พรเทพ เบญญาอภิกุล มองผ่านกรอบทฤษฎีเกม

สัมผัสมุมมองของนักวิชาการรุ่นใหม่ ในการนำความรู้และงานวิจัยมาใช้เพื่อประโยชน์ของประเทศ
เขาเป็นนักวิชาการหนุ่มที่สร้างความฮือฮาในการนำเสนอผลงานวิจัยเรื่องการประมูล 3G และผลงานวิจัยชิ้นอื่นๆ ซึ่งรวมถึงการออกมาวิพากษ์วิจารณ์บทบาทหน้าที่ของ กสทช. กับการใช้งบประมาณ โดยเปรียบเทียบกับหน่วยงานลักษณะเดียวกันของประเทศอื่นๆ มาแล้ว
ปัจจุบัน พรเทพ เบญญาอภิกุล ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองคณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขาเป็นศิษย์เก่าจากรั้วเหลืองแดง ทั้งในระดับปริญญาตรีและโท ก่อนจะไปศึกษาต่อจนจบปริญญาเอก ทางด้านเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ เมื่อ 3 ปีก่อน
นอกจากงานสอนหนังสือ ตามที่เจ้าตัวเชี่ยวชาญในเรื่องทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จุลภาค การทำงานวิจัยเพื่อบริการสังคมก็นับเป็นอีกบทบาทหน้าที่หนึ่งที่น่าติดตามของเขา
"ผมสนใจเรื่องการแข่งขันทางการค้า ที่ผ่านมาเรา ร่วมกับนักวิจัยอีกท่านหนึ่ง อาจารย์วรรณวิภางค์ มานะโชติพงษ์ ทำเรื่องโรงพยาบาล เรื่องโรงหนัง แล้วก็ทำเรื่องอุตสาหกรรมไข่ไก่ ซึ่งอันหลังนี้ก็กำลังทำอยู่ อีกอันหนึ่ง คือเรื่องประเด็นความเหลื่อมล้ำของเมืองไทย หัวหน้าโครงการคืออาจารย์อารยะ (ปรีชาเมตตา) เป็นประเด็นที่สนใจ"
แต่ในเมื่อประเด็นเรื่องทีวีดิจิตอล ยังเป็นเรื่องร้อนๆ ในสังคมไทยเวลานี้ "จุดประกาย" จึงนัดพบกับเขา เพื่อสนทนาพูดคุยและหาแง่มุมน่าสนใจมานำเสนอ
คุณประยุกต์สิ่งที่ร่ำเรียนมา เช่นเรื่องของทฤษฎีเกม มาใช้ในการวิจัยอย่างไร
จริงๆ แล้ว อย่างเรื่องการประมูล 3G สมัยที่ผมเรียนอยู่ที่อ็อกซ์ฟอร์ด อาจารย์ที่ผมได้เรียนด้วยและได้ทำงานด้วย ท่านมีชื่อเสียงทางด้านการประมูล ผมเรียนรู้อะไรจากเขามาเยอะ พอกลับมาเมืองไทย ก็มีการประมูล 3G พอดี แล้วพอได้คุยกับเพื่อนๆ ว่าเรามีความคิดอย่างโน้นอย่างนี้ เพื่อนก็บอกว่าลองเขียนดูสิ เพราะถ้าเราแค่คุย เราก็จะอยู่แต่ในแวดวงวิชาการ ผมเลยเขียนงานคล้ายๆ วิพากษ์วิจารณ์การประมูลของ 3G ไป นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่มีคนชวนให้ไปขอทุนที่ สกว.
เราทำเรื่องนี้ เพราะว่า กสทช. เป็นองค์กรสำคัญ ดูเรื่องทั้งโทรคมนาคม เรื่อง broadcasting เรื่องโทรทัศน์ ก็จะมีนโยบายมาเพิ่ม เพราะมันเพิ่งเริ่ม จะมีนโยบายตามมาอีกเยอะ ทั้งประมูล 3G ประมูลทีวี ประมูล 4G อะไรอย่างนี้มาเรื่อยๆ ซึ่งมันจะมีประเด็นเกี่ยวกับการแข่งขันที่ผมสนใจ แล้วเรื่องการประมูล ก็มีประเด็นทางเศรษฐศาสตร์เยอะ เราคิดว่า ถ้าทำเรา ก็น่าจะได้ประโยชน์
พอจะขยายความเรื่องของทฤษฎีเกม ถือเป็นทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ประยุกต์ ?
