ด้วยเกียรติของ'ดีเจ' สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา

ด้วยเกียรติของ'ดีเจ' สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา

คลับฟรายเดย์เดอะซีรีส์ ดราม่าอีกเรื่องในโลกออนไลน์ที่ชาวเน็ตวิจารณ์จับเท็จกันอย่างสนุกสนาน

เบื้องลึกเบื้องหลังเป็นอย่างไรงานนี้มีเคลียร์

เป็น 'พี่ฉอด' ของน้องๆ แฟนรายการวิทยุมานานนับสิบปี ได้ชื่อว่าเป็นดีเจต้นตำรับที่ยังอยู่ยืนยงในวงการ แม้วันนี้จะรั้งตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จีเอ็มเอ็ม มีเดีย (CEO-GMM MEDIA) บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) แต่ 'ดีเจพี่ฉอด' สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา ก็ยังกลับมาพิสูจน์บทบาทความเป็นดีเจที่ไม่เคยและไม่ควรเปลี่ยนไปพร้อมยุคสมัยนั่นคือการเป็นเพื่อนกับคนฟัง ด้วยการทำรายการแนวถนัด 'คลับฟรายเดย์' เปิดให้ผู้ฟังโทรเข้ามาปรึกษาปัญหาหัวใจ ก่อนจะต่อยอดเป็นหนังสือ เอ็มวี และคลับฟรายเดย์เดอะซีรีส์

ท่ามกลางเสียงตอบรับที่ดีเกินคาด หักมุมกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วง เมื่อเรื่องหนึ่งที่นำมาเสนอในรูปแบบของซีรีส์นั้นเป็นรักซ้อนระหว่างแม่กับลูกสาวที่มีสามีคนเดียวกัน ...เหลือเชื่อ ดราม่า ว่ากันไปถึงขั้นสร้างเรื่องขึ้นมาหลอกผู้ชม เป็นเหตุให้พี่ฉอดต้องออกโรงแถลงข่าวด้วยตัวเอง และยืนยันความบริสุทธิ์ใจด้วยเกียรติของคนทำวิทยุที่อยู่ในวงการนี้มาเกือบ 3 ทศวรรษ

-อะไรทำให้ชื่อของดีเจพี่ฉอดเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับคะ

นอกจากเรื่องของเสียงน่าจะเป็นเรื่องของคอนเทนท์ ในสมัยหนึ่งการจัดรายการวิทยุมันหมือนกับว่าเป็นคนที่นำเสนอเพลงอย่างเดียว แต่พอมาถึงตรงพี่มันเป็นยุคที่เราเริ่มตีโจทย์ว่า คำว่าดีเจอาจจะไม่ได้หมายถึงคำนำเสนอเพลงอย่างเดียว ลักษณะรายการแบบพี่ฉอดก็เลยเกิดขึ้นตอนนั้น คือเราทำตัวเป็นเหมือนพี่ของคนฟังแล้วก็มีการพูดคุย เปิดเพลงน้อยลง คุยกันเยอะขึ้น มีการปรึกษาหารือให้คำแนะนำต่างๆ นานา ก็จะเป็นต้นๆ ของดีเจในรูปแบบนี้

-ยุคนั้นดีเจค่อนข้างมีอิทธิพลกับวัยรุ่น วางแนวทางการทำงานไว้อย่างไร

ถ้าเราวางตัวเองว่าเป็นพี่ก็ตีโจทย์ในความเป็นพี่นั่นแหละ เหมือนดูแลน้อง เปิดเพลงให้น้องฟังก็เป็นพาร์ทนึง ในส่วนของการพูดคุยปรึกษาหารือ มีปัญหาอะไรก็พูดคุยกัน พอมันขึ้นต้นด้วยคำว่าพี่แล้วก็เลยกำหนดบทบาทหน้าที่ของตัวเองได้ชัดเจนขึ้น จะต้องบอกว่าดีเจทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมามันค่อนข้างมีบทบาท ซึ่งบางคนก็ใช้คำว่าอิทธิพลนะคะ กับคนฟังโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นค่อนข้างสูง พี่เคยพูดอยู่เสมอว่าเพราะระยะห่างระหว่างคนที่ทำอาชีพดีเจกับคนฟังมันเป็นระยะห่างที่กำลังพอดี บางทีคนที่ใกล้ตัวใกล้ชิดเกินไปอย่างพ่อแม่ครอบครัว ก็ไม่ค่อยกล้าคุยกันเท่าไหร่ หรือถ้าเป็นคนที่ไกลตัวเกินไป ไม่รู้จักกันเลยหลายเรื่องก็คงไม่สนิทใจที่จะคุย แต่กับดีเจเหมือนระยะห่างมันกำลังพอดี คือรู้จักกัน ถึงเวลาพี่เขาก็มา แล้วดูเหมือนพี่เขานิสัยดีนะ ขอเพลงก็ให้ คุยด้วยเขาก็คุย มันเลยเป็นระยะที่กำลังพอดีในการที่น้องๆ วัยรุ่นรู้สึกสบายใจที่จะพูดคุยด้วย หรือให้ความไว้วางใจกัน

