พะงัน...วันที่จันทร์ไม่เต็มดวง

พะงัน...วันที่จันทร์ไม่เต็มดวง

เกาะพะงันกับฟูลมูนปาร์ตี้ (Full Moon Party) เป็นของคู่กันเสมอ แต่ในคืนและวันที่ดวงจันทร์ยังไม่เต็มดวง

ที่เกาะพะงันก็ยังมีอะไรให้ค้นหาอีกมากมาย

..............

ชื่องานปาร์ตี้บนชายหาดยามค่ำคืนที่ดวงจันทร์เต็มดวงโด่งดังไปทั่วโลก ผมเองก็เคยได้ยินชื่องานปาร์ตี้นี้มาบ้างเหมือนกัน แต่มันไม่เคยดึงดูดให้ผมต้องดั้นด้นเดินทางไปร่วมปาร์ตี้สุดเหวี่ยงนี้เลย

จนกระทั่ง...

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และธนาคารยูโอบี จัดทริปสุดพิเศษ Lady Journey ที่จะพาลูกค้าสาวๆ เดินทางไปสัมผัสประสบการณ์ไกลถึงเกาะพะงัน สุราษฎร์ธานี ผมจึงได้ติดสอยห้อยตามไปด้วย ถึงแม้ผมจะไม่ใช่สาวๆ ก็เถอะ

สุราษฎร์ธานีเป็นจังหวัดปักษ์ใต้ที่ผมได้มาเยือนบ่อยที่สุดจังหวัดหนึ่ง (รองจากตรังและภูเก็ต) แต่สุราษฎร์ฯแบบที่คุ้นเคยก็ไม่เคยมีพะงันอยู่ในรายชื่อแม้แต่ครั้งเดียว อันที่จริง ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกาะพะงันอันโด่งดังเรื่องแสงเสียงจะอยู่ในจังหวัดที่ค่อนข้างเงียบสงบ มีกลิ่นไอพระพุทธศาสนาถ้วนทั่ว...มันค่อนข้างขัดแย้งกัน

แต่อะไรก็ตามที่ทำให้ผมได้มาถึงเกาะพะงัน สิ่งแรกที่นึกได้และหวังว่าจะได้เห็นก็คือฟูลมูนปาร์ตี้นี่ล่ะ

-1-

ล้อเครื่องบินแตะรันเวย์ นั่นคือสัญญาณว่าการเดินทาง ณ ดินแดนอื่นได้เริ่มต้นแล้ว แต่จุดสตาร์ทครั้งนี้ดูจะพิเศษกว่าครั้งไหน เพราะผมเดินทางมาถึงสนามบินเกาะสมุย สนามบินเล็กๆ แต่ดูอบอุ่น สวยงาม มีสไตล์ แต่นี่เป็นแค่น้ำจิ้ม เพราะเมนูหลักคือสถานที่ต่อๆ ไปต่างหาก

เพื่อไม่ให้เสียเวลาและสาวๆ ที่ร่วมทริปจะได้ดื่มด่ำกับทะเลอ่าวไทยที่สวยงามสักที จากสนามบินเกาะสมุยไม่นานนักเราก็ถึงท่าเรือแม่น้ำ-เกาะสมุย เพื่อเดินทางสู่เกาะพะงัน การข้ามเกาะนี้ไปสู่เกาะนู้นเราใช้บริการเรือลมพระยา ผู้นำทริปบอกว่าเป็นผู้ให้บริการเรือที่เร็วและได้มาตรฐานทีเดียว

ระหว่างต่อแถวขึ้นเรือ ผมแหงนมองท้องฟ้าหวังว่าจะเจอท้องฟ้าสีครามเข้ม แต่ก็ต้องผิดหวังนิดหน่อย ฟ้าวันนี้สมกับเป็นฟ้าหน้าฝน สีฟ้าจางปนสีเทาชวนเหงาทั้งที่บรรยากาศรอบตัวดูคึกคัก

แน่นอนว่าหน้ามรสุม คลื่นลมย่อมแปรปรวน แต่ไม่ต้องกังวลว่าจะอันตรายเพราะช่วงนี้ภาคใต้ยังไม่ถึงฤดูมรสุมเต็มตัว คลื่นลมที่เรือแล่นฝ่าไปก็แค่ทำให้คลื่นเหียนวิงเวียนกันเป็นกระษัย สำหรับคนไม่มีปัญหาเมาเรือก็ไม่เป็นไร แต่คนเมาเรือก็อาจได้คายของเก่าก็ตอนนี้

