย่างที่อยากจะทำแบบนี้ แต่เราก็ไม่ได้ดูสภาพแวดล้อมรอบข้าง มันก็แป้กๆ ไป ขาดทุนไปเละเทะเหมือนกัน จากนั้นก็ต้องมาทำงานลูกค้า ทำงานตอบสนองความคิดคนอื่น เราไม่สามารถจะใช้ความคิดตัวเองได้มากนัก ทุกอย่างมีกรอบของตัวเอง ต่อให้บางทีเราฟันธงขนาดว่า ทำแบบนี้เวิร์กแน่ๆ แต่ลูกค้าไม่ชอบ มันจบแค่นั้นเลย
จนปีที่แล้ว ผมเริ่มรู้สึกว่าความคิดสร้างสรรค์หาย ปกติเวลาได้รับโจทย์มาเราก็จะมีไอเดียออกมามากมาย แล้วส่วนใหญ่ก็มักจะได้ผลกับงานนั้นๆ แต่พอเรามาจับกับงานลูกค้าตลอด 3 ปีกว่าๆ มันหมดจริงๆ นะ คือ... มันตื้อไปเลย คิดอะไรไม่ออก จนเมื่อต้นปี เรามานั่งมองว่า หลังจากที่ลองผิดลองถูกมากว่า 10 ปี ปีนี้ต้องทำอะไรที่เป็นตัวเราสักที และถ้าทำแล้วสังคมมันจะไม่ยอมรับ ก็ให้มันรู้ว่าแนวคิดเรามันใช้กับสังคมนี้ไม่ได้ เราไม่เวิร์ก เราทำไม่ได้ ก็ให้มันจบไป แล้วก็เดินก้มหน้าก้มตากลับเข้าระบบไปทำงานเป็นลูกจ้างประจำ อะไรก็ได้
ทำฟรีแลนซ์มาเป็น 10 ปี มันก็เป็นการหาศักยภาพให้กับตัวเองว่าเราทำอะไรได้บ้าง และทำอะไรได้ดี ดีในที่นี้คือ คนอื่นบอกว่าดีนะ ไม่ได้มโนเอาเองว่าเราทำได้ดี แล้วอะไรที่เราทำแล้วอยู่กับมันได้นาน
ในประสบการณ์การทำงาน 10 ปี งานพากย์เป็นงานที่ผมอยู่กับมันได้นานที่สุด 3 ปี เงินเดือน 9,000 บาทน่ะ พากย์หนัง 30 เรื่องต่อเดือน แต่เราอยู่กับมันได้ ขณะที่ตอนทำงานอื่น มันจะเริ่มรู้สึกว่า เงินไม่คุ้มเหนื่อยเลย เราก็จะเริ่มเบื่อ และมองหาอย่างอื่นต่อ แต่งานนี้ ผมอยู่กับมันได้ยังไง พอตัดสินใจว่าจะทำอะไรที่เป็นไอเดียของตัวเองเมื่อต้นปี แล้วพอเพื่อนมายุตอนกลางปี ก็เริ่มมาคิดว่า อะไรที่สามารถจบด้วยตัวเราคนเดียวได้ ไม่ต้องพึ่งใคร ก็คือการพากย์นี่แหละ แล้วผมก็ชอบเขียนบท สคริปต์พวกนี้ก็งานถนัดอยู่แล้ว อีกเรื่องหนึ่งก็คือเรื่องซาวน์ การหาจังหวะใส่ แล้วผมก็ตัดต่อได้ เล่าเรื่องได้ เขาบอกมานะ (ยิ้ม) ก็ครบแล้วนี่หว่า เออ โอเค อุปกรณ์ที่บ้านก็มีหมดแล้ว ก็นั่งคิดๆ เรื่อยมา
จนกระทั่ง อีกคนที่มีอิทธิพลจังๆ เลยก็คือพ่อของผม แกไม่ได้เป็นคนที่เกี่ยวข้องกับสายนี้เลย เป็นพนักงานโรงงาน ทำโรงงานมาทั้งชีวิต แกเคยชมอยู่ว่า จริงๆ ถ้าตั้งใจกับเสียงให้ดีก็น่าจะเอาดีกับมันได้นะ นี่เป็นเรื่องที่ดีในไม่กี่เรื่องที่พ่อชม แล้วพอบวกกับเรื่องที่เพื่อนยุมาตอนกลางปี เออ มันต้องเรื่องเสียงนี่แหละ เอาวะ เราจะทำพากย์นรก ทำคลิปนี่แหละ แล้วเดี๋ยวจะปล่อยเล่นในอินเตอร์เน็ตดู ให้เพื่อนๆ ดูกัน เผื่อว่ามันจะมีใครป้อนงานมาให้เราอีก
- พอดีกับวันนี้ออนไลน์หรือโซเชียลมีเดียก็เปิดกว้างมากขึ้นด้วย ?