ใช่ครับ มันเป็นทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ แล้วเราสามารถเอามาประยุกต์ใช้กับประเด็นทางสังคมได้หลายอัน คือตัวทฤษฎีเกม มันเป็นทฤษฎีทางคณิตศาสตร์เลย เป็นทฤษฎีที่ว่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล แบบแรงจูงใจที่ทำให้ทำไมคนต้องมีพฤติกรรมแบบนี้ อธิบายในทางเศรษฐศาสตร์ แต่เราเอาอันนี้มาประยุกต์ เราดูแรงจูงใจขององค์กร แรงจูงใจของผู้ผลิต แรงจูงใจของผู้กำกับดูแล แรงจูงใจของผู้บริโภค แล้วอธิบายว่าทำไมเขาถึงมีพฤติกรรมแบบนั้น
อย่างเช่นเรื่องการประมูล จริงแล้ว เราดูว่าการออกแบบการประมูลเป็นเกมแบบหนึ่ง มันเป็นการออกแบบเกมให้ผู้เล่นมาเล่น ใช่ไหมครับ แล้วคนประมูลก็เป็นผู้เล่น ที่อยู่ภายใต้กติกาของเกม แล้วเขาต้องทำอย่างไรก็ตาม ภายใต้กติกานี้ เขาจะต้องประมูลอย่างไรให้ได้ผลประโยชน์สูงสุด ให้เขาชนะ อะไรอย่างนี้แหละครับ
คนจัดการประมูล คือผู้กำหนดกติกา คือ regulator ในแง่นี้ย่อมจะคาบเกี่ยวกับเรื่องของกฎหมายด้วย ?
ใช่ครับ มันหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย เพราะกฎหมายก็เป็นรูปแบบกติกาทางสังคม ในส่วนของนักเศรษฐศาสตร์จะมาดูว่าการวางกติกาแบบนี้ การวางกฎแบบนี้ มันนำไปสู่พฤติกรรมอะไร อย่างไร การวางกติกาแบบนี้ทำให้เกิดการแข่งขันหรือเปล่า มีแรงจูงใจที่จะแข่งขันกัน ประมูลกันหรือเปล่า
สิ่งที่ศึกษามา เป็นการพูดตามข้อเท็จจริง หรือผนวกสิ่งที่เป็นอัตวิสัยเข้าไปด้วย
ส่วนใหญ่ ถ้าเป็นมุมมองทางวิชาการจริงๆ ต้องเป็นไปตามหลักวิชา เป็นไปตามข้อมูลอยู่แล้ว ลักษณะการทำงานอย่างโครงการ NBTC Policy Watch ของผม ส่วนใหญ่จะดูสิ่งที่เขาเรียกว่า Best Practice ของประเทศอื่น ซึ่งอันนี้เป็นข้อมูลที่เราเก็บมา แล้วเราก็ร่วมกันวิเคราะห์กฎเกณฑ์ที่ผู้กำกับดูแลตั้งมา ดูว่ามันจะส่งผลอย่างไร ในกลุ่มตัวอย่างของประเทศอื่น แล้วสิ่งที่มันควรจะเป็น มันน่าจะเป็นอย่างไร จริงๆ วิเคราะห์ได้ ทั้งในเรื่องของโทรคมนาคมและเรื่องของโทรทัศน์วิทยุ
ผมไม่ได้มองว่า การประมูลเป็นปัญหาในตัวของมันเอง ผมกลับมองเห็นว่า การประมูลเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดของประเทศไทยด้วยซ้ำ แต่ปัญหาอาจจะอยู่ที่วิธีการออกแบบการประมูล ทำอย่างไรให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดต่อสังคม ผมคิดว่าอันนี้เป็นส่วนของผู้กำกับดูแลที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งเลย
ในส่วนของโครงการ หรือในส่วนของนักวิจัย เราทำได้แค่การให้เหตุผลทางวิชาการ ซึ่งการให้เหตุผลก็ไม่ได้มี bias อะไร ส่วนใหญ่เป็นเหตุผลทางวิชาการ
กสทช. ถือเป็นหน่วยงานใหม่ ซึ่งเป็นที่คาดหวังของสังคม ในเรื่องภาระหน้าที่ บทบาทและความชัดเจนในเรื่องต่างๆ คุณคิดว่าสังคมต้องรอหรือให้โอกาสแค่ไหน
ต้องบอกก่อนว่า ความสำคัญของ กสทช. สำคัญมากจริงๆ เพราะว่าดูแลทั้งในส่วนที่เป็นโทรคมนาคม ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ เรื่องอินเตอร์เน็ต เรื่องโทรศัพท์ ซึ่งกระทบกับทุกๆคน
