40 Years of Thai Fashion Through the Eyes of Photographers

เดินทางย้อนเวลากลับไปดูวงการแฟชั่นไทยผ่านคมเลนส์ของช่างภาพแฟชั่นไทยตั้งแต่ยุคเริ่มต้นถึงปัจจุบัน รวม 40 ปี
"ภาพหนึ่งแทนคำนับหมื่น" คำประพันธ์จีนบทนี้ อธิบายทั้ง 'ภาพวาด' และ 'ภาพถ่าย' ได้เป็นอย่างดี
'ภาพถ่าย' บันทึกเหตุการณ์ได้มากมาย บันทึกความเป็นไปของสถานที่ สื่อความหมาย บอกเล่าอารมณ์และความรู้สึก เผยความคิดของผู้ถ่ายภาพและผู้คนในแต่ละช่วงเวลา แม้กระทั่งเทคโนโลยี
'ภาพถ่ายแฟชั่น' ก็เช่นเดียวกัน ทุกภาพเล่าเรื่องในตัวเองและบันทึกเรื่องราวมากมายใน วงการแฟชั่น ที่เต็มไปด้วยผู้คนซึ่งมีพรสวรรค์และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านต่างกันไปจำนวนมหาศาล
สหรัฐอเมริกาอาจจะให้กำเนิด 'ภาพถ่ายแฟชั่นระดับอาชีพ' ก่อนใคร เมื่อนิตยสารแฟชั่น 'ฮาร์เปอร์'ส บาซาร์' ก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ.1867 (พ.ศ.2410) ตามมาด้วยยุโรปเมื่อนิตยสาร 'โว้ก' เปิดตัวครั้งแรกในปีค.ศ.1892(พ.ศ.2435)
สำหรับ 'เมืองไทย' แม้ไม่ใช่ผู้กำหนดเทรนด์แฟชั่นโลก แต่ผลงาน 'แฟชั่นไทย' ก็เป็นที่ยอมรับในมหานครแฟชั่นโลก นี่เป็นครั้งแรกที่กลุ่มคนทำงาน 'ช่างภาพแฟชั่นไทย' ร่วมกับ สมาคมแฟชั่นดีไซเนอร์กรุงเทพ (Bangkok Fashion Society) และศูนย์การค้าที่เป็นต้นกำเนิดศูนย์รวมแฟชั่นไทย 'สยามเซ็นเตอร์' ร่วมกันจัดงาน ย้อนตำนาน 40 ปี แฟชั่นไทย ผ่านมุมมองของช่างภาพแฟชั่นชั้นนำ (Visionaries: 40 Years of Thai Fashion Through the Eyes of Photographers)
นำผลงานภาพถ่ายแฟชั่น 'มาสเตอร์พีช' จากการทุ่มเทในการทำงานในวงการแฟชั่นไทยตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา จำนวน 400 ภาพ จากผลงานภาพถ่ายของ 20 ช่างภาพแฟชั่นชั้นนำของเมืองไทย ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มจนถึงปัจจุบัน มาจัดแสดงนิทรรศการโดยแบ่งกลุ่มเป็น 4 ทศวรรษ
ยุค 70s : ยุคเริ่มต้น หรือยุคจุดประทัด
กล่าวได้ว่า ยุค 70s ถือเป็นยุคแรกที่ รูปแบบแฟชั่นตามแบบสากล ได้เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการในประเทศไทย
เริ่มมีการออกแบบและจำหน่าย เสื้อผ้าสำเร็จรูป นักออกแบบรุ่นใหม่ยุคนี้เริ่มสร้างสรรค์ผลงานออกแบบสไตล์ยุโรป ได้แก่ สมชาย แก้วทอง เจ้าของและผู้ก่อตั้งห้องเสื้อ ไข่บูติก (Kai Boutique) ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ 'สยามเซ็นเตอร์' ได้ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2516 เพื่อรองรับตลาดแฟชั่นสมัยใหม่
