ทอฝันในทัณฑสถาน

ผ้าทอที่ออกจากโรงทอผ้าแห่งนี้ ไม่ได้มีแค่ฝีมือ ทุกเส้นสายลายไหมมาจากหัวใจที่เต็มตื้นด้วยความหวัง
ห้องนั้นล้อมรอบด้วยลูกกรงเหล็กแข็งแรง ยิ่งใกล้...เสียงกระแทกฟืมของกี่ทอผ้ายิ่งดังชัดขึ้นเรื่อยๆ ช่างเป็นบรรยากาศที่ดูแปลกแปร่งขัดแย้ง
หญิงสาวในชุดผู้ต้องขังแห่งทัณฑสถานหญิงจังหวัดเชียงใหม่ นั่งประจำอยู่บนกี่นับสิบหลังที่เรียงรายอยู่ในห้องนั้นอย่างเป็นระเบียบ สายตาจ้องไปที่เส้นไหมขึงตึงซึ่งกำลังถูกทอขึ้นเป็นผืนผ้า ...แววตาบ่งบอกถึงความหวังที่ถูกถักทอขึ้นพร้อมกัน
.....
แม้จะผ่านมาได้ไม่กี่เดือนสำหรับการฝึกทอผ้าของผู้ต้องขังหญิงเหล่านี้ แต่ก็มากพอที่จะทำให้พวกเธอรักในศิลปะและภูมิปัญญาที่เกือบจะสูญหายไปแล้ว อารีรัตน์ เทียมทอง ผู้อำนวยการทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ ผู้ริเริ่มโครงการเปลี่ยนนักโทษให้เป็นนักทอ ด้วยความตั้งใจที่จะอนุรักษ์ผ้าไหมไทยและสร้างคุณค่าให้กับผู้ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำเป็นเวลานาน กล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า
"ขอบคุณที่สนใจการทำงานของพวกเรา ซึ่งแอบดูก็มองไม่เห็น ปีนดูก็ถูกยิงอีกต่างหาก"
ผอ.อารีรัตน์ เล่าถึงที่มาของโครงการนี้ว่า เพราะเป็นคนรักผ้าไหมมาก พอย้ายมาอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ได้ยินกิตติศัพท์ของผ้าไหมสันกำแพงก็เลยลองไปดู คิดว่าจะได้เห็นการทอผ้าแบบโบราณ แต่กลายเป็นว่าไม่มีแล้ว
"ตอนเข้าไปเรือนจำหญิงของเชียงใหม่ที่เก่า เขามีกี่ทอผ้าฝ้ายอยู่ 4 กี่ นอกนั้นถอดเป็นชิ้นๆ กองไว้เหมือนสุสานกี่ทอผ้า ก็เลยคิดขึ้นมาว่าทำไมเราไม่เอากี่พวกนี้มาทอผ้าไหม ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าทอผ้าไหมผ้าฝ้ายต้องมีสัดส่วนต่างกันยังไง เราไม่มีความรู้ รู้แต่ว่าเป็นกี่เหมือนกันมันต้องทอผ้าได้สิน่ะ แต่กี่ตัวนึงมันใช้พื้นที่เยอะ เรือนจำหญิงหลังเก่ามัน ไม่มีที่เลย ก็เลยเก็บความฝันนั้นเอาไว้"
สองปีผ่านไป ความฝันยังไม่หายไปไหน เมื่อเรือนจำหญิงมีเหตุต้องย้ายมาอยู่ที่แห่งใหม่ซึ่งพื้นที่กว้างขวางกว่า เธอจึงรีบปัดฝุ่นโครงการทอผ้าและหาคนร่วมฝันเท่าที่จะเป็นไปได้
