ใช้'ลมหายใจ' เป็นยาแก้ปวด

ตามลมหายใจผสมกับยืดเส้น นี่คือสมาธิรักษาโรค
ปัจจุบัน สมาธิบำบัด SKT โดย รศ.ดร.สมพร กันทรดุษฏี เตรียมชัยศรี อาจารย์ประจำภาควิชาการพยาบาลสาธารณสุข คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้พัฒนาเทคนิคนี้ขึ้นมา กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง และมีคอร์สฝึกปฎิบัติอยู่เรื่อยๆ เนื่องจากคนจำนวนมากให้ความสนใจ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม อาจารย์เน้นว่า สามารถดูยูทูบ แล้วนำมาปฎิบัติด้วยตนเอง เพราะมีคอร์สต้องสอนเยอะมาก
สมาธิรูปแบบนี้ อาจารย์ได้มาจากการศึกษาในระบบประสาทของมนุษย์ ระหว่างการศึกษาระดับปริญญาเอก จึงเข้าใจถึงความเชื่อมโยงของการปฏิบัติสมาธิกับการทำงานของระบบประสาทมากขึ้น ประกอบกับเมื่อได้ทำงานวิจัยเรื่อง สมาธิเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ หากเราสามารถควบคุมการฝึกประสาทสัมผัสทั้ง 6 ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น การสัมผัส และการเคลื่อนไหวด้วย ก็จะทำให้การทำสมาธินั้นมีผลดีต่อการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง ระบบประสาทส่วนปลาย ระบบประสาทอัตโนมัติ ระบบอารมณ์และพฤติกรรม ระบบภูมิต้านทานของร่างกาย ระบบไหลเวียนเลือด และระบบอื่นๆในร่างกายได้เป็นอย่างดี
อาจารย์จึงได้นำองค์ความรู้ ทั้งเรื่องสมาธิ โยคะ ชี่กง การออกกำลังกายแบบยืดเหยียด การปฏิบัติสมาธิด้วยเทคนิคการหายใจ และการควบคุมประสาทสัมผัสทางตาและหู ผสมผสานกัน จนพัฒนาเป็นรูปแบบสมาธิบำบัดแบบใหม่ขึ้น 7 เทคนิค หรือเรียกว่า SKT 1-7 ที่ช่วยเยียวยาผู้ป่วยโรคเรื้อรังให้มีสุขภาพดีขึ้น
หายใจด้วยกระบังลม
หากจะสรุปจากที่ปฎิบัติในคอร์สสั้นๆ อาจารย์สมพร บอกว่า เป็นการฝึกโดยหายใจใช้กระบังลมออกแรง เพื่อให้กระบังลมเคลื่อนขึ้น โดยหายใจออกใช้แรง หายใจเข้าไม่ต้องใช้แรง ต่างจากหายใจปกติ เพราะการหายใจแบบนี้เป็นกลไกการควบคุมของปลายประสาทแห่งการรับรู้เชื่อมโยงไปถึงเส้นประสาทสมอง
"สิ่งที่เราค้นพบ คือ สามารถจะฝึกปลายประสาทการรับรู้ หลายคนบอกว่าฝึกจิต แต่ไม่เคยรับรู้เลยว่า จิตตัวนี้ที่บอกว่าแกว่งมาก เป็นตัวรับสัญญาณกลที่อยู่ตามข้อ ผิวหน้า ใต้ผิวหน้า และอยู่ในอวัยวะที่เป็นกล้ามเนื้อเรียบและกล้ามเนื้อลาย และร่างกายเราทั้งหมดถูกคุมด้วยตัวรับสัญญาณกล และตัวรับสัญญาณพิเศษ"
แล้วทำไมสมาธิแบบนี้ทำงานได้ไวกว่าปกติ อาจารย์สมพรอธิบายว่า แม้กระทั่งคนในวงการแพทย์ หรือด้านวิทยาศาสตร์ ไม่เคยรู้ว่า ตัวปลายประสาทอิสระ ที่เกี่ยวเนื่องกับความปวดสามารถควบคุมได้
