"ภูฏาน" ฤาสวรรค์จะมีอยู่จริง

ถ้า "ความสุข" คือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนปรารถนา แล้วทำไมเราจึงยังโหยหา "ความสบาย" มากกว่า "ความสุข"
ภูฏาน (Bhutan) เป็นประเทศเดียวในโลกที่ใช้ "ความสุขมวลรวมประชาชาติ (GNH) เป็นดัชนีชี้วัดความก้าวหน้าและการพัฒนาประเทศ ในขณะที่ทั่วโลกเลือกใช้ "ผลผลิตมวลรวมประชาชาติ" (GDP) เป็นดัชนีชี้วัดในสิ่งเดียวกัน
แค่เพียงเรื่องเดียวก็สะท้อนให้เห็นถึง "ความต่าง" และก็ชวนให้คิดตามว่า ทำไมภูฏานจึงกลายมาเป็นประเทศที่น่าหลงใหลที่สุดในสายตาของนักเดินทางทั่วโลก
ฉันยืนอยู่บน "แผ่นดินมังกรสายฟ้า" ดินแดนที่ใครต่อใครปรารถนาจะมาเยือน แต่มากกว่าการทัศนาความงดงามของร่องรอยอารยธรรมที่เหลืออยู่และการเรียนรู้วิถีชีวิตของผู้คนที่พบเจอ การหากุญแจเพื่อไขข้อข้องใจว่าทำไมภูฏานจึงน่าหลงรัก ถือเป็นภารกิจหลักที่ฉันต้องทำให้ได้
.......................
อาจเพราะนโยบายด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาลภูฏานที่กำหนดให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศได้เพียงปีละ 20,000 คน ทำให้หลายคนคิดไปว่า ภูฏาน "เข้าถึงยาก" แต่ถ้าหากคุณเป็น 1 ใน 20,000 คนที่ได้เดินทางเข้ามาสัมผัสประเทศเล็กๆ แห่งนี้แล้ว คุณจะรู้สึกได้ในทันทีว่า "แชงกรี-ล่า"(สวรรค์บนดิน) ในตำนานนั้นมีอยู่จริง ที่สำคัญมันช่างง่ายงามและธรรมดาที่สุด
ราชอาณาจักรภูฏาน ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวในเขตเทือกเขาหิมาลัยซีกตะวันออก โดยอยู่กึ่งกลางระหว่างอินเดียกับจีน(ทิเบต) พื้นที่ของประเทศมีขนาดเล็กเท่ากับสวิสเซอร์แลนด์ แต่ประชากรน้อยกว่ามาก คือมีอยู่ราว 6 แสนกว่าคน ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธนิกายมหายานแบบตันตรยาน หรือวัชรยาน และนั่นก็ทำให้ภูฏานเป็นเพียงประเทศเดียวในโลกที่ยอมรับนับถือพุทธศาสนามหายานแบบตันตระเป็นศาสนาประจำชาติอย่างเป็นทางการ
ความศรัทธาในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา กอปรกับการบูชาบรรพบุรุษอย่างเคร่งครัด เหล่านี้คือเครื่องมือที่ช่วยตรึงให้ชาวภูฏานดำรงตนอยู่ในขนบประเพณีที่ดีงามเสมอมา
ฉันเดินทางเข้าประเทศภูฏานพร้อมกับทริป THE WISDOM Exclusive Experience : Royal Journey to Bhutan ในวันที่มีการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ 25 ปี ไทย-ภูฏาน พอดิบพอดี ซึ่งรัฐมนตรีกระทรวงการท่องเที่ยวภูฏานมอบข้อเสนอพิเศษให้กับนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางเข้าประเทศในช่วงวันที่ 1 มิถุนายน - 31 สิงหาคม 2557 โดยได้รับการงดเว้นค่าธรรมเนียมรายวัน การเสียภาษี นอกจากนี้ค่าตั๋วเครื่องบินของดรุ๊กแอร์ และที่พักยังลดราคาลงถึงครึ่งหนึ่ง ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด และฉันก็โชคดีที่สุดเช่นกัน
ดินแดนแห่งมังกรสายฟ้า ต้อนรับฉันด้วยอากาศเย็นๆ ท่ามกลางแสงแดดเจิดจ้า และท้องฟ้าสดใส การเดินทางเกือบ 4 ชั่วโมงจากเมืองไทยไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกเหนื่อยล้าเท่าไรนัก ในทางกลับกัน "ดินแดนแห่งความสุข" คือภาพฝันที่ทำให้ฉันกระปรี้กระเปร่าตลอดเวลา