"ตอนนั้นก็มีคนแนะนำให้ไปสันกำแพง ไปหา อ.อนันต์ สุคันธรส ซึ่งท่านเป็นนักสะสมผ้า ทำพิพิธภัณฑ์ผ้าไหม แล้วเราก็รู้มาว่าจะมีเวทีเสนองานวิจัยเรื่องผ้าไหมสันกำแพง ก็เลยรีบเขียนโครงการไปเสนอ"
จากวันนั้นโครงการฝึกอาชีพทอผ้าให้กับผู้ต้องขังก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง เนื่องจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ฝ่ายวิจัยเพื่อท้องถิ่น มีโครงการ "การสื่อสารศิลปะผ้าไหมสันกำแพง สู่การสร้างการตระหนักและสืบทอดวัฒนธรรม" ซึ่งดำเนินการอยู่ก่อนแล้ว
""งานวิจัยชิ้นนี้ ทำโดยนักวิชาการ มหาวิทยาลัย ร่วมกันกับชาวบ้านในชุมชน ไปเก็บข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับผ้าไหมสันกำแพงมาก่อน ทั้งลายผ้า กรรมวิธีการทอ ตลอดจนกลุ่มผู้รู้ที่ยังทอผ้าเป็นอยู่ ช่วงของการเก็บข้อมูล งานวิจัยออกแบบให้เด็กนักเรียนเข้ามามีส่วนร่วม ด้วยการเป็นทีมเก็บข้อมูลกับผู้ใหญ่ จนได้ผลงานออกมานำเสนอในเวที วันนั้นพอ ผอ.อารีรัตน์ ขอประสานให้นำอาจารย์เข้ามาฝึกสอนเป็นอาชีพให้กับผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำก็เลยสนใจ เราเรียกว่าเป็นการใช้ประโยชน์จากงานวิจัย เมื่องานวิจัยชิ้นหนึ่งๆ จบไปแล้วเราคำนึงว่าใครจะเอาไปใช้ประโยชน์ต่อ ซึ่งงานวิจัยชิ้นนี้จะเห็นว่าคนในสันกำแพงได้ใช้ประโยชน์แล้วหน่วยงานอย่างราชฑัณท์ก็ยังได้ใช้ประโยชน์ด้วย"เบญจวรรณ วงศ์คำ เจ้าหน้าที่บริหารโครงการ ฝ่ายวิจัยเพื่อท้องถิ่น ให้ความเห็น
.........
กี่เก่าได้รับการซ่อมแซม แม้จะมีอุปสรรคบ้างในการหาช่างที่มีความรู้ความเข้าใจ แต่ในที่สุดกี่ 30 หลังก็ถูกนำมาตั้งเรียงรายในห้องโถงเพื่อรอผู้ต้องขังหญิงที่สนใจ
"ตอนที่รับสมัคร มีเด็กสมัคร 11 คน จาก 1,500 คน เราก็บอก 11 คนเอามาทำอะไร กี่เรามี 30 ตัว เขาบอกเด็กไม่ยอมสมัคร เขาไม่รู้จะทอทำไม เราต้องลงไปพรีเซนต์ บอกกับเขาว่า พวกเราอยู่ที่นี่อีกนาน แล้วสังคมข้างนอกเขาก็มองว่าเราคนขี้คุกขี้ตาราง เพราะฉะนั้นแม้เราอยู่ในนี้ เราสร้างสิ สร้างให้เขาเห็นว่า ฉันมีฝีมือนะ ฉันสามารถที่จะเป็นหนึ่งของประเทศไทยในการทอผ้าไหมขึ้นมา ซึ่งขณะนี้คนทอผ้าไหมมันเหลือน้อยแล้ว แต่เราจะขึ้นมาเป็นแหล่งผลิตผ้าไหมให้ได้"