ใช่ๆ ทีมพากย์กะหล่ำดอกที่มาตรงนี้ เหมือนมันถูกเวลามากกว่า ถ้าผมมาเร็วกว่านี้สัก 3 ปี ก็จะไม่ค่อยเอฟเฟคทีฟอะไร ถ้าจะทำก็จะกลายเป็นกระเสือกกระสนทำ แต่ตอนนี้จังหวะมันได้พอดี
- ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็มีซับนรกทำนองนี้ออกมาเยอะมากอยู่แล้ว เรามองเห็นความแตกต่างของงานตัวเองในตลาดได้อย่างไร
อย่างแรกคือไอเดีย เราทำงานกับสายนี้มางานมันต้องยึดอยู่กับคอนเซปต์ หรือธีมที่เคลียร์ ถ้าตรงนี้ไม่เคลียร์ก็จะทำให้งานสะเปะสะปะ และผมคิดแล้วว่าผมจะไม่ทำมาคลิปเดียวแล้วเลิกหรือหายไปแน่ๆ อะไรที่ทำแล้วอยู่ได้ยาวๆ และไม่หยาบคาย เรารู้ว่าในโลกออนไลน์คำหยาบเขาปล่อยกันเยอะ ด้วยความเป็นพื้นที่เสรีแบบนี้ จริงๆ มันก็อาจจะต้องมีบ้างนั่นแหละ กู มึง อะไรอย่างนี้ แต่ก็จะพยายามไม่ให้เลยเถิดไปให้อยู่ในระดับที่คนดูรับได้ จุดยืนเป็นแบบนี้ ไม่หยาบ และไม่เอียงฝั่งใดฝั่งหนึ่ง การเมืองไม่แตะเลย ผมไม่ชอบความขัดแย้ง ไม่ชอบดราม่า ซึ่งถ้าตรงนี้เราชัด เราจะมีจุดยืน งานเราก็จะมีทิศทางที่ชัดเจน
เรื่องเรคคอร์ดดิ้ง ผมเชื่อว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำได้ดี เพราะมันอยู่ในอาชีพเราอยู่แล้ว รวมทั้งเรื่องเสียง มันก็เคยขายได้มาแล้ว เราก็เคยทำเป็นอาชีพมาอยู่ช่วงหนึ่งเลยล่ะ ถ้าผู้ใหญ่ในช่องโทรทัศน์เขาโอเคกับเสียงเรา มันก็น่าจะอยู่ในระดับมาตรฐานที่ชาวบ้านจะยอมรับได้ ถึงจะไม่ได้ดีกว่าชาวบ้านเขามากมาย แต่มันก็น่าจะมีแนวทางที่มันชัดเจนได้
- ถ้าพูดถึงทีมพากย์กะหล่ำดอกคนจะต้องเห็นอะไร
(หัวเราะ) แซวบอล โดยเฉพาะพรีเมียร์ เพราะลีกอื่นเราไม่ค่อยรู้เรื่อง ก็เอาที่รู้เรื่อง มีข้อมูลอยู่ สอง มันต้องขัดแย้งน่ะ ภาพกับบท ภาพจะต้องดราม่าไปอีกทางหนึ่ง แต่บทก็จะไปอีกทางหนึ่ง มันจะขัดแย้งกัน
สาม มันต้องมีหักมุม จริงๆ อย่าเรียกว่าหักมุมเลย มันต้องมีบทสรุปท้ายๆ ที่แบบว่า... เฮ้ย มาไงวะ คือ คุณต้องดูให้จบคลิปนะ ไม่งั้นจะเสียดาย คุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่องนะ (ยิ้ม)
- สังเกตว่าบทพากย์ กับจังหวะของหนังที่เลือกมา ตั้งแต่ต้นจนจบจะลงตัวพอดีกันทุกครั้ง ?