ประเทศเล็กๆ ที่แวดล้อมไปด้วยขุนเขาสูงใหญ่มีสนามบินนานาชาติอยู่เพียงแห่งเดียว โดยตั้งอยู่ที่ เมืองพาโร เมืองเศรษฐกิจที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงเพียง 65 กิโลเมตร
แม้จะเป็นเมืองที่ค่อนข้างคึกคัก แต่ภาพแรกที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าภูฏานแตกต่างจากประเทศอื่นๆ นั่นคือ รูปแบบการแต่งกาย ชาวภูฏานทุกคนยังคงสวมใส่ชุดพื้นเมืองอยู่ในชีวิตประจำวันโดยไม่สนใจแฟชั่นจากโลกภายนอก ผู้หญิงที่สวมชุด "กีร่า" (Kira) ดูสง่างามและนุ่มนวลชวนฝัน ในขณะที่ชุด "โก" (Gho) ซึ่งดูละม้ายชุดกิโมโนของชาวญี่ปุ่นนั้น ผู้ชายภูฏานสวมแล้วดูทะมัดทะแมงและแข็งแรงเป็นที่สุด
เสื้อผ้าอาภรณ์ของชาวภูฏานยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่ชาวภูฏานผลิตเองกับมือ โดยส่วนใหญ่เป็นผ้าฝ้าย ซึ่งเอกลักษณ์ของผ้าในภูมิภาคต่างๆ ของภูฏานมีความแตกต่างกัน สมเด็จพระราชินีซังเก โชเดน วังชุก ราชินีองค์ที่ 4 แห่งราชวงค์วังชุก ในพระเจ้าจิกมี ซิงเก วังชุก กษัตริย์องค์ที่ 4 แห่งราชวงค์วังชุก จึงโปรดฯ ให้มีการสร้าง พิพิธภัณฑ์ผ้าทอ (Bhutan Textile Museum) ขึ้นในปี ค.ศ. 2001 เพื่อเป็นการอนุรักษ์และเผยแพร่ความสำคัญของผ้าพื้นเมืองภูฏาน โดยภายในจัดแสดงผ้าทอและชุดประจำชาติภูฏานในภูมิภาคต่างๆ ซึ่งผ้าส่วนใหญ่ได้มาจากเชื้อพระวงค์ภูฏาน
แน่นอนว่า ชาวภูฏานเองไม่เคยคิดที่จะละทิ้งมรดกทางวัฒนธรรมของตัวเองเพียงเพราะความเจริญทางวัตถุที่ก้าวเข้ามา ค่านิยมแห่งยุคสมัยบางเรื่องเป็นสิ่งดีงาม แต่บางเรื่องก็โหดร้ายเกินจะรับไหว นั่นทำให้ชาวภูฏานเลือกที่จะดำรงตนอยู่ในขนบที่น่ารักของตัวเองมากกว่ายอมศิโรราบให้กับความเปลี่ยนแปลง
"ประเทศภูฏานไม่ต้องการจะต่อต้านโลกภายนอกและศตวรรษที่ 21 เราต้องการความเจริญ แต่จะต้องไม่ใช่ด้วยการแลกกับการสูญเสียวัฒนธรรมประเพณีอันล้ำค่า เราต้องการประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ แต่ต้องด้วยจังหวะก้าวของเราเอง ด้วยความต้องการของเราเอง และเมื่อเราเห็นว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม" จากหนังสือ "ภาพสวรรค์ภูฏาน สมบัติล้ำค่าแห่งแดนมังกรสายฟ้า" พระนิพนธ์ในสมเด็จพระราชินีแห่งราชอาณาจักรภูฏาน อาชิ โดร์จี วังโม วังชุก แปลโดย รองศาสตราจารย์ ดร.อมร แสงมณี คือคำยืนยันอย่างดี
เมื่อสายลมพัดผ่าน ปะทะกับ "ป่าธงมนต์" ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่สูงทั่วประเทศ เมื่อนั้นพระธรรมคำสอนที่ชาวภูฏานเชื่อถือศรัทธาก็จะขจรขจายไปทั่วดินแดน
ภูฏานเป็นชนชาติหนึ่งที่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนามากที่สุดในโลก แม้จะเป็นพุทธมหายานแบบตันตรยาน ซึ่งมีหลักการปฏิบัติที่แตกต่างจากพุทธนิกายอื่นๆ แต่ก็มีความเชื่อพื้นฐานไม่ต่างกัน คือเชื่อว่ากรรมในอดีตเป็นตัวกำหนดชีวิตในชาติภพปัจจุบัน และเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้มนุษย์เวียนว่ายตายเกิด