ยุคแรกเริ่มนี้ การสร้างสรรค์งานแฟชั่นเกิดจาก 'ความคิดสร้างสรรค์' ผนวกกับ 'ความหลงใหลในแฟชั่น' ของทีมดีไซเนอร์
ตำราที่เป็นแหล่งความรู้เกี่ยวกับแฟชั่นยุคเจ็ดศูนย์ ได้แก่ 'นิตยสารต่างประเทศ' ที่มีจำหน่ายตามตลาดหนังสือเก่าบริเวณท้องสนามหลวง ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กลุ่มช่างภาพแฟชั่นได้กำเนิดขึ้น ได้แก่ นภดล โชตะสิริ รวมถึงการกำเนิดของนิตยสารไลฟ์สไตล์สำหรับผู้หญิงที่มีภาพแฟชั่นบนปก ได้แก่ BR, ลลนา, ดิฉัน, 21 (ทเวนตี้-วัน) และ นิวซิตี้ ที่เปรียบเสมือนพื้นที่แสดงผลงานของช่างภาพแฟชั่นและไทยดีไซเนอร์ในยุคบุกเบิก
นอกจากนี้ ยังเป็นจุดเริ่มต้นของอาชีพใหม่ในวงการ คือ นางแบบอาชีพ โดยนางแบบแถวหน้าที่แจ้งเกิดในวงการจนเป็นดาวเด่นแห่งยุค เพ็ญพร ไพฑูรย์, อาภาพรรณ ฮันเตอร์, พิจิตรา บุณยรัตพันธุ์, กาญจนาพร ปลอดภัย, รุ่งนภา กิตติวัฒน์, ทิพย์วรรณ ภวภูตานนท์ (วันทิพย์), อิสรีย์ พินิจภูวดล และ อรนภา กฤษฎี จากนั้นต่อมาอาชีพ สไตลิสต์ (Stylist), เมคอัพ อาร์ติส (Make Up Artist) และ แฮร์ สไตลิสต์ (Hair Stylist) จึงเกิดขึ้น ส่งผลให้แฟชั่นไทยในยุคนี้มีพัฒนาการอย่างรวดเร็วเกินความคาดหมาย
ยุค 80s : ยุคเทรนด์เซตเตอร์
เป็นยุคที่ห้องเสื้อไทยแต่ละแบรนด์เริ่มแสดงตัวตนที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนมากขึ้น
แบรนด์ชั้นนำแห่งยุค ได้แก่ ห้องเสื้อธีระพันธ์ (Tirapan) โดย ธีระพันธ์ วรรณรัตน์ นำเสนอภาพหญิงสาวผู้ดี-มีชาติตระกูล หรูหรา กับเสื้อผ้าระดับกูตูร์, ห้องเสื้อดวงใจบิส (Duangjai Bis) ของ กีรติ ชลสิทธิ์ นำเสนอภาพของหญิงสาวสไตล์ปารีเซียงสวยเพียบพร้อม, องอาจ นิรมล (Ong-Art Niramon) แบรนด์อินดี้แห่งยุคที่คนรักแฟชั่นต้องมีไว้ครอบครอง
รวมทั้งกลุ่มแบรนด์ดีไซเนอร์ไทยในสยามเซ็นเตอร์ เช่น ห้องเสื้อ Theatreนำเสนอภาพของหญิงสาวอาว็อง-การ์ด เค้าโครงชุดแปลกใหม่อยู่เสมอ, Soda แฟชั่นล้ำสมัย และ Greyhound ที่บุกเบิกแนวคิดการนำเสนอแฟชั่นตามแบบแฟชั่นสากล
เป็นยุคที่ช่างภาพนิยมถ่ายแฟชั่นตาม 'โลเคชั่น' ได้แสงธรรมชาติและความแปลกใหม่เฉพาะตัวของสถานที่แต่ละแห่ง เปิดความคิดและจินตนาการได้กว้างไกล
แม้ 'ฟิล์ม' คือปัจจัยสำคัญสำหรับการถ่ายภาพยุคปีแปดศูนย์ แต่ช่างภาพก็ใช้เทคนิคส่วนตัว เช่นการกัดสี การขูดขีด เพื่อให้ได้ภาพถ่ายแฟชั่นที่ล้าง-อัดออกมาแล้วมีความแปลกใหม่เฉพาะตัว
ช่างภาพแฟชั่นที่สำคัญในยุคนี้ได้แก่ วิทยา มารยาท, ศักดิ์ชัย กาย และ โชติวิชช์ สุวงศ์ ต่างนำเสนอรูปแบบและเทคนิคการถ่ายที่แตกต่างไปตามคาแรคเตอร์ของนิตยสารต่างๆ เช่น เปรียว, แพรว และ อิมเมจ