-ทุกวันนี้การทำงานของดีเจรุ่นใหม่ๆ เปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน

ที่เห็นชัดๆ ก็คือ ดีเจสมัยก่อนไม่ได้ต้องเอาตัวตนออกมาเยอะอย่างนี้ ตอนที่พี่เลือกเป็นดีเจก็เพราะรู้สึกว่าเป็นอาชีพที่ไม่ต้องเอาหน้าเอาตาเอาตัวออกมา เป็นคนที่อยู่เบื้องหลังซะมากกว่า แต่มาถึงยุคนี้สมัยนี้ดีเจกลายเป็นคนที่เอาตัวตนออกมาข้างนอกแล้วก็มีส่วนเกี่ยวโยงไปถึงอาชีพอื่นๆ ในวงการบันเทิงค่อนข้างเยอะ ดีเจทุกวันนี้ก็เป็นนัก ร้องนักแสดงดาราอะไรก็ว่ากันไป แต่เมื่อก่อนดีเจก็คือดีเจอย่างเดียว หรือลักษณะการทำงานของดีเจสมัยก่อนค่อนข้าง One Man Show คือทำงานเองเกือบหมด นอกจากจัดรายการแล้วก็ยังต้องเป็นครีเอทีฟรายการเองด้วย ข้อมูลอะไรต่างๆ นานา ดีเจสมัยก่อนบางคนก็ขายโฆษณาเองทำธุรกิจเองหมด แต่มาถึงวันนี้มันเป็นรูปแบบของบริษัทมากขึ้น มีคนคอยแบ็คอัพ อีกอย่างที่สำคัญที่สุดคงเป็นเรื่องของเทคโนโลยีที่มันเปลี่ยนไป อันนี้เห็นชัดมาก

-ยุคนี้มีทั้งโซเชียลมีเดีย ดิจิทัลทีวี คนทำวิทยุต้องปรับตัวอย่างไรคะ

มันก็เคยมีคนตั้งข้อสังเกตว่า คนฟังวิทยุน้อยลงหรือเปล่า แต่ว่าจากทุกรีเสิร์ชที่ผ่านมา คนฟังวิทยุไม่ได้น้อยลงเพียงแต่ว่าเขาเปลี่ยนดีไวซ์หรือเปลี่ยนเครื่องรับ จากวันหนึ่งเขาใช้วิทยุตั้งโต๊ะ วันนี้ทุกคนก็อาจจะใช้มือถือหรือคอมพิวเตอร์ในการฟัง เพราะฉะนั้นคนฟังวิทยุไม่ได้เปลี่ยนไป เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบการฟังเท่านั้นเอง ตรงนั้นเป็นเรื่องของเทคโนโลยีแล้วล่ะค่ะ บริษัทเราเองก็ต้องเคลื่อนตัวไปตามเทคโนโลยีที่มันเกิดขึ้นด้วย แต่ความเป็นรายการวิทยุมันยังคงเป็นเพื่อนของคนฟังอยู่ตลอดเวลา