ในอีกเรื่องหนึ่งก็ดูเรื่องการกระจายเสียง เรื่องทีวี ซึ่งมันเป็นพื้นที่ทางวัฒนธรรม เราจะปิด เราจะเปิด เราจะให้โอกาสแสดงความเห็น เราจะเซ็นเซอร์จะอะไรต่างๆ กสทช. ก็มีบทบาทตรงนี้เยอะ ความสำคัญ0เยอะ
แล้วในอีกด้านหนึ่ง กสทช. ก็เป็นองค์กรหนึ่งที่มีงบประมาณเยอะ เพราะไม่ต้องไปตั้งของบประมาณจากสภา เก็บค่าใบอนุญาตต่างๆ บิลเป็นพันๆ ล้าน ตั้งงบประมาณได้เอง ออกกฎเกณฑ์เองได้ เพราะฉะนั้น ถ้าพูดกันง่ายๆ เท่ากับมีอำนาจ 3 อย่าง บริหาร นิติบัญญัติ แล้วก็ตัดสินได้ด้วยว่าจะลงโทษใคร ให้คุณให้โทษใคร เพราะฉะนั้น การออกแบบกลไกของสถาบันที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ แล้วมีอำนาจมากขนาดนี้ จริงๆ แล้วมันจะต้องมีการ balance อำนาจให้ดีๆ ซึ่งอันนี้ โครงการ NBTC Policy Watch ก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำหน้าที่ตรงนี้
ส่วนที่ถามว่าสังคมจะต้องรอถึงแค่ไหน อะไรอย่างนี้ คือผมคิดว่า ประเด็น กสทช. ประเด็นการสื่อสารพวกนี้เป็นประเด็นที่ค่อนข้างยาก แล้วสังคมก็ควรจะต้องตรวจสอบ คือมันไม่มีองค์กรไหนที่จะแบบออกมาแล้วดี หรือองค์กรที่ดีแล้วอยู่ไปเรื่อยๆ มันอาจจะไม่ดี เพราะฉะนั้น มันจะต้องมีเหมือนกับกระบวนการที่ตรวจสอบ ถ่วงดุลกันไปตลอดเวลา ไม่มีว่า พอถึงจุดๆ หนึ่งแล้วมันก็จะเป็นอย่างนี้
จากการศึกษาที่ผ่านมา คุณได้เห็นปัญหาอื่นๆ เพิ่มตามมา มากกว่าตัวขอบเขตของการศึกษาหรือไม่
คือประเด็นแต่ละประเด็นที่เราศึกษา ทำให้เราเข้าใจภาพใหญ่ของกระบวนการกำกับดูแล แล้วก็ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ โครงสร้างความสำคัญทางการเมืองของหน่วยงานกำกับดูแลในประเทศไทย ช่วยทำให้เราเข้าใจ context ของเมืองไทยมากขึ้น
ตอนที่ผมเรียนจบกลับมา เนื่องจากเราถูก train ในต่างประเทศ มีความคิดขององค์กรกำกับดูแลอีกแบบหนึ่ง พอมาเจอแล้ว โห ! มันต่างจากสิ่งที่เราคุ้นเคยที่เราเห็น คือเมืองไทยโชคดีที่มี กสทช.นะครับ นั่นเรื่องหนึ่งก่อน แต่ต้องพยายามให้มันดี คือการออกแบบกลไกว่า มีหน่วยงานกำกับดูแลที่เป็นอิสระ มันถูกต้องอยู่แล้ว แต่มันต้องออกแบบให้ดีขึ้น...
คือตอนนี้เขาก็มีการพูดกันอยู่ เรื่องการปฏิรูปหน่วยงานกำกับดูแลของ กสทช. ซึ่ง กสทช. เองก็ออกมาพูดเหมือนกัน ทางภาคประชาสังคมด้วย ก็มาเรียกร้องเหมือนกัน ตอนนี้ที่ประมูล 4G เลื่อนออกไป ภายใต้เงื่อนไขให้ไปออกแบบการประมูลอะไรให้ดีขึ้น ซึ่งจริงๆแล้ว ถึงแม้ว่ามันจะมีความเสียหายในการเลื่อนประมูล 4G ออกไป ไหนๆ มันเลื่อนไปแล้ว ก็ควรจะต้องมองอันนี้ให้เป็นโอกาส แบบที่ทางภาคสังคมต้องเข้ามา
โดยส่วนตัว ผมอาจจะไม่เห็นด้วยในการเลื่อน คือตอน 3G ก็รีบประมูลกัน บอกว่าถ้าเลื่อนไป ประเทศเสียหายอย่างโน้นอย่างนี้ ผมเห็นด้วยทุกอย่าง ผมรู้สึกว่าแค่การออกแบบกฎการประมูลมีปัญหา ส่วน 4G เนี่ย ผมรู้สึกว่า ถ้าประมูลได้เร็วมันก็ดี เพราะว่าเทคโนโลยีมันก็มีอยู่ แล้วประชาชนก็ได้ประโยชน์ คลื่นที่มันใช้อยู่ก็ได้มีการจัดสรรให้มันดีขึ้น