มันยากมาก (ลากเสียง) สองคลิปแรกเป็นสิ่งที่อยู่ในความคิดอยู่แล้ว ไหนๆ จะทำทั้งทีก็เอาอะไรที่คนเขาคุ้นๆ กันหน่อย ไม่ต้องปรับหัวมาก ก็เลยเอา 300 กับ Downfall (Der Untergang : ปิดตำนานบุรุษล้างโลก) 2 เรื่องนี้มีซีนที่คนคุ้นเคยกันอยู่แล้ว และเขาก็ใช้กันมานาน ทำพากย์นรกมาก็เยอะ ถ้าลองทำตัวเดียวกับที่คนอื่นเขาทำ ลองดูคนจะฟีดแบ็กกลับมาว่าจะเป็นยังไง เวลาผมทำผมก็ใช้การตัดต่อบ้างนะ ไม่ได้เอาซีนออริจินัลมา 3 นาที แล้วก็แปะเลย ไม่ใช่ บางทีสลับฉากกันนิดหน่อย โดยใช้ทักษะที่เรามีอยู่ หนังมาประมาณนี้เราก็สลับซีนนี้ขึ้นมาหน่อย ก็คือกำกับซ้อนลงไปในตัว แล้วก็ต้องดูช็อตอีกนะ ดูแล้วมันจะโดดไม่ได้ นั่งเลือกกัน โอ้โห... กันเหรอ เลือกคนเดียวนี่แหละ (ยิ้ม) ทุกอย่างนะ
- ทั้งกระบวนการผลิตใช้เวลาเท่าไหร่
เลือกคลิปนี่ก็เป็นวันแล้ว (ยิ้ม) เลือกนะ กับนั่งถอดรหัสมัน พูดกี่พยางค์ คือ ถ้าให้แปลแล้วมาพากษ์ ยังง่ายกว่านี้เยอะน่ะ นี่มันไม่ใช่แปล แต่เป็นการนับพยางค์คำที่ตัวละครพูด
- เพื่ออะไร
เพื่อวางสคริปต์ มันถึงออกมาอย่างที่เห็น เพราะเราทำตามกระบวนการผลิตของงานโปรดักชั่น งานพากย์หนังอาชีพเลย คุณต้องทำสคริปต์ก่อน มันไม่ใช่สคริปต์แปล หรือซับไตเติ้ล เรื่องพยางค์คำ สำคัญที่สุดแล้ว คุณจะทำยังไงให้ภาษาไทยประโยคนี้ ไปเข้ากับพยางค์คำของภาษาอังกฤษ และความหมายมันใกล้เคียง หรือไปในทิสทางที่ภาษาอังกฤษสื่อ
นอกจากนั้นยังต้องดูเรื่องอวัจนภาษา (กริยาท่าทาง) พวกนี้มันก็จะสื่อออกมาว่าสคริปต์จะเป็นยังไง เรื่องจะออกมาอารมณ์ไหน ซึ่งส่วนตัวเรื่องอารมณ์สำหรับผม ผมเล่นกับมันไม่ยาก แต่เรื่องคำเนี่ย โห โคตรโหดน่ะ หนังนี่เลือกกันเป็นวันๆ นั่งเสิร์ซ นั่งหา อย่างที่บอก 2 คลิปแรกนี่มันอยู่ในความทรงจำอยู่แล้วว่าจะเล่น 2 เรื่องนี้ แต่คลิปที่ 3 เป็นต้นมานั่นแหละ เอาไงดีว๊า (เน้นเสียง) เรื่องอะไรดี แล้วเราก็ไม่อยากใช้คลิปซ้ำ เพราะถ้าซ้ำ เฮ้ย มันไม่ครีเอทเลย มันไม่สร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ เลย ไม่มีใครบอกนะครับ แต่มันยอมไม่ได้กับตัวเอง ไหนๆ จะทำทั้งที ตกลงมันดีหรือไม่ดีเนี่ย (หัวเราะ) ก็เลยต้องทำการบ้านกับซีนเยอะ ต้องหาก่อนบอลเตะอีก เวลาก็ไม่ค่อยมี งานอื่นก็ต้องทำ เพราะมันก็ยังต้องเลี้ยงชีพน่ะ
- ยืนยันนะว่าเป็นงานนี้เป็นงานทำเอาสนุกของตัวเอง ?