-เพราะอย่างนี้หรือเปล่าคะเลยทำรายการคลับฟรายเดย์ขึ้นมา

จริงๆ แล้วรายการคลับฟรายเดย์มาในวันที่รูปแบบของรายการวิทยุกำลังเปลี่ยนไป คือมันก็มีบริษัทต่างประเทศเข้ามาแล้วก็ลักษณะรายการวิทยุในยุคนั้นที่จะประสบความสำเร็จที่จะโด่งดังได้ต้องเป็นรายการที่ดีเจพูดน้อยหรือไม่พูดเลย เปิดแต่เพลงอย่างเดียว แล้วทุกคนก็เริ่มมีความเห็นว่า...เฮ้ย รายการวิทยุมันไม่ต้องมีดีเจก็ยังได้เลย เพราะคนฟังวิทยุคือฟังเพลง แต่พี่มีความคิดที่สวนกระแสอันนั้นกันก็เลยรู้สึกว่าเราจะลองทำรายการวิทยุที่ดีเจยังเป็นหัวใจสำคัญอยู่ ที่เป็นเรื่องของการพูดคุยอยู่ แล้วพอดีมาทำที่คลื่นกรีนเวฟ ซึ่งเป็นคลื่นที่เราคุยกันในเรื่องของความรักความสัมพันธ์ ก็เลยคิดว่ารายการที่ว่านี้จะคุยกันว่าด้วยเรื่องของความรักความสัมพันธ์แหละ แล้วเปิดโอกาสให้คนฟังเข้ามามีส่วนในการที่จะพูดคุยเข้ามาปรึกษาหารืออะไรต่างๆ แล้วก็มีพี่ฉอดพี่อ้อยนี่แหละที่ยังคงทำหน้าที่เดิมก็คือเป็นพี่แล้วก็คุยกันค่ะ

-ตอนนั้นคิดไว้ไหมว่ากระแสตอบรับจะเป็นอย่างไร

ตอนเริ่มต้นไม่ได้คิดอะไรหรอกค่ะ แค่อยากทำรายแบบนี้ดู เพราะคนเขาบอกว่ารายการวิทยุไม่ต้องมีดีเจก็ได้ ก็แค่อยากจะพิสูจน์ว่ามันจริงหรือเปล่า แต่ไม่ได้คาดว่ามันจะอยู่มาได้ยาวขนาดนี้ เพราะรายการที่เราจัดเนี่ยถ้าไม่มีคนฟังโทรเข้ามามันจะจัดไม่ได้เลยนะ มันเป็นเรื่องของ case study ต้องมีคนส่งเรื่องเข้ามา แล้วเราถึงจะมีประเด็นในการคุยกัน ตอนจัดรายการวันแรกก็กลัวว่าจะมีคนโทรเข้ามามั้ย แต่ปรากฎว่ามีคนโทรเข้ามาเยอะมาก แล้วก็เหมือนเยอะขึ้นเรื่อยๆ อย่างทุกวันนี้มีคนที่ส่งเรื่องเข้ามาไม่ว่าจะเป็นทางโทรศัพท์ เอสเอ็มเอส อีเมล เฟซบุ๊ค ศุกร์นึงในหัวข้อนึงเป็นหลายๆ สิบเรื่องหรือเป็นร้อยก็มี ซึ่งเราก็จะเลือกเรื่องที่ออกอากาศแค่ศุกร์นึงไม่ถึงสิบเรื่อง

-เรียกว่าฟีดแบ็คค่อนข้างดีมาตลอด?

คือในการทำงานเราก็มีการเช็คอยู่ตลอด ทำรีเสิร์ชบ้างอะไรบ้าง บางทีฟีดแบ็คก็มาถึงตัวค่อนข้างโดยตรง อย่างการทำรีเสิร์ชในแง่ของคลื่นกรีนเวฟ คลับฟรายเดย์อาจเป็นรายการที่ออกอากาศแค่อาทิตย์ละสองชั่วโมงเท่านั้นเอง แต่ทุกคนจำได้ รู้จักคลับฟรายเดย์ ฟังคลับฟรายเดย์ หรือตอนที่เราเสียดายเรื่องราวในคลับฟรายเดย์ เอามาต่อยอดเป็นหนังสือ หนังสือก็ขายดีแบบเบสเซลเลอร์ สุดท้ายก็คิดว่ามันมีเรื่องแรงบันดาลใจอะไรบางอย่างเกี่ยวกับความ Emotional ก็เลยเอามาแต่งเป็นเพลง เพลงก็ขึ้นชาร์ต อัลบั้มก็ขายดี ทำ MV คนก็เข้ามาดูเป็นล้านๆ วิว จากตรงนั้นก็เลยพัฒนามาเป็นคลับฟรายเดย์เดอะซีรี่ส์