แน่นอนว่า มนุษย์ทุกคนมีความปรารถนาที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ซึ่งตันตระเชื่อว่าการจะหลุดพ้นได้เราต้องเผชิญหน้ากับกิเลสทั้งปวงจนเกิดปัญญาและ "ความว่าง" หรือแนวคิด "สุญญตา" เสียก่อน ดังนั้นคำถามที่ว่า ทำไมพระมีเมียได้ ทำไมพระบริโภคเนื้อสัตว์สดๆ หรือทำไมจึงมีรูปเคารพที่เป็นภาพเสพสังวาสของพระกับสตรีเพศอยู่ในวัด จึงเป็นคำอธิบายของการปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นในนิพพานตามความเชื่อแบบตันตระ แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่า "ลามะ" หรือพระภูฏาน จะเลือกบรรลุด้วยการกระทำแบบนั้นทั้งหมด เพียงแต่ไม่ใช่เรื่องผิดบาปเท่านั้นเอง
ชาวภูฏานไม่ค่อยตั้งคำถามต่อศาสนา พวกเขารู้เพียงว่า เกิดมาเป็นชาวพุทธ ก็ต้องเรียนรู้และสืบทอดวัตรปฏิบัติแบบพุทธจากครอบครัวต่อไป
ศูนย์รวมแห่งจิตวิญญาณของชาวภูฏานอยู่ที่วัดเฉกเช่นชาวพุทธทั่วไป แต่วัดในประเทศนี้มักจะอยู่ในพื้นที่เดียวกับป้อมปราการ สำนักบริหารราชการเมือง สนามหลวง ที่พักสงฆ์ ห้องปฏิบัติธรรม อาคารสถานศึกษา ซึ่งรวมเรียกว่า "ซอง" (Dzong) โดยซองนี้จะมีอยู่ในทุกๆ เมืองใหญ่ และเป็นสถานที่สำคัญซึ่งบ่งบอกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันของชาวภูฏาน
อย่างที่บอกว่าซองมีความสำคัญและมีอยู่ในทุกเมืองใหญ่ เมืองพาโรก็มี พาโรซอง (Paro Dzong) หรือป้อมปราการแห่งอัญมณี เป็นสัญลักษณ์ของเมือง พาโรซองได้ชื่อว่าเป็นซองที่มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของภูฏาน ภายในมีศิลปะภาพวาดที่งดงาม เช่น ภาพวาดนิทานสี่สหาย เป็นภาพเขียนที่เล่าเรื่องราวของการอยู่ร่วมกันของสัตว์ 4 ชนิด คือ ช้าง ลิง นกยูง และกระต่าย เป็นสัญลักษณ์ของการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ส่วนที่ เมืองทิมพู (Thimpu) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรภูฏาน มี ทิมพูซอง หรือ ตาชิโช ซอง (Tashicho Dzong) เป็นป้อมปราการขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางเมือง ปัจจุบันแบ่งเป็นพระตำหนักฤดูร้อนในสมเด็จพระสังฆราช พระอารามหลวง สำนักงานพระราชวัง ทำเนียบรัฐบาล ห้องประชุมรัฐสภาแห่งชาติ และที่นี่ก็เป็น "ที่ทรงงาน" ของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก กษัตริย์องค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์ วังชุก โดยพระองค์จะเสด็จพระราชดำเนินมาทรงงานโดยใช้ทางม้าลายที่อยู่ด้านหน้าทิมพูซองทุกวัน ถือเป็นพระจริยวัตรที่เรียบง่ายและงดงามจริงๆ
เมื่อเข้ามาที่ทิมพูซองแล้ว สิ่งที่พลาดไม่ได้คือการเดินเข้าไปชมท้องพระโรงใหญ่ ภายในประดับจิตรกรรมฝาผนัง และผ้าพระบฏที่เล่าเรื่องราวในพุทธศาสนา สำหรับผู้สนใจศึกษาภาพพระบฏ(ทังกา) และงานจิตรกรรมทางศาสนา ภูฏานถือเป็นสวรรค์แห่งการเรียนรู้นั้นอย่างแท้จริง
สำหรับ ซิมโตคาซอง (Simtokha Dzong) ในเมืองทิมพู ถือเป็นซองแห่งแรกในประเทศภูฏาน ที่ซับดรุง นาวัง นัมเกล สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1629 ตรงกับรัชสมัยของกษัตริย์องค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์วังชุก (พระเจ้าจิกมี ดอร์จิ วังชุก) โปรดให้ดัดแปลงซิมโตคาซองแห่งนี้เป็นวิทยาลัยครูแห่งแรกในภูฏาน วันที่ 31 ตุลาคม 2556 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานผ้าพระกฐินทอดถวาย ณ ซิมโตคาซอง แห่งนี้ด้วย