หลังจากปลุกขวัญให้กำลังใจกันแล้ว ปรากฎว่ามีคนสมัครเพิ่มขึ้นเป็น 200 คน ทำให้ต้องคัดเหลือแค่ 50 คนมาฝึกก่อน งานนี้มี อ.อนันต์ รับหน้าที่เป็นวิทยากรคนแรกที่เข้ามาสอนการทอผ้าลายสันกำแพง
"ปัญหาในช่วงแรกก็คือเรื่องของกี่ทอผ้า มันมีกี่เก่ากับกี่ใหม่ผสมกัน คนที่เขาทำเขาแค่ประกอบให้มันครบ ไม่ได้นึกถึงว่าคนทอต้องใช้น้ำหนักตรงนั้น จะดึงไหมยังไง แล้วไม้มันไม่มีอายุมันก็งอ ก็เลยทอผ้าไหมไม่ได้ ต้องให้ทำฝ้ายไปก่อน ระหว่างนั้นก็ซ่อมกี่ไปเรื่อยๆ ซึ่งลำบากมาก เพราะอุปกรณ์อย่างตะปูก็เอาเข้าไม่ได้ ลวดก็ไม่ได้ ฆ้อนก็ไม่ได้ มีดจะเหลาอะไรนิดหน่อยก็ไม่ได้ เป็นของมีคมอะไรเขาก็ไม่ให้เอาเข้า มือถือก็ไม่ให้ ทีนี้พอมันมีปัญหาต้องซ่อมต้องอะไร ก็จะให้เจ้าหน้าที่ของเขามาเอง ซึ่งก็เป็นผู้หญิง มันก็ต้องช่วยกัน อย่างเวลาจะตอกก็ไม่ใช่ตอกๆ ไปเลย มันต้องดูแนวว่ามันจะไปเกี่ยวไหมมั้ย เราก็ต้องดูแล แต่ไม่ถึงกับทำไม่ได้"
พ้นจากอุปสรรคเรื่องกี่ คราวนี้มาเจอเรื่อง "ท้อ" ของคนทอ เพราะช่วงแรกทอแล้วขาดบ้างเสียบ้าง หลายคนเริ่มถอดใจ ผอ.อารีรัตน์จึงปรึกษากับ อ.อนันต์ ชักชวน อ.วิเชียร และ อ.อุษา เสนาธรรม จากศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม มาช่วยสอนแบบประกบตัวต่อตัว ซึ่งก็ได้ผลเกินคาด ใช้เวลาไม่นานผ้าทอผืนงามเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง
"คือเราต้องให้กำลังใจเขาด้วย อยู่ๆ เราไปสอนเขาไม่เต็มที่กับเราหรอก ต้องให้ใจ คอยให้คำปรึกษาเขา เครียดทำอย่างไร ทำตัวเหมือนเป็นเพื่อน เป็นเพื่อนร่วมงานมากกว่า"
ถึงวันนี้ อ.อุษา บอกว่าผลงานที่ได้คุณภาพไม่เป็นรองใคร ถ้าได้ฝึกอีกสักปีจะได้ชิ้นงานคุณภาพสูงแน่นอน ซึ่งจุดเด่นของที่นี่ก็คือสามารถควบคุมคุณภาพได้มากกว่าคนข้างนอก
"ถามว่าสอนยากไหม ก็ยากเหมือนกัน อาจต้องบอกหลายครั้งแต่ทุกคนก็ตั้งใจให้ความร่วมมือ เราต้องดึงดูดให้เขาสนใจ เอาสีไหมให้ดู ให้เขาเห็นลายผ้า พอทอออกมาสวยเขาก็เริ่มภูมิใจ แข่งกันทำให้ดีขึ้นอีก ยิ่งรู้ว่าเดี๋ยวจะมีคนมาชมผลงานก็ยิ่งพยายามทำให้สวย ที่สำคัญเราต้องสอนให้เขาเห็นคุณค่าของเส้นไหม เก็บรักษาดูแล พอเขาเห็นคุณค่า ก็จะรักในงานที่ทำ"
............