แต่ไหนๆ มันก็ถูกเลื่อนมาแล้ว เราควรจะใช้โอกาสนี้ในการปรับปรุง กระบวนการป้องกันหรือโครงสร้างขององค์กรให้เหมาะสม แต่ว่าตอนนี้ได้ยินข่าวว่า จะไม่ให้มีการประมูลแล้ว จะมาใช้วิธีแบบ contest ประกวดนางงามเลย ซึ่งผมก็รู้สึกว่าแทนที่มันจะก้าวหน้า มันจะถอยหลังหรือเปล่า คือเป็นเรื่องที่ทางโครงการจับตาดู แล้วก็เป็นห่วงอยู่
ในส่วนของทีวีดิจิตอล คุณมองเห็นหายนะตั้งแต่เริ่มต้นการประมูลเลยไหม ด้วยราคาประมูลที่สูงเกินคาดหมาย
ถามว่ามันจะเป็นหายนะไหม ผมไม่ได้รู้สึก ปัญหาของการประมูลทีวีดิจิตอล มันออกกฎเกณฑ์มาแล้วใช่ไหมครับ ผู้ประกอบการเขายินดีจะจ่ายเงิน เท่าไหร่ก็แล้วแต่กติกา อย่างที่บอกว่า กติกามันกำหนดพฤติกรรม
กติกาคือว่า จะต้องมีการ transition จาก analog ไปสู่ digital ภายใน 2-3 ปี มีการแจกคูปองภายในไม่กี่เดือนหลังจากนั้น คูปองมูลค่าเท่านี้ ด้วยภาพแบบนี้ ผู้ประกอบการเขาก็รู้ว่าเขายินดีจะจ่ายเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น ประมูลราคาสูง มันก็ภายใต้เงื่อนไขนี้
พอหลังจากการประมูลออกมาแล้ว เงื่อนไขที่มันถูกวาดภาพให้เห็น มันกลับไม่เป็นแบบนั้น คูปองถูกเลื่อนออกไป ตอนแรกเถียงกันเรื่องราคาเท่าไหร่ดี ตอนนี้ผมว่ามันเลทมานานมากแล้ว เลทมาหลายเดือนมาก ในมุมของผู้ประกอบการ คือลูกค้าที่เขาคิดว่าจะได้ขนาดใหญ่ มันก็เหลือขนาดเล็กลง เพราะฉะนั้น รายได้ก็ลดลง มันหายไป หายนะก็อยู่ตรงนี้แหละครับ
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องการแข่งขันที่จะต้องเพิ่มขึ้น มีปัญหาเรื่องบางบริษัทไม่อยากจะย้าย (หัวเราะ) มันมีปัญหาพวกนี้อยู่ ซึ่งน่าเห็นใจผู้ประกอบการ เพราะว่าเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้คาดการณ์ คือลำพังแค่ประมูลด้วยเงินสูงๆ เขาก็เห็นว่า โอเค มันพอมีทิศทาง แค่นี้ มันก็เหนื่อยแล้ว แต่พอต้องมาเจอปัญหาว่าการเปลี่ยนผ่านจะช้าลงอีก มันยิ่งทำให้เป็นหายนะอย่างที่บอก
แต่ในภาพรวม พัฒนาการของอุตสาหกรรมทีวีจะสร้างผลประโยชน์ให้แก่ประเทศมากพอสมควร มันไม่ใช่แค่อุตสาหกรรมทีวีที่มีมูลค่าประมาณแปดหมื่นล้าน(บาท) มันยังมีการศึกษาหลายชิ้น คือจริงๆ มันมีวงกว้างมากกว่านั้น อันนี้คือผลทางตรง แต่ยังจะมีผลทางอ้อมของธุรกิจที่มาเกี่ยวเนื่อง ซึ่งถ้าพัฒนาการของอุตสาหกรรมเป็นไปด้วยดี มันจะเป็นโอกาสหลายๆ อย่างทางด้านเศรษฐกิจ ยังไม่ต้องพูดถึงด้านสังคม พอช่องทาง(ในการชมรายการ)มากขึ้น มันก็มีความหลากหลายเยอะขึ้น การแข่งขันจะมีโอกาสที่ดีขึ้น เป็นพื้นที่ที่ทำให้คนหลายๆ กลุ่มมาแสดงความเห็น ไม่ใช่แบบเมื่อก่อน มีอยู่ 4-5 ช่อง ไม่ค่อยมีพื้นที่ ต่อไปก็จะมีทีวีชุมชนให้เสียงคนส่วนน้อยได้เข้ามา เป็นประชาธิปไตยด้วย
คุณคิดว่าสถานการณ์จะไปถึงขั้นเลวร้ายดังที่หลายคนทำนายไว้ บางช่องอาจจะต้องขอคืนใบอนุญาต หรือนำไปสู่การฟ้องร้อง กสทช. เป็นคดีความที่จะยืดเยื้อ ในอีก 2-3 ปีนับจากนี้เราจะเห็นอะไร