พอเริ่มเครียดก็เริ่มไม่สนุกแล้วสิ (หัวเราะ) คือทำโดยไม่มีรายได้ เพจผมไม่รับโฆษณาอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็คือ ทำเอามัน ผมต้องพยายามยึดคำนี้จริงๆ นะ ใช่ ถ้าผมไม่มันงานผมไม่สนุกแล้ว และผมก็ไม่ได้มีคอมมิดกับช่อง หรือกับอะไรว่า คุณต้องออนทุกวันนี้ เต็มที่ก็แค่พูดกับลูกเพจว่า เออ ถ้าบอลเตะเสาร์ หรือ อาทิตย์ วันจันทร์ก็อาจจะมีคลิปนะ อาจจะนะ แล้วก็อาจจะไม่ทุกอาทิตย์นะ เพราะว่าถ้าไม่มีเวลาก็ต้องขอโทษด้วยที่ไม่มี
- ได้คลิปแล้วทำอย่างไรต่อ
คลิปนี่ผมก็จะหาทิ้งๆ ไว้ พอเลือกได้... จริงๆ เสาร์อาทิตย์ผมก็จะไม่ค่อยดูบอลหรอก บางทีก็อินกับทีมที่เชียร์ แต่ไม่ถึงกับอินมาก แพ้ก็แพ้ ชนะก็ชนะ หลักๆ ก็รอเช็คสกอร์อย่างเดียว คู่ใหญ่ด้วย หลักๆ คือถ้าเล่นทีมคู่เล็กมันจะไม่ค่อยอิมแพ็คกับคน ก็ทำทีมที่น่าแซวแล้วกัน ไม่เรือก็สิงห์ ไม่สิงห์ก็ปืน ไม่ปืนก็ผี ไม่ผีก็หงส์ มันก็มีอยู่ประมาณแค่นี้ แล้วจริงๆ ช่วงต้นฤดูกาลอย่างนี้สิงห์กับเรือก็ไม่รู้จะเล่นอะไร เพราะชนะกันแบบ... ก็ฟอร์มเขาดีน่ะ อย่างเรือแพ้ก็ไม่มีเอฟเฟคนะ เพราะยังไงก็เต็งแชมป์อยู่แล้ว มันไม่ได้แพ้แบบฟอร์มหลุด มันแพ้แบบดวงแตกน่ะ บี้เขามาทั้งเกม แค่ยิงไม่เข้าแล้วโดนสวน แต่ทีมที่เหลือมันเป็นอะไรที่คลาสสิกสำหรับคนไทย ซึ่งบางทีมันก็กลายเป็นดาบ 2 คมเหมือนกันสำหรับคนที่อินเยอะๆ
ทีนี้ พอได้คลิปผมก็รอผลบอล ถ้าผลออกมาเสมอกันมันก็จะไม่ค่อยสนุก เพราะไม่มีอะไรให้เล่น แต่มันจะมีทีมที่ดวงแตก แพ้แบบไม่น่าแพ้ มันถึงจะสนุก อย่างสัปดาห์ก่อน วันเสาร์ลิเวอร์พูลแพ้ 3-1 นี่ก็เป็นดอกใหญ่แล้ว แฟนเพจก็จะคึกคักล่ะ พอวันอาทิตย์ แมนฯยูแพ้ 5 - 3 เกมพลิก มีเรื่องให้เล่นใหม่แล้ว (ยิ้ม) แต่ก็ยังไม่สรุป ก็รอคู่ดึกว่าจะมีอะไรดราม่าไหม ก็มีเล็กๆ ที่แลมพาร์ดยิงทีมเก่าได้ แล้วอาร์เซนอลก็ดันชนะมา แต่คลิป Inglourious Basterds (ควันหลงวัน 3 ประตู 22 Sep 57) ซีนนี้นึกเอาไว้ในหัวอยู่แล้วว่าอยากเอามาเล่น แล้วมันจับผิดกันได้วิธีการใช้เลข 3 ของเยอรมันกับอังกฤษ เอ้ย เดี๋ยวก่อน เปิดผลฟุตบอลขึ้นมาดู ได้ ปืน 3 - 0 หงส์ 3-1 ผียิงได้ 3 ลูก แต่แพ้ มีเอฟเวอร์ตันแถมด้วยนะ โอเค เล่นมุมนี้แหละ (ยิ้ม) ก็มาเริ่มทำงานกับบท แต่วันนั้น เวลาน้อยเพราะบอลจบดึก แล้วรุ่งขึ้นวันจันทร์ก็มีงานตลอด ก็โดนทวงในเพจกระหน่ำเลย
ช่วงว่างๆ ผมก็จะเลือกคลิปใส่มือถือไป ช่วงว่างก็นั่งทำสคริปต์ นั่งแก้ไปแก้มา จนตอนเย็นก็ไปให้สัมภาษณ์รายการวิทยุ ปกติผมจะอัพคลิปขึ้นช่วงเย็น ทุกสัปดาห์ที่ผ่านมาจะเป็นเย็นวันจันทร์ แต่พอดีมีสัมภาษณ์ก็รอไปก่อนนะ เพราะเราไม่ได้คอมมิดไว้ก่อนด้วย กว่าจะถึงบ้านก็ 4 ทุ่มกว่า ก็ไหนๆ แล้ว เอาแบบไม่ให้ตั้งตัวแล้วกัน ก็นั่งทำมันคืนนั้นเลย พอสคริปต์เสร็จแล้ว เรื่องอื่นจะไม่ค่อยยาก วันนั้นช่วงทำสคริปต์ก็จิตนาการไว้แล้วซาวน์จะเอาอะไร จังหวะไหน กว่าจะโน่นนี่เสร็จก็ประมาณตี 1 กว่าๆ ก็แอบๆ อัพคืนนั้นเลยแล้วกัน คนก็ เฮ้ย มันแอบซุ่มมาตอนดึก (หัวเราะ)
- ไม่เฉพาะคลิปที่คนรอนะ บางประโยคในคลิปก็กลายเป็นมุขที่ถูกเอาไปเล่นต่อด้วย
สุดติ่งกระดิ่งแมว ตะแคงตาราง อะไรอย่างนี้น่ะเหรอครับ (หัวเราะ) ก็สะใจดีนะ (ยิ้ม) มีคนเอาคำที่เราใช้ในนี้ กลายเป็นคำที่ไว้กัด ไว้ล้อกันแล้ว ก็ดีนะครับ
- ที่สำคัญ แสดงว่า อาจจะไม่ใช่ทุกสัปดาห์ที่มีคลิป ?