และแล้วช่วงเวลาแห่งการเขย่าร่างก็สิ้นสุด เรือเทียบท่าเกาะพะงัน เกาะขนาดใหญ่อันดับ 5 ของประเทศไทย ตั้งอยู่ในช่องอ่างทอง กลางทะเลอ่าวไทย ว่ากันว่ายังเป็นเกาะที่ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ทั้งหาดทราย แนวปะการัง รวมทั้งวิถีชีวิตวัฒนธรรมประเพณีของชาวเกาะพะงัน

อาจด้วยคุณสมบัติดังกล่าวทำให้เกาะพะงันเป็นที่เสด็จประพาสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 นั่นหมายความว่าพระองค์ย่อมทิ้งสิ่งที่น่าสนใจน่าเดินรอยตาม อย่างสถานที่แรกนี้ อุทยานแห่งชาติธารเสด็จ มาที่นี่แล้วถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติคือ สักการะพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 5 เสร็จสรรพก็ได้เวลาเดินป่าสำรวจธรรมชาติ ตามแนวลำธารประวัติศาสตร์การเสด็จประพาส อันที่จริงจะเรียกว่าเดินป่าก็ไม่เต็มปากเพราะเส้นทางไม่ได้ทุรกันดารมากนัก มีขึ้นทางลาดชันบ้าง ปีนซอกหิน (กรณีเดินเข้าไปลึก) แต่ไม่ต้องเข้าไปไกลเพราะสิ่งที่เป็นดั่งแลนด์มาร์คทั้งหลายอยู่ช่วงต้นทางทั้งสิ้น เช่น จารึกพระปรมาภิไธยที่ทรงสลักไว้บนก้อนหิน เพื่อบันทึกการเดินทางของพระองค์

แม้ช่วงนี้จะเข้าหน้าฝนจนพื้นดินชุ่มน้ำแต่อากาศรอบๆ ก็ร้อนไม่แพ้หน้าร้อนเลย การเดินป่าแบบเบาๆ ก็ทำเอาเหงื่อชุ่มกันได้ หากได้น้ำเย็นๆ มาพรมคงชื่นใจ แล้วผมก็ได้ชื่นใจจริงๆ เพราะเดินตามทางมาเพียงไม่นานก็ถึง น้ำตกธารเสด็จ น้ำตอนนี้ยังไม่มากความงดงามของน้ำตกจึงยังไม่ถึงขั้นสุด แต่สำหรับนักเดินทางแล้วนี่ก็ช่วยให้ได้เข้ามาสัมผัสธรรมชาติที่นี่ได้อย่างปลอดภัย โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเจอน้ำหลาก

ผมวักน้ำขึ้นลูบหัวลูบคอ ความร้อนจึงทุเลา ผมเดินเลาะโขดหินขึ้นไปสูงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อสัมผัสบรรยากาศผืนป่ารายรอบน้ำตกที่ยังอุดมสมบูรณ์ ป่าที่นี่ยังเขียวขจี เหมาะแก่การนั่งพักผ่อนหรือถ้ามีเวลามากพอจะหามุมดีๆ เอนกายนอนสักงีบสองงีบก็ไม่ผิดประเพณีอะไร แต่แค่ผมนั่งพักเพียงไม่ถึงสิบนาที เสียงนกร้องดังระงมป่าช่วยให้ผ่อนคลาย ชวนให้นึกไปถึงอดีตครั้งที่พระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสบรรยากาศจะดีกว่านี้แค่ไหน...

ถ้าสังเกตให้ดีตามโขดหินบางจุดจะมี จารึกพระปรมาภิไธยย่อ 'จปร ๑๐๘ ต่อไปมีไร่' และจารึกพระปรมาภิไธยย่อ 'ปปร.๒๔๖๗,๒๔๗๑' สำหรับน้ำตกธารเสด็จพระองค์โปรดให้จารึกพระปรมาภิไธย 'หิน จปร.ที่ ๑' การันตีว่าพระองค์เสด็จมาจริงและเป็นการประกาศพระราชอาณาเขตของพระองค์ด้วยอีกนัยหนึ่ง เพราะสมัยนั้นชาติตะวันตกล่าอาณานิคมมายังดินแดนตะวันออก ซึ่งมีประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเป้าหมาย

-2-

พะงันวันแรกกำลังจะหมดไป แสงตะวันเริ่มริบหรี่แต่ก็ไม่มีแสงจันทร์สาดส่อง ผมละความสนใจจากแสงตะวันและแสงจันทร์ เพราะกำลังตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า...คนที่นี่เรียกว่า กินห่อชายเล เป็นประเพณีเลี้ยงต้อนรับผู้มาเยือน ด้วยการจัดสำรับอาหารพื้นถิ่น เช่น ข้าวกะทิ หมูโค ยำหอยกลม คั่ววาย และอาหารทะเลสด นำมา ปิ้ง ย่าง เพื่อเลี้ยงสังสรรค์ กินอาหารร่วมกันบนเสื่อริมทะเล

...อิ่มแล้วก็ได้เวลานอน...