ผมคิดมาตั้งแต่ต้นแล้วว่า มันเป็นไปได้ที่จะมีบางคนล้มหายตายจากไป มันคงเป็นไปตามกฎของธุรกิจ ตอนประมูลย่อมจะมีคนคาดการณ์ถูก คาดการณ์ผิด อันนี้จะไปโทษ กสทช. ได้ไม่ทั้งหมด
แต่มันมีส่วนที่ กสทช.จะถูกตำหนิด้วย อย่างที่ผมบอก คือเรื่องของการทำคูปองที่ล่าช้า กลไกการกำกับดูแล ที่สุดท้ายแล้ว มีการบังคับ transition ได้ไม่เต็มที่
เป็นไปได้นะครับที่จะมีผู้ประกอบการที่ล้มหายตายจากไป เป็นไปตามการแข่งขัน แต่ถ้ามองในอีกแง่หนึ่ง คือผู้ที่ล้มหายตายจากไป เขาอาจจะไม่ได้มีความชำนาญมากพอ แต่นั่นเป็นส่วนหนึ่ง ยังมีปัจจัยอื่นๆ ด้วย แต่อย่างที่บอกครับ มันก็มีส่วนของผู้ที่ทำหน้าที่กำกับดูแล
อยากให้เล่าถึงจุดเริ่มต้นของ NBTC Policy Watch
ตอนแรกสุด ผมกลับมาจากต่างประเทศใหม่ๆ ก็มาเขียนบทความ แล้วคุยกับเพื่อนๆ ให้ความเห็นเรื่องการประมูล เขาก็เห็นว่าน่าจะเขียนบทความ พอได้เขียนบทความประมาณ 2-3 ชิ้น ช่วงนั้นเริ่มมีคนสนใจ มีคนมาสัมภาษณ์ จนกระทั่ง ท่านอาจารย์ คุณหมอสมศักดิ์ (ชุณหรัศมิ์) มาชวนทำโครงการอันนี้ ในร่มของ สสส. ก่อน พอทำไปสักพักหนึ่ง ก็ไปขอทุนของ สกว. เพราะว่าเป็นงานวิจัยทางด้านนโยบายสำหรับประเทศ ก็ร่วมกับอาจารย์วรพจน์ วงศ์กิจรุ่งเรือง ซึ่งอาจารย์วรพจน์ มีความเชี่ยวชาญทางด้านนโยบายสื่อ ส่วนใหญ่ ผมจะให้ความเห็นมุมมองทางด้านเศรษฐศาสตร์ แล้วอาจารย์วรพจน์ จะให้ความเห็นทางด้านสังคม ทางด้านสื่อ ในส่วนของเรื่องงานประมูล งาน 3G เรื่องการประกอบการธุรกิจก็เป็นโครงการระยะยาว ภายใต้ สกว.
หมายถึงจบงานเป็นเฟสๆ หรืออย่างไร
ใช่ครับ อยู่สกว.มาเกือบจะปีหนึ่งแล้ว ยังมีโครงการอื่นอีก ประมาณหนึ่งปี ขึ้นอยู่กับผลงานว่า ทาง สกว.จะให้ทำต่อหรือเปล่า ก็มีเป็น phase ไป ช่วงนี้ถือว่าสำคัญ เป็นช่วงปีแรกๆ ของ กสทช. เป็นช่วงของการวางกฎเกณฑ์ มีการใช้งบประมาณเยอะ ซึ่งเราก็ได้ดู ตัวผมเองก็ได้เขียนบทความเกี่ยวกับการวิเคราะห์การใช้จ่ายระหว่าง กสทช.
ตามที่คุณหยิบเอากรณีตัวอย่างของสหรัฐอเมริกาและอังกฤษมาเปรียบเทียบ ?
ใช่ครับ ของเค้าไม่มีการบริจาคเลย แต่ของ กสทช.นี่ยอดใช้เงินสูงสุดคือการบริจาค
ซึ่งไม่ใช่หน้าที่ของ กสทช.เลย ?
(รายจ่ายสูงสุดอันดับสอง) เอาไปดูงานเมืองนอก เอาไปโฆษณาประชาสัมพันธ์ ผมก็เอามาเปรียบเทียบดู ซึ่งงานของเราก็มี impact กับสังคมพอสมควร เราค่อนข้างดีใจ ถือว่าเป็นงานที่สร้าง contribution พอสมควร ซึ่งเราก็ภูมิใจ
นอกเหนือจากทฤษฎีเกมที่นำใช้ในการวิเคราะห์การประมูล การใช้ทฤษฎีเกมในเรื่องอื่นๆ ?
อย่างเช่นศึกษาเรื่องการแข่งขันทางการค้า ดูพฤติกรรมว่าถ้าอุตสาหกรรมหนึ่งมีผู้ให้บริการอยู่น้อยราย 2 ราย 3 ราย 4 ผายเนี่ย เขาคงไม่ได้แข่งขันกันแบบเต็มที่ใช่ไหม ถ้าเกิดเขาพูดคุยกันได้ เขาก็อยากจะพูดคุยกัน อันนี้นะครับ แล้วก็ทฤษฎีเกม มันศึกษาปัจจัยสภาพแวดล้อม ปัจจัยทางด้านสถาบันต่างๆ แล้วดูว่า ผู้เล่นมีพฤติกรรมอย่างไร
รูปแบบของการรวมตัวเป็นสมาคมก็เป็นส่วนหนึ่ง ?