“เมื่อเรารู้ความลับของสิ่งนี้ และฝึกมันได้ จะเป็นยาแก้ปวดมหาศาล คนที่เป็นมะเร็ง จึงดีขึ้นไว ถ้าเราสามารถฝึกตัวรับสัญญาณสี่ห้าตัวได้ โดยเฉพาะตัวรับสัญญาณที่ข้อ จะวิ่งผ่านไปสู่ศูนย์กลางควบคุมการหายใจ ซึ่งมีอยู่สามศูนย์ ปกติจะวิ่งผ่านศูนย์เชื่อมต่อกับไขสันหลัง วิ่งไปควบคุมการหายใจที่ส่วนเหนือของไขสันหลัง ซึ่งไม่เคยทำได้ การหายใจโดยการฝึกเป่าลมออก และหายใจเข้าโดยใช้กระบังลม เพื่อให้ศูนย์หายใจทั้งสองศูนย์ไปบังคับบริเวณที่ควบคุมความเร็วอัตโนมัติปรับได้เร็วขึ้น เนื่องจากทั้งสองศูนย์ใกล้กับระบบประสาทอัตโนมัติ"
อาจารย์สมพร บอกว่า ส่วนใหญ่ที่เราไม่สบาย เพราะระบบประสาทอัตโนมัติทำงานไม่พอดี เมื่อเราปรับการหายใจแบบนี้จะเยียวยาได้
"พวกนักวิทยาศาสตร์ทำงานใช้สมองค้นคว้าเยอะๆ จะใช้สมองซีกซ้าย ทำให้ตัวที่รับสัญญาณความจำ มันตาย เราจะเห็นว่ากลุ่มนักวิทยาศาสตร์เก่งๆ บ้านเรา จะลงท้ายด้วยอัลไซเมอร์ และหลายคนไม่เคยเข้าใจกลไกเส้นประสาทสมองบางตัวที่จะทำให้ความจำยาว คนที่รู้ความลับตรงนี้ กลับอยู่ในวงการศาสนา ไม่รู้เรื่องวิทยาศาสตร์ แต่รู้วิธีปฎิบัติ เราก็ใช้แนวคิดการปฎิบัติเพื่อทำให้รู้แจ้ง การปฎิบัติสมาธิ SKT จะตรงกันข้ามกับกลไกที่ฝึกมาทั้งหมด อย่างคนที่เป็นไทรอยด์เป็นพิษ เราปรับได้ แต่คนนั้นต้องทำเอง หรือคนเป็นเบาหวานก็มีข้อมูลเชิงประจักษ์ให้เห็นในการรักษาโรค"
เคลื่อนกายผสานลมหายใจ
ที่สำคัญอาจารย์ย้ำว่า ต้องปฏิบัติด้วยตัวเอง หรือจะลองเปิดยูทูบฝึกฝนด้วยตัวเองก็ได้
อาจารย์สมพร บอกว่า บางเทคนิคมีการเคลื่อนไหวของลำไส้ บางคนมีอาการกรดไหลย้อน ท้องอืด ท้องเฟ้อ ก็ฝึกได้ เพราะเป็นการฝึกศูนย์หายใจเหนือลำตัว ถ้าฝึกบ่อยๆ ประมาณ 30 ครั้งในช่วง 12-15 นาทีต่อวันก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องฝึกฝนมากกว่านั้น
"เมื่อก้มตัวลงหายใจออก เหมือนการกดจุดให้ตัวเอง สัญญาณจะวิ่งเข้าไขสันหลัง พอเงยหน้าด้านหลังขึ้นไป เหมือนได้ยาแก้ปวด ถ้าฝึกรอบแรกๆ (SKT3) จะมีการเตือนว่า เสียวแปลบๆ จี๊ดๆ บริเวณที่ไม่สบาย เพราะฝึกรูปแบบนี้ ทำให้ปลายประสาทวิ่ง เมื่อวิ่งแล้วเจอทางตันไปไม่ได้ ก็จะมีอาการเสียดแทงเจ็บแปลบๆ ไม่ต้องตกใจ ฝึกไปเรื่อยๆ ต่อไปจะไม่ปวดเข่า ไม่มีปัญหากระเพาะ กรดไหลย้อน เนื่องจากตามข้อ ตามเอ็นมีตัวรับสัญญาณกล "
นี่เป็นวิธีการออกกำลังกายผสานกับสมาธิการหายใจ ซึ่งการออกกำลังกายแบบนี้จะใช้แรงต้าน จึงวิ่งเข้าสู่เส้นประสาทสมองได้เร็ว ส่วนการหายใจ ต้องดึงลมหายใจให้ยาวเท่าการเคลื่อนไหว และต้องปิดตาฝึก ถ้าการลืมตาฝึกจะได้ผลแค่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ เพราะการลืมตาทำให้บางสัญญาณรบกวนประสาทการรับรู้