-ได้วิเคราะห์ไหมคะว่าความสำเร็จตรงนี้มันเกิดจากอะไร

พี่ว่ายังไงวิทยุก็ยังเป็นเพื่อน ดีเจก็ยังเป็นเพื่อนของคนฟังอยู่ วิทยุกับดีเจก็ยังเป็นของคู่กันอยู่ แล้วจริงๆ ต้องบอกว่าสังคมทุกวันนี้คงมีคนที่มีปัญหาในด้านจิตใจ หรือคนที่ไม่รู้จะคุยกับใคร คนที่มีเรื่องราวที่อยากจะพูด อยากจะระบาย หรืออยากมีคนช่วยแนะนำให้แง่คิดมุมมองต่างๆ คือมันมีคนที่รู้สึกอย่างนี้เต็มไปหมด โดยเฉพาะในเรื่องราวของความรักความสัมพันธ์ซึ่งค่อนข้างซับซ้อน เพราะฉะนั้นถ้ามันมีที่สักที่ที่เปิดโอกาสให้คนได้เข้ามาพูด แล้วก็มีพี่ฉอดพี่อ้อยเป็นตัวกลาง ซึ่งเราจะพูดอยู่เสมอว่าเราไม่ได้เก่งกาจสามารถถึงขั้นที่จะไปตอบคำถาม หรือบอกให้ใครทำอย่างโน้นอย่างนี้ได้ เป็นแค่ที่ที่หนึ่งให้เราได้มาคุยกัน วิเคราะห์วิจารณ์กัน ให้ข้อเสนอแนะกัน ซึ่งสุดท้ายแล้วการตัดสินใจว่าจะต้องทำอย่างไรก็ต้องเป็นตัวเจ้าของปัญหาเอง

รายการคลับฟรายเดย์มันคงไปตอบสนองความต้องการของคนในสังคมวันนี้ซึ่งมันเหมือนกับ... เยอะไปหมด เรื่องเยอะ คนเยอะ แต่จริงๆ แล้วมันมีคนเหงา คนที่ไม่รู้จะพูดกับใคร คนที่มีปัญหาแล้วไม่รู้จะหันหน้าไปหาใครอีกเยอะมาก มันก็คงเป็นวิถีทางของสังคมเมืองใหญ่ปกติทั่วๆ ไป พอดีคลับฟรายเดย์มันไปตอบสนอบความต้องการตรงนั้นก็เลยประสบความสำเร็จ แล้วอยู่มาถึงทุกวันนี้

-ดูเหมือนคนรู้สึกเหงาหรือโดดเดี่ยวกันมากขึ้น?

ไม่หรอกค่ะ พี่ว่าคนเหงา คนผิดหวัง คนอกหัก มันเป็นเรื่องธรรมดาของโลก เพียงแต่ว่าเมื่อก่อนอาจจะไม่มีที่สำหรับการพูด พอมันมีที่ตรงนี้ก็เลยพูดกันมากขึ้น ปัญหาความรักอกหัก จริงๆ มันเป็นเรื่องซ้ำซากด้วยซ้ำไป เราก็อกหักกันเรื่องเดิมๆ ผิดหวังกับเรื่องเดิมๆ พูดกันเรื่องเดิมๆ แบบนี้แหละ แต่มันพูดกันไม่จบไม่สิ้นเพราะว่าเป็นเรื่องที่ไม่มีถูกไม่มีผิด เป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก เพียงแต่ว่าวันนี้ที่เรารู้สึกว่าอะไรมันเยอะแยะวุ่นวายไปหมด คงเป็นเพราะว่าสังคมทุกวันนี้ทุกคนมีโอกาสพูดมากขึ้น เรื่องบางเรื่องที่ เราควรคุยกันอยู่สองคน ดันมาพูดออกสื่อหรือมาพูดในโซเชียลมีเดียมันเลยดูเหมือนมีเรื่องเยอะไปหมดเลย