นอนแล้วก็ได้เวลาตื่น ด้วยอากาศและบรรยากาศดีเหลือเกินทำให้การงัดร่างขึ้นจากที่นอนนับเป็นเรื่องยากระดับ 17 ดาว แต่ไม่ตื่นก็ไม่ได้ เพราะนอกจากแสงแดดแยงตาแล้ว ชายหาดมาลิบูที่มีทรายขาวละเอียดเงียบสงบ มีเพียงเสียงคลื่นซัดเบาๆ ก็คุ้มแก่การตื่นเช้ามากมาย

แต่ถัดไปจากนี้เพียงไม่ไกล ก็คือชายหาดโฉลกหลำ คงไม่ต้องพูดถึงความสวยงาม แต่สิ่งสำคัญของเกาะพะงันที่จะลืมไม่ได้คือวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น การได้เดินเที่ยวที่หมู่บ้านประมง ตอกย้ำว่าวิถีชีวิตของคนที่นี่ยังง่ายงาม แม้จะมีแสงสีเย้ายวนจนยากจะห้ามใจ ทว่ายังสืบทอดมารุ่นสู่รุ่นมากว่า 250 ปี

ทั้งกุ้ง หอย ปู ปลา หมึก สดๆ จากเรือประมงเทียบท่าแต่เช้าตรู่ ชวนตื่นตาตื่นใจแต่ไม่ทำให้น้ำลายไหลเพราะเมื่อคืนก็อิ่มแปล้มาก่อนแล้ว

หลังจากสัมผัสวิถีชีวิตชาวพะงันก็ถึงเวลาไปชมของดีของจังหวัดสุราษฎร์ฯ หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า 'มวยไทยไชยา' ถึงแม้ที่นี่คือพะงันไม่ใช่อำเภอไชยา แต่ถ้าเหมารวมว่าเป็นจังหวัดเดียวกันก็คงได้ เพราะที่พะงันคือที่ตั้งของค่ายมวยที่มีเจ้าของค่ายเป็นอดีตแชมป์มวยไทยโลกทีเดียว คือ ชินราช ช.วัชรินทร์ อดีตแชมป์ของสภามวยไทยโลก ปี 2542 และที่ ค่ายมวยไทยชินราช ก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้ลองลงนวมฝึกซ้อมมวยจากครูมวยคนเก่ง ทำให้รู้ว่ามวยไทยไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะตั้งแต่ท่าแรกก็ผิด ยังไม่นับหลังจากนั้นที่ผิดทั้งกระบวน ครูมวยต้องสอนใหม่หมดทั้งการใช้สะโพกและกล้ามเนื้อ ในการออกหมัด เท้า เข่า ศอก เคลื่อนไหวตามลีลามวยไทย เล่นเอาเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวจนต้องคารวะพวกนักมวยไทยที่ฝึกฝนตัวเองจนขึ้นชกได้และหลายคนก็เป็นแชมป์...อึด ถึก ทน จริงๆ

ทั้งเหงื่อชุ่ม ทั้งเมื่อยตัว วันที่สองที่พะงันดึงพลังของผมไปเกือบหมดตั้งแต่หัววัน แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ ได้ยินว่าตอนเย็นจะได้พักผ่อนแบบสุดเหวี่ยง ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นฟูลมูนปาร์ตี้ก็ได้!

เพราะฉะนั้นมีกิจกรรมอะไรก็ทำให้หมด จากพักจนเหงื่อแห้งไปพร้อมๆ กับแดดร่มลมตก ถึงเวลาไปอ่าววกตุ่มเพื่อเรียนรู้วิถีประมงพื้นบ้าน การหาหอยกลมตามกรรมวิถีท้องถิ่น ที่ถ่ายทอดภูมิปัญญาจากรุ่นสู่รุ่น ช่วงน้ำลงตอนกลางวันคือช่วงที่ดีที่สุด ตอนนี้น้ำลงจนเห็นชายหาดอยู่ไกลสุดสายตา แต่ด้วยความสามารถผมไม่มีหรือดวงผมไม่ดี ผมไม่ได้หอยกลมติดไม้ติดมือมาสักตัว ต้องไปขอหอยกลมที่ชาวบ้านจับกันเป็นล่ำเป็นสันมาถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก ทั้งที่ใจจริงอยากให้หอยกลมนั้นเป็นอาหารมากกว่า เพราะได้ยินมาว่าอร่อยมาก