ใช่ ประกาศเลย ไม่ทุกอาทิตย์นะ เพราะบอกแล้วว่า ทำไม่ไหว จะตาย (เน้นเสียง) คือ ผมเชื่อว่า หลายๆ คนก็จะไม่เข้าใจ เพราะคิดว่าก็แค่เลือกมาดู แล้วอัดๆ ไป แต่จริงๆ มันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น คงไม่ทุกอาทิตย์ แต่ก็จะพยายามออกมาให้สม่ำเสมอหน่อย
- เรื่องนี้มันก็ได้สนองอารมณ์ตัวเองส่วนหนึ่งล่ะ แต่ที่มันตอบโจทย์ต่อไปของคอนเซปต์ที่คิดเอาไว้ตั้งแต่ต้นไหม
ตอนนี้ก็ยังสรุปไม่ได้ เพราะมันเพิ่งเริ่ม 1 เดือนเองนะ 5 คลิป (7 หมื่นกว่าไลค์บนเพจ) คลิปแรก 2 หมื่นกว่าแชร์ เขามาไงกันน่ะ ผมมองเอาไว้ก็คือ ตรงไปตรงมา ใครคิดว่าเสียงเราเอาไปใช้งานได้ก็ยินดี เป็นสปอต สารคดี หนัง หรือวอย์ซโอเวอร์ อันนี้คือตรงไปตรงมา อีกเรื่องหนึ่งมันก็น่าจะเป็นงานในเชิงความคิดด้วย งานสไตล์อย่างนี้ วิธีคิดแบบนี้ การเล่าเรื่องอย่างนี้ กับการใช้เทคนิค Dubbing หรือการลงเสียงในลักษณะนี้ ซึ่งเคยคิดเอาไว้เหมือนกันว่า จะเอาไปต่อยอดทำอะไรที่ไม่ต้องเสี่ยงกับเรื่องลิขสิทธิ์แบบนี้
- ตัวลิขสิทธิ์ของภาพยนตร์แต่ละเรื่องที่นำมาใช้จัดการอย่างไร
ผมก็ไม่ได้ไปขออะไรเขาหรอก ถ้าเขาขอให้ผมเอาลง หรือลบทิ้งก็คงต้องลบ แต่ผมก็ใช้วิธีเท่าที่ทำได้ก็คือ ให้เครดิตทุกอย่างว่า ออริจินัลมาจากที่นี่ เรื่องอะไร ปีอะไร คลิปนี้ทำเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีเจตนาทางการค้าใดๆ ทั้งสิ้น ผมก็ไปดูในออนไลน์ก็มีหลายกระแส ส่วนหนึ่งก็บอกว่า แรกๆ ค่ายหนังก็ไม่แฮปปี้หรอก แต่คนสร้างสรรค์งานอย่างผู้กำกับเขามองอีกมุมหนึ่งว่ามันได้โปรโมทด้วย หรืออย่างคลิป 300 เขาก็ล้อกันทั่วโลก เราก็เข้าข้างตัวเอง (ยิ้ม) ขอเป็น 1 ในทั่วโลกที่เล่นด้วยแล้วกัน ก็ยอมรับว่ากังวลเรื่องนี้เหมือนกัน ก็เลยเป็นอีกจุดหนึ่งที่ว่า ในคลิปเราไม่ลงโฆษณานะ ถามว่ามีคนติดต่อมาไหม มีในระดับหนึ่ง ผมก็ได้แต่ปฏิเสธไปว่ามันสุ่มเสี่ยงที่จะโดน แล้วมันไม่คุ้ม แต่ถ้าจะให้คิดงานใหม่ให้ เอาสไตล์แบบนี้ แต่ถ่ายใหม่นะ จะล้อหนังอะไรก็ตามแต่ ได้ อย่างคลิป ควันหลงวัน 3 ประตู ผมก็อัพขึ้นเฟซบุ๊กไม่ได้ แต่ยูทูบว์ให้ ก็เลยต้องใช้แปะลิงก์เอา
- ถ้าอย่างนั้น กรณีคนเอาลิงก์เราไปใช้ต่อล่ะ ?