"รู้สึกดี ได้วิชาเพิ่มเติม แล้วก็ทำให้มีสมาธิ" ผู้ต้องขังหญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นเมื่อถูกถามถึงความรู้สึกที่ได้มาเรียนทอผ้า
เธอยิ้มอย่างมีความหวังก่อนจะพูดต่อว่า "ถ้ามีโอกาสจะเรียนเพิ่มเติมอีก ศึกษาจากอาจารย์ ออกไปจะได้เอาไปสอนคนในครอบครัว ทำเป็นธุรกิจครอบครัวแบบพอเพียง มีโอกาสก็จะเรียนรู้ไปเรื่อยๆ เอาไปสอนคนในชุมชนด้วย สอนคนที่ไม่มีงานไม่มีรายได้"
เธอว่าคนในชุมชน ทำนาทำสวน ไม่เป็นฤดูกาล ถ้าได้มีอาชีพเสริม มีรายได้เพิ่ม จะได้ไม่เดินทางผิด
"ปัญหาที่เราเจอ เพราะรายได้ไม่พอ แล้วก็คิดง่ายๆ ไม่ทันคนอื่นเขา เขาให้ช่วยส่งของก็ไปส่ง เห็นว่าได้เงินเยอะ ไม่รู้ว่ามันคือยาเสพติด แต่ผิดแล้วก็ถือว่าเราคงทำกรรมเอาไว้ เข้ามาก็ถือว่ามาพักผ่อนจิตใจ ยอมรับสภาพ"
25 ปีคือโทษที่ต้องจองจำ แม้จะเหลือเวลาที่ต้องอยู่ในเรือนจำอีก 18 ปี แต่การทอผ้าทำให้รู้สึกว่าเวลาที่ผ่านไปไม่ได้ไร้ค่า ตรงกันข้ามทุกวันนี้สิ่งที่เธอทำคือ "คุณค่า" ทั้งต่อตัวเองและสังคม
"เวลาที่เหลือจะเหลือมากหรือน้อย ขอให้เราได้เรียนรู้ตรงนี้มากๆ ออกไปจะได้มีความรู้ติดตัวไปสอนคนอื่น ไม่ให้เดินทางผิด งานตรงนี้รายได้ถึงจะน้อย แต่มาจากความสามารถ เป็นภูมิปัญญาที่เราได้สืบทอด"
ที่สำคัญการทอผ้ายังเป็นการฝึกสมาธิที่ดี "ทำให้เรามีสติ มีความคิด ใจเย็น มีกำลังใจ พอได้ทำงานนี้แล้วมันไม่เบื่อ ยิ่งรู้ว่าลายสันกำแพงที่เราทอหาคนทอยาก ยิ่งต้องอนุรักษ์ไว้ ต้องหาคนทอให้ได้ เราก็ภูมิใจที่ได้อยู่ในหน้าที่ตรงนี้ จะทำให้มันออกมาดีที่สุด"
แม้เรื่องราวเบื้องหลังของแต่ละชีวิตที่ต้องอยู่ร่วมกันในวันไร้อิสรภาพจะแตกต่าง แต่ที่เหมือนกันคือความหวังจะได้กลับสู่อ้อมกอดของคนในครอบครัวและยืนได้อย่างภาคภูมิในสังคม
ผอ.อารีรัตน์ เล่าว่าเท่าที่สังเกต ทุกคนจะภูมิใจมากเวลาที่ทอเสร็จ เมื่อถูกถามว่าลายอะไร ทำไมสวยอย่างนี้ เขาจะอธิบาย "แสดงว่าหัวใจ 80 % อยู่ที่ผ้าไหมละ อีก 20 % อาจจะเป็นเรื่องอื่น ก็ช่างเขา อันนี้ก็เป็นจุดหนึ่งที่เราแทรกเข้าไป เพราะพวกนี้โทษสูงมาก บางคนถึงขั้นประหารชีวิต เพราะฉะนั้นรุ่นแรกที่คัดมาคือตลอดชีวิตหรือไม่ก็ 20 ปีขึ้นไป เราอยากให้เขามาเป็นครูให้รุ่นหลังๆ แล้วก็เป็นยั่วยุเขาด้วย ประกาศศักดิ์ศรีของตัวเองให้คนข้างนอกรู้ว่า แม้ฉันจะติดคุก แต่ฉันก็คืนความดีให้แผ่นดินได้ ถึงแม้ฉันจะติดคุก ฉันก็รักษารากเหง้าของความเป็นไทยได้ เพราะฉะนั้นฉันก็เป็นคนดีได้"
ทว่า ปลายทางความฝันไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้ สองปีก่อนเกษียณอายุราชการของหญิงแกร่งแห่งทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ คือการทำให้พื้นที่หลังกำแพงสูงชันนี้เป็นแหล่งผลิตผ้าไหมสันกำแพงที่ใหญ่ที่สุด
...........