ผิดหวังจากการหาหอยกลมก็ยังมีกิจกรรมที่ไม่น่าจะทำให้ผมผิดหวังได้แล้ว นั่นคือปลูกป่าชายเลน ด้วยความที่เกาะพะงันบางส่วนมีพื้นที่เป็นป่าชายเลน แต่ก็ถูกกัดเซาะจากคลื่นลม (และคน) นี่จึงเป็นโอกาสดีที่ผมและสาวๆ ในทริปนี้ได้ร่วมกันลุยโคลนย่ำเลนสร้างระบบนิเวศให้สมบูรณ์ที่อ่าวศรีธนู

-3-

แสงสุดท้ายใกล้มาถึง หมายความว่ากิจกรรมต่างๆ กำลังจะสิ้นสุดลง ที่หมายเกือบสุดท้ายของวันนี้คือ เกาะราฮัม ตั้งอยู่ปลายแหลมของหาดสน ถ้าไม่นับเสียงเพลงที่ดังแว่วมาจากโรงแรมที่ตั้งอยู่บนพื้นที่เดียวกันนี้ ก็คงจะมีแค่เสียงคลื่นทะเลกับเสียงร้องว้าวจากปากสาวๆ ผู้ร่วมทริป เพราะเบื้องหน้าทุกคนจากตรงจุดนี้คือทะเลมุมพาโนรามา และดวงตะวันกำลังลับไปอย่างงดงามกลางทะเลอ่าวไทย

มืดสนิท...

และแล้วก็ถึงเวลาที่รอคอย เวลาแห่งการพักผ่อนที่ (หวังว่า) น่าจะเป็นฟูลมูนปาร์ตี้ เสียงดนตรีชวนโยกและแสงสีตระการตา ภาพนักท่องเที่ยวต่างชาติคึกคักกันสุดมัน ภาพนั้น ภาพนั้น...

ทุกคนกำลังเดินทางไป หาดริ้น ชายหาดที่โด่งดังที่สุดของเกาะพะงัน เพราะเป็นสถานที่จัดฟูลมูนปาร์ตี้ที่นักท่องเที่ยวต่างใฝ่ฝันอยากไปสัมผัสสักครั้ง แต่เมื่อไปถึงภาพฟูลมูนปาร์ตี้ถูกแทนที่ด้วยบรรยากาศเงียบๆ เหงาๆ มืดๆ นี่เป็นการดับฝันชนิดที่ผมไม่มีโอกาสถอยหลังกลับแล้ว เพราะจะรอให้จันทร์เต็มดวงก็อีกหลายวัน เป็นไงเป็นกัน ลองเดินสำรวจหาดริ้นดูสักหน่อยก็ได้

จากฝันสลายก็เริ่มมีเค้าความจริง เพราะยังเห็นกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาตินั่งตามร้านอาหารริมหาด มีแสงเสียงพอสมควร มีการแสดงนิดหน่อย ผมยืนนิ่งดูความเคลื่อนไหวเหล่านั้น แต่น่าแปลกใจว่าผมกลับเหงาพิกล

...

วันสุดท้ายบนเกาะพะงันผมส่งท้ายทริปนี้เพื่อเป็นสิริมงคลด้วยการไปวัดภูเขาน้อยเพื่อไหว้ขอพรหลวงพ่อเพชร 1 ใน 5 เกจิอาจารย์ดังของภาคใต้ ท่านเป็นที่เคารพอย่างมาก เพราะเป็นพระที่มีวัตรปฏิบัติเข้มแข็ง เป็นนักสู้กิเลส ไม่ฉันเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต และที่มณฑปหลวงพ่อเพชร ท่านได้แผ่บารมีปาฎิหาริย์ประทับรอยเท้าไว้บนแผ่นหิน

ถึงวันนี้คลื่นกับสายลมจะพัดพาผมกลับมาบ้านแล้ว แต่พะงันในวันที่จันทร์ไม่เต็มดวงก็ยังน่าจดจำมาก อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องไปเมาหลับในงานฟูลมูนปาร์ตี้แล้วตื่นมาพร้อมกับจำอะไรต่อมิอะไรได้เพียงลางเลือน