ไม่ซีเรียสนะ ถ้าเอาลิงก์ไปแปะที่หน้าเว็บไซด์ตัวเอง แต่ผมก็ไม่เข้าใจประเภทที่ดูดเอาไปเก็บเอาไว้แล้วก็เอาไปอัพขึ้นในเว็บเอง ก็มี แต่มันก็เสียงเราน่ะ วิธีคิดแบบนี้ก็เป็นแบบตัวเราเอง คุณทำได้แค่พีอาร์งานให้เท่านั้น วันนี้ก็น่าจะเป็นลายเซ็นต์ของกะหล่ำดอกไปแล้ว ฟังก็รู้
- ถึงตรงนี้ถือว่าเกินคาดไหม
ก็เกินคาดนะ (ยิ้ม) แต่จริงๆ นะมันก็มี 2 ความรู้สึกที่ผสมผสานกันอยู่ ทั้งในความรู้สึกที่เกินความคาดหมาย และมันมีความเป็นไปได้อยู่ เพราะเอาเข้าจริงผมไม่เชื่อเรื่องความบังเอิญเท่าไหร่ ทุกอย่างย่อมมีเหตุ และผลของตัวเองเสมอ มันจะต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เกิดอะไรอย่างนี้ขึ้นมา คืออย่างน้อย งานที่อัพขึ้นมาแต่ละชิ้นมันไม่ได้เป็นแค่หยิบเอาคลิปโน่นนี่มาอัดเสียงใส่ แต่มันคือวิธีทำงานชิ้นหนึ่งที่ผ่านการคิด การเลือกมาแล้ว และพิถีพิถันกับมัน
- ถ้ามองต่อไปในอนาคต มันเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดการเปรียบเทียบมาตรฐานของชิ้นงาน ไม่ว่าจะเป็นมุขที่เลือก หนังที่เอามาใช้ ตรงนี้คุณเตรียมรับมือกับความกดดันตรงนี้อย่างไร
คิดไว้เหมือนกันนะครับ ตั้งแต่คลิปที่ 2 - 3 แล้วล่ะว่า เดี๋ยวมันก็ตัน เราทำงานเราอ่านเกมไปข้างหน้าเรื่อยๆ อยู่แล้ว เราก้ต้องดูว่าเราจะทำได้ถึงแค่ไหน เพราะถึงจุดหนึ่งเดี่ยวมันก็ตัน ตอนนี้ผมใช้วิธีพื้นฐานที่สุดในการแก้ปัญหาก็คือ ทำอย่างไรให้สดเอาไว้ก่อน ถ้ายังไม่พร้อม ยังไม่ปล่อย ขอมีเวลาให้ได้คิดก่อน เพราะงานช่วงนี้ก็เริ่มจะยุ่งแล้ว พอคนเริ่มรู้จักก็เริ่มมีชวนไปโน่นไปนี่ ทำมาระดับหนึ่งบอกเลยว่าไม่ไหว มันจะไม่สด แล้วผมก็จะไม่สนุก ก็จะเลิกทำในที่สุด
- แต่พอเริ่มไม่สม่ำเสมอ ก็จะมีคนติดตามบางส่วนที่หายไปนะ ?
ก็ไม่เป็นไร ผมมองแบบนี้ว่า นานๆ มาสักดอก บางทีอาจจะพุ่งเลยก็ได้ (ยิ้ม) มันหายไปครึ่งเดือน แล้วมันก็โผล่มา เฮ้ย มันไปเก็บมุข... คนที่หายไปเราก็เข้าใจเขานะ ไม่เป็นไร ขอโทษ แต่พอมันมาคนที่ตามก็จะกลับมา คลิปไม่ออกแต่ไม่ได้หมายความว่าผมหายไปจากเพจ ตื่นเช้ามาต้องทักทายทุกคน ผมชอบเข้าไปเล่นกับเพื่อนๆ ในเพจ ไปแซว ไปจิกกัดกันเล่น ผมก็เข้าไปรักษาความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ ในเพจเอาไว้ สำหรับเรื่องงาน ผมว่าเพื่อนๆ ผมในเพจเข้าใจ คือตัวจริงกับในเพจไม่ต่างกันเลย แอดมินดอกจังมันก็พูดเหมือนกับที่มันเขียนนั่นแหละ