นางแบบที่เป็นดาวเด่นในยุคนี้ เช่น รัชนี ศิระเลิศ, ม.ร.ว.ปัทมนัดดา ยุคล, สินจัย เปล่งพานิช, เยลหลี ริคอร์เดล, มาช่า วัฒนพานิช, สปัน เสลาคุณ, คาร่า พลสิทธิ์, จันทร์จิรา จูแจ้ง, จิตติมา วรรธนะสิน, นาตาช่า เปลี่ยนวิถี, วราลักษณ์ วาณิชย์กุล นายแบบมืออาชีพ ธนาคาร เผ่าจินดา, พิสัย ศศิสมิต เป็นอาทิ
ช่างภาพแฟชั่น (และทีมงาน) ทำให้ภาพนางแบบสวยงามอย่างถึงที่สุด เรียกได้ว่า 'งามหยดย้อย' จัดเต็มด้วยความงามอย่างศิลป์ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
ยุค 90s : ยุคอุตสาหกรรมแฟชั่น
ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงจากสไตล์ที่หรูหราสู่แนว นิว โรแมนติก (New Romantic) คือนำเสนอภาพแฟชั่นแนวใหม่ที่มีความเรียบง่าย องค์ประกอบภาพละเมียดละไมและเต็มไปด้วยรายละเอียดของความโรแมนติกแนว กรันจ์ (Grunge) ภาพแฟชั่นแนวใหม่ที่ปราศจากความหรูหราโดยสิ้นเชิงและไม่ต้องการความสมบูรณ์แบบ โดยนำเสนอเรื่องราวและการใช้โลเคชั่นที่พลิกแพลงไปจากเดิม ประกอบกับการโพสต์ท่าของนางแบบที่เรียบง่าย และเสมือนจริงมากขึ้น
จากนั้นคลี่คลายออกมาเป็นยุค มินิมัลลิสม์ (Minimalism) ที่รายละเอียดของแฟชั่นถูกตัดทอนออกไปอย่างสิ้นเชิง ภาพถ่ายแฟชั่นก็เช่นเดียวกัน ผู้ลั่นชัตเตอร์ซึ่งสร้างตำนานในช่วงเวลานี้ ได้แก่ อมาตย์ นิมิตภาคย์, ณัฐ ประกอบสันติสุข, วสันต์ ผึ่งประเสริฐ, วิรัช จัตตุวัฒนา, สุเมธ วิวัฒน์วิชา, นพดล ขาวสำอางค์, ลัคณา วิรุณานนท์, องค์อร อุปอินทร์, สืบพงษ์ สิงหสุต และ ชิระ วิชัยสุทธิกุล บันทึกภาพนางแบบชั้นนำไว้มากมาย อาภาศิริ นิติพน, เมทินี กิ่งโพยม, ยีนส์ พาร์คส์, ปรียานุช บูลกุล, ปทุมรัตน์ วรมาลี เป็นต้น
ยุค 2000s : ยุคแห่งความเป็นสากล
ช่วงเวลาที่โลกยุคใหม่เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวด้วย 'เทคโนโลยีล้ำสมัย' เป็นยุคที่ กลุ่มนักเรียนแฟชั่นยุคใหม่ ที่ไปศึกษาต่อยังเมืองศูนย์กลางแฟชั่น คือ อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น กลับมาเปิดร้านเสื้อของตัวเองตามสไตล์ที่ถนัดและชื่นชอบ
ความหลากหลายของคอนเซปต์แฟชั่นที่มีอยู่ทั่วโลก ส่งผลให้ไทยดีไซเนอร์ให้ความสำคัญกับ สไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ เพื่อเป็นรากฐานให้แบรนด์มีความแข็งแกร่ง เพราะตลาดแฟชั่นในยุคนี้ไม่ได้มุ่งหวังเพียงลูกค้าภายในประเทศเท่านั้น แต่มีความต้องการที่จะขยายตลาดไปสู่ต่างประเทศมากขึ้น