แน่นอนครับ การรวมตัว การเจรจาต่อรองผลประโยชน์ การกระจายผลประโยชน์ในกลุ่มก็เป็นทฤษฎีเกมทั้งนั้น แม้กระทั่งการสื่อสารกัน แบบส่งสัญญาณ ไม่ได้บอกกันตรงๆ แต่ว่าส่งสัญญาณ คือบริษัทบางบริษัท กฎหมายบางทีห้ามคุยกันชัดเจน ว่าจะขึ้นราคาอย่างนี้ ก็อาจจะต้องส่งสัญญาณกัน วิธีการอ่านสัญญาณ ว่าสัญญาณแบบนี้มันเป็นพฤติกรรมอะไร อย่างไร ทฤษฎีเกมจะเป็นในลักษณะนั้น
เรื่องความสนใจจะเป็นสหวิทยาการ แต่ว่าเครื่องมือส่วนใหญ่ เป็นคณิตศาสตร์กับเศรษฐศาสตร์ อย่างผม การวิจัยล่าสุด มีส่วนหนึ่งที่ทำกับ สกว. เหมือนกัน คือศึกษาเรื่อง “การไม่เท่าเทียมกันเชิงพื้นที่” คือเราดูว่าพัฒนาการของประเทศไทย มันมีความไม่เท่าเทียมอยู่ในเมือง ชนบท ซึ่งไอ้ความไม่เท่าเทียมกันนี้จริงๆ มันมีมาตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นแล้ว ในกรุงเทพฯ ในต่างจังหวัด ในเมืองที่มีการค้าเยอะๆ กับนอกเมือง อะไรอย่างนี้ ซึ่งจริงๆ ผมก็เอาทฤษฎีเกมนี่แหละ มาช่วยศึกษาอธิบายว่า ทำไมเขตเมือง ถึงมีความไม่เท่าเทียมกันสูงกว่าในชนบท ตั้งแต่สมัยก่อนที่จะมีสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง ตั้งแต่ในอดีต อันนี้เป็นตัวอย่างในการประยุกต์ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์มาตอบคำถามหลายๆ เรื่อง คำถามด้านการเมือง คำถามทางด้านสังคม ทางด้านเศรษฐกิจ หลายๆ ทาง
คุณศึกษาเรื่องการประมูลของ กสทช. ไปแล้ว แล้วถ้าเกิดมองกลับไปยังผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจทีวีดิจิตอล ตัวนี้ใช้ทฤษฎีเกมมาศึกษาได้เช่นเดียวกัน ?
ได้ครับ คือจริงๆ เรามองกลับไปนะครับว่า เพราะอะไรคนถึงสนใจที่จะเข้ามาประมูลทีวีดิจิตอลเสียเยอะ เขาเห็นว่าตลาดเป็นตลาดที่จะขยายตัวได้ในอนาคต แล้วก็จะดูว่าบางบริษัทมีคอนเทนท์แล็บของตัวเองอยู่แล้ว เขาก็มีความยินดีที่จะจ่าย มีความเต็มใจที่จะจ่าย
ทีนี้เราก็มาวิเคราะห์ ได้ดูการแข่งขัน ราคาประมูลที่สูง ถ้าเกิดว่าเราเปรียบเทียบนะครับ ประมูล 3G กับประมูลทีวีดิจิตอล เราจะเห็นชัดเลย คือ 3G กิจการโทรคมนาคม มูลค่าตลาดที่ประเมินมา สูงกว่าทีวี แต่มูลค่าการประมูลต่ำกว่าทีวีดิจิตอล ซึ่งสาเหตุมันเกิดจากอะไร คือถ้าเกิดว่า การแข่งขันมันเท่ากัน ราคาของ 3G มันต้องสูงกว่า เพราะว่ามันมีโอกาสทำกำไรได้มากกว่า แล้วเขาก็ต้องแข่งขันกันสู้ราคา
คำตอบคือการประมูล 3G มีการแข่งขันไม่เท่ากัน ?