-ที่ผ่านมากรณีคุณแอร์นี่ถือเป็นเคสที่โดนวิจารณ์หนักที่สุดเลยหรือเปล่าคะ

สิ่งที่มันน่าประหลาดอย่างหนึ่งซึ่งพี่ค่อนข้างงงๆ อยู่นิดนึงก็คือ ทำไมคนถึงรู้สึกว่าเรื่องคุณแอร์เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มหัศจรรย์แปลกประหลาด เหมือนเป็นไปไม่ได้เรื่องนี้ เพราะว่าถ้าฟังคลับฟรายเดย์อยู่จะรู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แรงเรื่องหนึ่ง แต่มันมีเรื่องที่เกิดขึ้นในทุกวันศุกร์ที่ผ่านมาที่เราคุยกันที่มันรุนแรงกว่านี้ ซับซ้อนกว่านี้ หรือยากลำบากก็มีมาโดยตลอด หรืออย่างวันนี้เราเปิดทีวีดูข่าวดูอะไรก็จะเจอเรื่องแบบนี้ตลอด พี่กำลังรู้สึกว่าอย่างเรื่องคุณแอร์เนี่ยที่มีฟีดแบ็คอะไรแรงๆ กลับมามากๆ มันเหมือนกับสังคมทุกวันนี้พอเราจับประเด็นอะไรขึ้นมาแล้วก็จะมีคนช่วยกันทำให้มันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดมันใหญ่เกินจริง จนรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้แน่ๆ

อย่างที่บอกเดี๋ยวนี้ทุกคนมีโอกาสได้พูดหมดเลย พูดๆๆ ซึ่งบางทีคนที่มาพูดเนี่ยจำนวนหนึ่งไม่ได้รู้จักคลับฟรายเดย์ ไม่เคยฟังด้วยซ้ำ แล้วก็พูดๆๆ จนเป็นเรื่องใหญ่โต มหัศจรรย์พันลึก แต่สำหรับพวกเราที่เป็นคนทำงานหรือกลุ่มคนที่เป็นคนฟัง ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ วันที่คุณแอร์โทรเข้ามาในวันแรกมันก็มีกระแสที่เกิดขึ้นในโลกโซเชียลแล้ว ตอนนั้นก็แรงประมาณนึง เสร็จแล้วพอมาทำเป็นซีรี่ส์ พี่ก็เดาว่าด้วยความสามารถของงานโปรดักชั่น ความสามารถของนักแสดง ความสามารถของผู้กำกับ ทีมงาน อะไรทุกอย่างมันทำให้เรื่องนี้ดู โอ้โห เป็นประเด็นมากขึ้น แล้วประกอบกับผู้คนก็มาวิเคราะห์วิจารณ์ก็เลยดูเหมือนเป็นเรื่องใหญ่ แต่สำหรับพวกเราเรื่องนี้ไม่ใช่ เรื่องใหญ่ที่สุดตั้งแต่มีคลับฟรายเดย์มา มันเป็นแค่เรื่องแรงเรื่องหนึ่งเท่านั้นเอง

-บางคนพยายามหาข้อมูลมายืนยันว่าทีมงานสร้างเรื่องขึ้นมาเอง?

อยากให้มาดูค่ะว่าเราทำงานกันยังไง เดี๋ยวคุณก็จะรู้ว่าจริงๆ แล้วแบบนี้มัน just เคสเดียวเท่านั้นเอง ในบรรดาเคสอีกมากมายที่เราเจอกันอยู่ แล้วคุณจะเข้าใจว่าเราไม่จำเป็นต้องสร้างเรื่องค่ะ ในสังคมไทยมีเรื่องแบบนี้อีกเยอะมาก มันมีเรื่องที่ถ้าเราจะพูดว่ามันผิดศีลธรรม มันไม่ถูกต้อง มันมีอะไรแบบนี้อยู่เต็มไปหมด ฉะนั้นคลับฟรายเดย์ไม่จำเป็นต้องสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่ออะไรเลย แต่วันนี้อยากให้มองที่เจตนา เราพยายามจะเอาเรื่องราวเหล่านี้มาเพื่อที่จะให้ทุกคนได้เรียนรู้ พี่พูดทุกครั้งเวลาทำงานว่าคลับฟรายเดย์เหมือนห้องเรียนใหญ่ๆ ห้องหนึ่ง ที่เราเข้ามาเรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่น และสามารถเอาสิ่งที่เป็นประสบการณ์เหล่านี้ไปใช้ให้เป็นประโยชน์กับชีวิตของตัวเองได้