ทั้งนี้ การประชาสัมพันธ์ การจัดการการผลิต และ การจัดทำโปรโมชั่น ต้องปรับให้เป็นมาตรฐานสากล
ภาพถ่ายแฟชั่นในยุคนี้ จึงมีองค์ประกอบที่ซับซ้อนกว่ายุคก่อน เรื่องราวที่สอดแทรกในภาพถ่ายสามารถเนรมิตได้ตามใจนึกด้วย 'เทคโนโลยี' และ 'เทคนิคต่างๆ ที่ล้ำสมัย'
ช่างภาพแฟชั่นในยุคนี้ นอกจากจะมีความโดดเด่นด้วยสไตล์ที่ตนเองยึดถือ ยังมีความเข้าใจในคอนเซปต์แฟชั่นที่หลากหลาย มีความคิดสร้างสรรค์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการค้นคว้าสไตล์การทำงานของช่างภาพในยุคก่อนๆ รวมถึงการปรับตัวให้เข้ากับการทำงานด้วยคอนเซปต์ที่หลากหลายจากดีไซเนอร์และสไตลิสต์
ขณะเดียวกันกล้องถ่ายรูปและเทคโนโลยีการถ่ายภาพก็พัฒนามีลูกเล่นและเทคนิคให้เลือกใช้ได้มากมาย
เห็นได้จากภาพถ่ายแฟชั่นที่ลั่นชัตเตอร์โดย พันธ์สิริ สิริเวชชะพันธ์, สุรัตน์ จริยวัฒนวิจิตร, จุฑารัตน์ พรมุณีสุนทร, ธาดา วารีช, สุรศักดิ์ อิทธิฤทธิ์ และ ธนนนท์ ธนากรกานต์ เป็นต้น
นางแบบยุคนี้เต็มไปด้วย 'เอกลักษณ์และคาแรคเตอร์' มากกว่าหน้าตาสวยงามแบบคลาสสิกเหมือนนางแบบในยุคที่ผ่านมา ได้แก่ กัญญณัท บำรุงพงษ์, ราศี วัชรพลเมฆ, สิรินยา บิชอป, ฟลอเรนซ์ วนิดา เฟเวอร์ และ ยศวดี หัสดีวิจิตร (นางแบบระดับอินเตอร์เนชั่นแนลที่เข้าสู่วงการจากการประกวดและคว้ารางวัล 'มิสสยามเซ็นเตอร์ ยังสตาร์')
ยุค 2000s ถือเป็นยุคที่เปิดกว้างให้กับทุกความคิดสร้างสรรค์และทุกคนสามารถปรับตัวให้เข้ากับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปในทุกๆ วัน
ส่วนหนึ่งของนิทรรศการ Visionaries: 40 Years of Thai Fashion Through the Eyes of Photographers ยังจัดขึ้นเพื่อเชิดชูเกียรติ วิทยา มารยาท ช่างภาพชั้นครูของวงการแฟชั่นไทย ถือเป็นการแสดงผลงานเต็มรูปแบบครั้งแรกของ วิทยา มารยาท จัดแสดงให้ชม ณ บริเวณ ชั้น 1 สยามเซ็นเตอร์ ระหว่างวันที่ 9 กันยายน-5 ตุลาคมนี้
ขณะเดียวกัน สยามเซ็นเตอร์ร่วมมือกับแบรนด์แฟชั่นไทยชั้นนำ คัดเลือก แฟชั่นชิ้นเด่น (hot item) ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา นำกลับมาผลิตใหม่เป็นคอลเลคชั่นพิเศษ จำหน่ายให้คนรักแฟชั่นที่ยังคิดถึงและอยากเป็นเจ้าของ 'must have item ในอดีต' ได้มีโอกาสอีกครั้ง รวมทั้ง หนังสือที่ระลึกของนิทรรศการ พิมพ์จำนวนจำกัด รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายมอบองค์กรสาธารณกุศล
หมายเหตุ : ชมภาพมากกว่านี้ได้ที่แฟนเพจ คลิก https://www.facebook.com/media/set/?set=a.730688016997719.1073742460.160372727362587&type=1