ไม่เท่ากันครับ มันอยู่ที่การออกแบบ พอออกแบบให้การประมูลมีผู้เล่น 3 คน ผู้เล่นเท่ากับสินค้า มันก็ไม่มีการแข่งขัน คือเขาจ่ายที่ราคาตั้งต้นเลย เขาก็ได้ของแล้ว แต่อันนี้มีคนสนใจเข้ามาเยอะ พอการแข่งขันมันเยอะ คนเขาก็แข่งขันกัน มันก็ต้องมีคนหลุดออกไป ราคามันก็สูง จริงๆ การวิเคราะห์มันใช้คือเวลา ผมพูดมันก็เหมือนกับเป็น common sense แต่จริงๆมันก็มีทฤษฎีมารองรับ ก็คือเกม ก็คือการ apply
คุณตระหนักถึงเสรีภาพทางวิชาการแค่ไหน อย่างไร เช่นในบางครั้งที่มีปฏิกิริยาตามมา จากผลงานวิจัยที่คุณนำเสนอ
ตระหนักถึงตลอดนะครับ คือสิ่งที่สำคัญที่สุดของนักวิชาการ คือการมีเสรีภาพตามหลักวิชาการ การซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ทางวิชาการของตัวเอง ถ้าเกิดจะให้เลือกหน้าที่หนึ่งเดียว ก็คือหน้าที่ในการมีเสรีภาพในงานวิชาการ แล้วก็ซื่อสัตย์ต่องานวิชาการของตัวเอง
ที่ผ่านมา ผมยืนยันนะครับว่า ทำด้วยการปราศจากอคติ งานวิชาการทุกอย่างก็เปิดเผยต่อสาธารณะ ทุกคนเข้ามาตรวจสอบได้ มีวิธีการที่ชัดเจน มีหลักการการทำที่ชัดเจน เพราะฉะนั้น นี่เป็นความซื่อสัตย์ทางการวิชาการอย่างหนึ่ง แต่เรื่องการโต้เถียง การโต้แย้ง อย่างเช่น ผมถูก กสทช.โต้แย้งมา ผมไม่ได้ถือว่าเป็นปัญหา เพราะว่านักวิชาการทำงานด้านวิชาการต้องยอมรับคำวิพากษ์วิจารณ์อยู่แล้ว แต่การวิพากษ์วิจารณ์นั้น ต้องเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ทางวิชาการเหมือนกัน ไม่ใช่การให้ร้าย เสียดสี ป้ายสี หรือว่าเป็นการดิสเครดิตโดยที่ไม่ได้มีงานวิชาการอะไรมาโต้แย้งหักล้าง
จริงๆ มันเป็นเรื่องน่าเสียดาย จริงๆ แล้วบรรยากาศการถกเถียงทางวิชาการเป็นสิ่งที่ผมยินดีรับอยู่แล้ว ผมดีใจมากที่ กสทช. หันมาสนใจงานของโครงการ หยิบขึ้นมาด่าก็รู้สึกว่าโอเค อย่างน้อยเขาหันมาสนใจ มาโต้เถียงก็แปลว่า เริ่มที่จะสนใจ แล้วถ้าการถกเถียงเป็นไปในทางวิชาการ เป็นไปด้วยความสุภาพ เป็นไปด้วยการให้เกียรติซึ่งกันและกัน แล้วก็มีหลักฐานทางวิชาการมาสนับสนุน ผมจะยินดีมาก
แต่ก็โชคดีนะครับในส่วนตัว คือว่าทั้งคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แล้วก็ สกว. ผู้ให้ทุน ให้อิสระผมเต็มที่ แล้วก็ผมไม่ถูกแทรกแซงใดใดทั้งสิ้นจากองค์กร ซึ่งผมก็ทำงานด้วยความสบายใจ
ภายใต้บรรยากาศของ คสช. แบบนี้ ไม่ได้ทำให้คุณอึดอัดใช่ไหม
(หัวเราะก่อนจะตอบว่า) ก็ไม่กระทบกับงาน
เรื่องการจัดสมดุลระหว่างงานสอนกับงานวิจัย ?
ที่ธรรมศาสตร์ ผมก็มีภาระงานสอนนะครับ เทอมนี้ 2 วิชาต่อสัปดาห์ ซึ่งก็กินเวลาประมาณ 2 วัน ก็มีเวลาเตรียมการสอน แบ่งเวลาทำการสอนไปตามปกติ
งานวิชาการทำอยู่ 2-3 ชิ้น เพราะฉะนั้น เวลาที่ทำงานส่วนใหญ่ บางทีก็เป็นเสาร์อาทิตย์ บางทีเป็นวันที่ได้สอนก็ต้องแบ่ง แบ่งว่าวันก่อนสอนอาจจะทบทวนวิชาที่คุณจะสอน แล้ววันอื่นๆ ที่ห่างวันสอนไปหน่อยอย่างนี้ ก็แบ่งเวลามาทำงานวิจัย ซึ่งพอทำหลายๆ ชิ้น มันก็ต้องใช้วิธีการบริหารเวลาที่มีประสิทธิภาพพอสมควร
ตอนนี้ ผมทำงานบริหารด้วย ในตำแหน่งรองคณบดี ฝ่ายวางแผนและพัฒนา ส่วนใหญ่ก็ดูแผนระยะยาวของคณะ อัตรากำลังเรื่องของการบริหารระหว่างรังสิตกับท่าพระจันทร์ ดูว่าจำนวนอาจารย์ในคณะในอนาคตว่าแต่ละสาขาเป็นเท่าไหร่ อะไร อย่างไร ดูว่าการเรียนการสอนจะทำอย่างไร ให้อาจารย์ผลิตงานวิชาการมากขึ้น พัฒนาการเรียนมากขึ้น มองแผนในระยะยาว โดยรวมก็มีงาน 3 ส่วน บริหาร สอน แล้วก็วิจัย ซึ่งกินเวลาเกือบทั้งหมด
บุคคลต้นแบบให้คุณสนใจมาทำงานด้านนี้ ?