ซองที่โดดเด่นและมักอยู่ในโปรแกรมการเดินทางเสมอนั่นคือ ปูนาคาซอง (Punakha Dzong) ที่ตั้งอยู่ใน เมืองปูนาคา (Punakha) ห่างจากเมืองหลวงไปทางเหนือราว 3 ชั่วโมง แต่ก่อนจะเดินทางไปถึงเราจะเห็น "โชร์เต็น" ซึ่งเป็นสถูปหรือเจดีย์กระจายอยู่ตามที่ต่างๆ รวมถึงธงมนต์ที่โบกสะบัดไปตามแรงลม และแน่นอน โดชูลาพาส (Dochula Pass) หรือช่องเขาศิลา ที่มีสถูป "ดรุค วังเกล"(Druk Wangle Chorten) หรือสถูปแห่งความเป็นสิริมงคลและสันติสุขของแผ่นดิน 108 องค์ สร้างถวายพระโพธิสัตว์ของชาววัชรยาน 108 องค์ โดยสมเด็จพระราชินีอะชิ ดอร์จิ วังโม
ปูนาคาซองเป็นซองที่สำคัญที่สุดของภูฏาน เพราะเป็นสถานที่เก็บพระอัฐิของท่านซับดรุง งาวัง นัมเกล และเป็นสถานที่ที่พระเจ้าอุกเยน วังชุก บรมราชาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งภูฏาน เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2450 ต่อมาจึงกำหนดให้ทุกวันที่ 17 ธันวาคม เป็นวันชาติภูฏาน
ไม่ต้องใช้การสังเกตใดๆ ก็จะพบว่า ภายในซองทุกแห่งมีวงล้อมนตรา (Mani Lhakhor) ที่จารึก “โชเคย” ที่เป็นบทสวดไว้ บทที่เราอาจคุ้นเคยกันดีก็คือ “โอม มณี ปัทเมหุม” หรือ ดวงมณีผู้เกิดจากดอกบัว ซึ่งเป็นการสรรเสริญพระพุทธเจ้า ส่วนวิธีการหมุน คือหมุนตามเข็มนาฬิกา เมื่อหมุนครบหนึ่งรอบหมายถึง สวดมนต์ครบหนึ่งบท
เราสามารถพบเห็นวงล้อมนตราได้จากหลายๆ สถานที่ ทั้งหน้าบ้าน หน้าหมู่บ้าน บนลำธารกลางภูเขา ฯลฯ โดยชาวภูฏานทุกๆ คนที่เกิดมาจะขอพรว่าในชีวิตนี้จะสวดมนต์กี่บท เช่น 100,000 บท 500,000 บท หรือ 1,000,000 บท ดังนั้นทุกๆ วันในชีวิตของพวกเขาจึงไม่เคยว่างเว้นจากการสวดมนต์เลยสักวัน
แม้วันเวลาจะเปลี่ยนไป โลกยุคใหม่หมุนเข้ามาแทนที่ยุคเดิมหลายต่อหลายรอบ หากแต่วิถีชีวิตของชาวภูฏานก็ยังดำเนินต่อไปอย่างเรียบง่าย ไม่เร่งร้อน เพียงเพราะพวกเขาเชื่อมั่นว่า "ความสุข" คือคำตอบสุดท้ายของชีวิต
และ "ความสุข" นี้เองที่เป็นกุญแจไขความลับทั้งหมดของภูฏาน และเป็นคำตอบว่าทำไมภูฏานน่ารัก และเป็นสวรรค์บนพื้นพิภพแห่งสุดท้ายในโลก
..........................
การเดินทาง
นักท่องเที่ยวชาวไทยที่จะเดินทางไปประเทศภูฏานต้องขอวีซ่าผ่านบริษัททัวร์ที่การท่องเที่ยวภูฏานอนุญาต และต้องเดินทางไปพร้อมกับบริษัททัวร์ ไม่อนุญาตให้เดินทางส่วนตัว และไม่รับนักท่องเที่ยวแบบแบ็คแพ็ค (Backpacker)
สำหรับสายการบินมีสายการบินดรุกแอร์ DRUK AIR (สายการบินแห่งชาติภูฏาน) เพียงสายการบินเดียวที่ให้บริการ โดยจะเดินทางจากกรุงเทพฯ สู่เมืองพาโร ประเทศภูฏาน 5 เที่ยว คือ อังคาร พุธ ศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ และมีเที่ยวบินจากเมืองพาโร มากรุงเทพฯ สัปดาห์ละ 4 เที่ยว คือ จันทร์ พฤหัสบดี ศุกร์ และเสาร์ ใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งจะแวะพักเครื่องที่เมืองโกฮาติ ประเทศอินเดีย เป็นเวลา 40 นาที