ทำไมต้องหายใจออกทางปาก อาจารย์สมพรอธิบายว่า เพราะเราไม่เคยรู้กลไกการหายใจที่ถูกต้อง ถ้าเราเชื่อทางศาสนา พระจะให้สวดมนต์ แต่ถ้าเราฝึกสมาธิอานาปาณสติให้หายใจเข้าออก ดังนั้นการฝึกแบบนี้ประสาทสัมผัสที่รับรู้กลิ่น รส จะเปลี่ยนให้เป็นพลังงานกลเข้ามาแทน
“ที่เราสวดมนตร์ทุกลัทธิ ทุกศาสนา หรือการร้องเพลง ร้องไปนานๆ เข้า ตัวสัญญาณจะเข้าไปกดบริเวณเส้นสมอง ทำให้รู้สึกว่า อารมณ์สุนทรีย์ อารมณ์ดี เพราะได้สารเคมีในสมอง หลายคนไม่เคยเข้าใจว่าทำไมเป็นอย่างนี้ เวลาอายุเยอะขึ้น ทุกสิบปีหลังจากอายุยี่สิบ ความจำจะตายด้วยวิธีธรรมชาติครั้งละ 20 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นคนที่อายุ 60 จะเหลือความจำแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ เหตุผลที่ผู้สูงอายุ จำได้เฉพาะเรื่องเก่าๆ แต่เรื่องใหม่จำไม่ได้ เพราะประสาทการรับรู้ที่เกี่ยวข้องกับความจำ และเส้นประสาทสมองคู่นี้มันเชื่อมต่อกับอวัยวะข้างในด้วย"
ยาชั้นดี อยู่ที่ตัวเรา
อย่างไรก็ตาม เมื่อคุยเรื่องเส้นประสาทสมอง อาจารย์สมพร บอกว่า เวลาคนไข้เป็นมะเร็งและปวด หมอจะตัดเส้นประสาทสมองคู่ที่ 10 เพราะคิดว่าตัดส่วนนี้แล้วจะหายปวด แต่ปรากฏว่า ทำให้อวัยวะข้างในทำงานผิดปกติหมด นี่คือเหตุผลการฝึกหายใจแบบกระบังลม เพราะศูนย์ควบคุมการหายใจอยู่ที่นี่ เพื่อให้ยาต้านอนุมูลอิสระนาฬิกาชีวิตของเรา และนาฬิกาชีวิตตัวนี้จะใช้สารเคมีที่เราฝึก เพื่อใช้เป็นยาให้ตัวเรา ทำไมคนฝึกพวกนี้หน้าตาใส และอายุยืน เพราะนาฬิกาถูกไขลาน คนที่เป็นมะเร็งจะเริ่มที่อายุ 30 หรือ 40 แล้วเพราะนาฬิกาชีวิตชำรุด วิธีการไม่ให้ชำรุดจะต้องไขลานบ่อยๆ ซึ่งวิธีการทำสมาธิ คือการไขลานเพื่อยืดอายุนาฬิกาชีวิต
"ถ้าหายใจธรรมดาไม่ต้องใช้แรงเยอะ แต่ถ้าเมื่อไหร่ต้องการฝึกศูนย์หายใจทั้งหมด ต้องออกแรง เหตุผลที่พาฝึกทำสมาธิ ตั้งแต่คอมาถึงก้นกบ คือเซลประสาท ในร่างกายของเราทำงานด้วยไฟและสารเคมีในร่างกาย คนเป็นไขมันสูง ถ้ากินยาลดไขมัน มันไม่ลดหรอก หมอแค่ให้ยาขยายเส้นเลือดและขับปัสสาวะ จริงๆ ไม่ใช่ยารักษา แต่การให้ยา เพื่อให้ท่อเส้นเลือดไม่ตัน "
อาจารย์สมพร บอกว่า ด้วยกลไกของร่างกาย เรามียาอยู่ในตัวที่จะใช้เยียวยา อย่างคนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ก็ต้องกินยาไปตลอดชีวิต ถ้าเราจะรักษาตัวเอง เราจะใช้กลไกตัวนี้รักษา ต้องฝึกให้ไขสันหลังผสานกับลมหายใจ สารที่หลั่งออกมาตัวนี้ พระเรียกว่า ยุบหนอ พองหนอคือ ตัวสติ เพื่อทำให้ของเสียในร่างกายออกไป แต่ถ้าหายใจไม่ถูก ตัวนี้ไม่เกิดไม่มีของเสียออก จึงเกิดอาการไม่สบาย เมื่อย เพลีย เพราะมีของเสียเยอะก็มีเชื้อโรค
"นี่คือ เหตุผลว่าทำไมต้องทำสมาธิ ทุกอย่างเป็นเรื่องส่วนตัว ทำแทนไมได้ เกิดขึ้นได้เฉพาะตัว เมื่อปฎิบัติแล้วถึงจะรู้แจ้ง เป็นวิธีที่ทำให้เซลในร่างกายเกิดคลายและหด"