จริงๆ ก็ไม่ได้มีต้นแบบชัดเจน ถ้าถามตอนนี้ ผมก็นึกไม่ออก แต่คือมันเริ่มจากว่าพอผมเรียนหนังสือ คือทางด้านเศรษฐศาสตร์ มีอาจารย์แบบที่สอนแล้วค่อนข้าง inspire หลายท่าน ตอนสมัยเป็นนักเรียน ก็เคยได้เรียนกับอาจารย์รังสรรค์ (ธนะพรพันธุ์) เคยได้อ่านงานของอาจารย์ป๋วย (อึ้งภากรณ์) อ่านประวัติชีวิตการทำงานของอาจารย์ป๋วย ซึ่งผมก็ไม่ได้ถือว่าแบบเป็นไอดอลอะไรอย่างนั้น แต่ผมก็รู้สึกว่าเออชีวิตทางวิชาการ มันก็มีความสุขไปอีกแบบนึง
คือผมเห็นอาจารย์ที่เขาทำงานวิชาการ สอน ได้เจอนักศึกษา ผมก็รู้สึกว่าบางทีผมก็อยากทำหน้าที่แบบนั้น คือการเป็นอาจารย์มันมีข้อดีตรงที่ว่า เราแบ่งเวลาของเราได้เอง คือผมไม่ต้องตื่นเช้าวันจันทร์เพื่อไปทำงาน ถ้าหากผมแบ่งเวลาได้ แล้วก็การได้เจอการได้สอนนักศึกษา การได้เจอเด็กๆ ทำให้ผมรู้สึกอ่อนลง ทำให้รู้สึก young ขึ้น ได้คุยกับเขา ได้สอนเขาได้พูด inspire เขา เหมือนที่เราเคยเจออาจารย์หลายๆ คน inspire มา
ผมว่าภาระหน้าที่การสอน มันเป็นอะไรที่ ถ้าตามภาษาอังกฤษ คือมัน rewarding มากๆ มันมีความสุขมากที่ได้ทำ ผมเป็นคนชอบเรียน แต่ผมไม่ได้เป็นคน “เนิร์ด” นะครับ (หัวเราะ) เป็นคนชอบศึกษา เป็นอาชีพที่ดี เป็นอาชีพที่คนจ้างเรา ให้เราได้พัฒนาตัวเอง
คำถามสุดท้าย คุณมองทิศทางการขับเคลื่อนของประเทศอย่างไร จากสิ่งที่เป็นอยู่ จากโครงสร้างพื้นฐานในเวลานี้
ช่วงนี้ เรามักจะได้ยินคำว่า “ประเทศไทยกำลังตกอยู่ในกับดักประเทศรายได้ปานกลาง”ภาษาอังกฤษคือ middle income trap คือเราพ้นจากประเทศยากจน มาเป็นประเทศรายได้ปานกลางอย่างรวดเร็ว แต่หลังจากนั้น การที่เราจะเพิ่มจากประเทศที่กำลังพัฒนาไปเป็นประเทศที่เจริญแล้ว มันยากเหลือเกิน เพราะที่ผ่านมา เราพัฒนาประเทศโดยการใช้ทรัพยากรที่หนักหน่วง ดึงทรัพยากรมาใช้ เรามีแรงงานราคาถูก เรามีทรัพยากรธรรมชาติเยอะ คือเราเอาพวกนี้มาใช้ โดยที่เราไม่ได้ปรับปรุงเทคนิค ไม่ได้พัฒนาเทคโนโลยี
ถ้าเราดูประเทศที่พัฒนาแล้ว ส่วนใหญ่จะมีการพัฒนาเทคโนโลยีที่ต่อเนื่อง คือเขาใช้ทุนกับใช้คนเหมือนเดิม ของเขาได้เยอะกว่าเรา เขาผลิตของได้เยอะกว่าเรา เพราะเขามีเทคโนโลยีที่ดีกว่า คือประเทศไทยสิ่งที่ผม concern ก็คือว่า ถ้าเกิดเรายังไม่ได้พัฒนาคุณภาพการศึกษา หรือว่าโครงสร้างเรื่องภาครัฐ การปราบปรามคอร์รัปชั่น หรือว่าการพัฒนาเทคโนโลยี ทางวิทยาศาสตร์อะไรพวกนี้ เราจะไปต่อจากนี้ยากขึ้น เพราะที่ผ่านมา เราถือว่าแรงงานมันถูก ผลิตแล้วขายได้ แต่ตอนนี้ค่าแรงของเราขึ้นแล้ว เราจะไปแข่งกับประเทศที่รายได้ค่าจ้างถูกไม่ได้แล้ว เราก็ต้องผลักดันตัวเองขึ้นมา
นี่เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก แล้วมันไม่ใช่เรื่องเศรษฐศาสตร์แล้ว มันเป็นเรื่องหลักกฎหมาย มันเป็นเรื่องการบริหารจัดการ การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น อะไรหลายอย่าง ก็มีประเด็นพวกนี้เป็นปัญหาพื้นฐานที่มีอยู่.