ทำไมต้องเป็น "ผ้าไหมสันกำแพง"
นอกจากเหตุผลเรื่องที่ตั้งของทัณฑสถานที่อยู่ในจังหวัดเชียงใหม่แล้ว การที่มรดกทางวัฒนธรรมชิ้นนี้กำลังจะสูญหายไปก็เป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้หลายฝ่ายหันมาร่วมมือกัน
ตามข้อมูลจากงานวิจัยระบุว่า สันกำแพงเคยเป็นแหล่งที่มีการทอผ้ามาแต่ครั้งอดีต ชุมชนต่างๆ ในอำเภอสันกำแพงล้วนมีฝีมือในการทอผ้าด้วยกี่พื้นเมือง สืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ
เมื่อประมาณร้อยกว่าปีมาแล้วได้เริ่มมีการค้าขายระหว่างเชียงใหม่กับพม่า โดยในเบื้องต้นเป็นการค้าช้าง ม้าต่าง วัวต่าง ต่อมาจึงได้มีการนำเส้นไหมดิบจากพม่ากลับมาเชียงใหม่ แล้วนำเส้นไหมดังกล่าวมาทอเป็นผ้าซิ่นไหม ผ้าโสร่งไหม ส่งกลับไปขายให้พม่าอีกต่อหนึ่ง
"จุดเด่นของผ้าไหมสันกำแพงคือ ลวดลายเฉพาะซึ่งต่อมาได้มีการพัฒนามาเป็น “ลาย 7 วัน” คือการใส่สี 7 สีตามวันใน 1 สัปดาห์ จากนั้นก็มี ลายวงเดือน ลายน้ำไหล ซึ่งมีเฉพาะที่สันกำแพงเท่านั้น" อ.อนันต์ ให้ข้อมูล
ในปี พ.ศ.2479 ผ้าไหมสีฟ้าได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช ทรงขับรถแข่งคู่พระทัย ชื่อว่ารอมิวลุส (Romulus) ซึ่งมีสีฟ้าสด เรียกกันว่าสีฟ้าพีระ จึงมีการย้อมเสื้อไหมและผ้าซิ่นเป็นสีฟ้า แล้วตั้งชื่อว่า “ผ้าไหมลายสีพีระ"
"ผ้าไหมนี้เป็นวัฒนธรรมของอำเภอสันกำแพงเรา มีชื่อเสียงระดับประเทศ แต่ด้วยเรื่องของกาลเวลา เรื่องของเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เข้ามาทำให้สิ่งเหล่านี้มันจางหายไป เยาวชนรุ่นใหม่ก็ไม่มาทอผ้า สมัยก่อน 30-40 ปีที่แล้ว ถ้าไปงานแต่งงานผู้หญิงต้องใส่ผ้าไหมสันกำแพง แล้วหนึ่งในสินค้าที่คนมาเชียงใหม่ที่มีฐานะหน่อยต้องซื้อกลับไปก็คือ ผ้าไหม แม้กระทั่งอาคันตุกะต่างประเทศมาประเทศไทยมาเชียงใหม่ก็ต้องมาสันกำแพง สิ่งนี้เป็นวัฒนธรรมที่ทางเทศบาลเราจะต้องฟื้นฟูให้ดำรงอยู่ไม่ให้เสื่อมหายไปกับกาลเวลา" ศุภนิมิต วรกิตติ นายกเทศมนตรีตำบลสันกำแพง ยืนยัน
การที่ทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่หันมาสืบสานภูมิปัญญาในการทอผ้าไหมสันกำแพง จึงไม่เพียงต่อเติมความหวังและความภาคภูมิใจให้กับผู้ต้องขัง แต่ทุกผืนผ้าที่ถูกทอขึ้นในห้องแคบๆ คือคำประกาศศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ และยังเป็นการต่อลมหายใจให้กับมรดกทางวัฒนธรรมชิ้นนี้ด้วย