- ที่คุณบอกว่าน่าจะดังแล้ว ความดังที่ว่านี้มันทำให้คุณมองเห็นโลกอีกมุมที่เดินคู่ขนานไปกับเทคโนโลยีอย่างไร
ไม่ปฏิเสธเลยว่า ก่อนหน้านี้ผมก็เป็นลูกเพจ คือ เราก็พยายามสุภาพ อยากทำให้มันดี ให้สังคมดีขึ้นบ้างไม่ว่าจะทางไหนก็เถอะ แม้จะเป็นส่วนเล็กๆ เมื่อก่อนผมก็ทั้งหยาบทั้งก้าวร้าว บนพื้นที่ส่วนตัวของผมตรงนี้ มีอะไรก็ระบายมันลงไป แต่วันหนึ่งก็ตระหนักได้ว่าจริงๆ มันไม่ใช่พื้นที่ของเราหรอก โชคดีที่ผมคิดได้ก่อนเริ่มทำเพจ ด้วยอายุด้วยที่เราวันนี้ก็เลขสามแล้ว พอเห็นคนอื่นที่เป็นอย่างนั้นก็มาย้อนคิดว่า คนอื่นเราก็เคยมองเห็นเรื่องนี้ใช่ไหม มันคงไม่ใช่ บางทีมันก็ต้องดูด้วยว่าจริงๆ เรากำลังอยากสื่อสารอะไรอยู่ ถ้าอย่างนั้นเรามาหาวิธีสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ก็ได้ไหม ก็ลดโทน และเราก็จะพยายามสุภาพ เลี่ยงคำหยาบ คำส่อเสียดให้มากที่สุด
อย่างเรื่องอินจัดผม็จะพยายามบอกเสมอว่า อย่ามาอินจัดที่นี่ นี่มันเพจทีมพากย์ ไม่ใช่เพจฟุตบอล ไปอินกันที่อื่น ผมว่าบอลก็เตะกันอยู่เมืองนอก แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับพวกเราล่ะ เตะเสร็จเขาก็จับมือเดินกอดคอกัน แล้วพวกคุณจะไปอินอะไร
- สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับกับโลกโซเชียลก็คือ มาไวไปไว ถ้าวันหนึ่งมันแป้กขึ้นมาล่ะ เผื่อใจเอาไว้หรือเปล่า
อย่างนี้แล้วกัน ถ้าสิ่งที่ผมทำอยู่มันไม่ใช่ตัวผม ผมก็ไม่รอดหรอก ยังดีที่ว่าสิ่งที่ผมทำทั้งหมดวันนี้ มันออกมาจากตัวผมล้วนๆ เลย ตอนนี้กับทีมพากย์กะหล่ำดอก สิ่งที่ทำเป็นการเอาสัญชาตญาณกลับมาล้วนๆ สัญชาตญาณที่ไม่กลัว บ้าบิ่น เหมือนช่วงอายุ 20 ต้นๆ ที่พร้อมจะเจอกับอะไรก็ตาม แต่วันนี้มันก็ยังเป็นตัวผมอยู่ และงานก็เป็นสิ่งที่มาจากตัวผมมี เท่าที่จะทำได้ ต่อให้ผมเลิกทำทีมพากย์กะหล่ำดอกไป ความสามารถต่างๆ ก็ยังมีติดตัวของผมอยู่ จุดนี้ ก็มีคนรู้จักผม เขาได้รู้ว่า ตัวเราทำอะไรได้บ้าง มันเป็นสิ่งที่ทำของตัวเองอยู่แล้ว ถ้ามันไปตามเวลาของมัน ผมก็ไม่ได้จะยึดมั่นว่าผมจะทำล้อบอลไปตลอดอีก 10 ปีข้างหน้า ปีนึง หรือ 3 ปี ก็แล้วแต่ ถ้าวันหนึ่งผมเบื่อ ผมตัน ผมก็จะหาอะไรใหม่ๆ แต่ก็จะหนีไม่พ้นอะไรเหล่านี้หรอก แต่อาจจะเป็นมุมมองอื่นบ้างนะ และแน่นอน ไม่เข้าไปแตะการเมือง (ยิ้ม)
- ถ้าอย่างนั้น จริงๆ แล้วคุณเชียร์ทีมไหน
ไม่บอก... เค้าไม่บอกหรอก จบนะ (ยิ้ม)