เพราะงั้นถ้าถามว่าเรื่องทั้งหมดต้องเป็นเรื่องจริง 100% มั้ย ถึงได้บอกว่าคำว่าเรื่องจริง 100% คืออะไร เราต้องมีสติในการทบทวนสิ่งนี้ก่อน สมมุติว่าพี่นั่งเล่าเรื่องของพี่ให้น้องฟังตรงนี้ น้องยังไม่สามารถบอกได้เลยว่าพี่ฉอดเล่า 100% หรือเปล่า ถูกมั้ยคะ แล้วคำว่า 100% จริงๆ มันมีจริงหรือเปล่าในโลกใบนี้ เวลาที่เขาเอาเรื่องราวต่างๆ ไปทำ ต่อให้เป็นอัตตชีวประวัติ หรือเบสออนทรูสตอรี่ใดๆ ทุกอย่างมันก็มาจากสิ่งที่เป็นเรื่องเล่าขานกันมาแบบนี้ด้วยกันทั้งนั้น แต่ความสำคัญของคลับฟรายเดย์คือ ถ้ามันเกิดเรื่องแบบนี้เราจะทำอย่างไร เราให้ความสำคัญกับสิ่งนี้มากกว่า ถ้ามันเกิดสิ่งนี้ในสังคมเราจะคุยเรื่องนี้กันแบบไหนอย่างไร

ที่สำคัญที่สุดไม่ว่าจะทำเป็นรายการวิทยุ หรือออกไปเป็นหนังสือ ไปจนถึงซีรีส์ก็ตาม สิ่งที่เราตั้งไว้ก็คือ คนดูคนฟังของเราต้องได้รับอะไรจากเรื่องราวเหล่านี้ ไม่ใช่แค่เรื่องแรงๆ เฉยๆ พี่ไม่ได้เป็นคนทำงานแบบ สักแต่ว่าเอาแรงแล้วให้คนมาฮือฮากันกับความแรง ทุกคนถ้าเคยติดตามงานของพี่ก็จะรู้ว่าพี่ไม่ได้เป็นคนทำงานประเภทนั้น แต่เราเป็นคนทำงานแรงประเภทที่สุดท้ายแล้วเราต้องมีคำตอบให้กับสังคม หรือมีทิศทางให้ว่ามันเป็นประโยชน์อะไรกับคนฟังของเราเสมอ

-กรณีที่นำเรื่องจริงมาถ่ายทอดคงมีจุดที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ดูแลเรื่องนี้อย่างไ

ก่อนอื่นเราต้องขออนุญาตคนที่เป็นเจ้าของเรื่องนะคะ ขณะเดียวกันก็ต้องระมัดระวังในส่วนเจ้าตัวที่เขายังมีตัวตนอยู่ด้วย ซึ่งอันนี้ก็จะแล้วแต่ บางคนเขาจะบอกมาเลยว่าไม่ให้ใช้ชื่อจริง เปลี่ยนชื่อตัวละครทั้งหมดนะ บางคนเขาก็อาจจะสามารถออกตัวได้เพราะว่ามีหน้าตาเขาอยู่ในเฟสบุ๊คอยู่แล้ว อันนี้แต่ละคนจะไม่เหมือนกัน แล้วที่สำคัญที่สุดก็คือต้องขออนุญาตที่จะมีการแต่งเติมตามความเหมาะสมด้วย เพราะฉะนั้นในคลับฟรายเดย์เดอะซีรีส์ทุกตอน จะมีตัวหนังสือขึ้นทุกครั้งว่า เรื่องราวเหล่านี้ถูกแต่งเติมเพื่ออรรถรสของการเป็นละครตามความเหมาะสม

อันนี้พี่ว่าถ้าทุกคนเห็นจะเข้าใจได้ว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องจริงทั้งหมด 100% เพราะเป็นละครมันต้องมีที่มาที่ไปและจุดจบ เพราะฉะนั้นบางทีเราก็อาจมีการตีความกัน อย่างเราฟังเรื่องจองคุณแอร์ ฟังจากมุมคุณแอร์คนเดียว เราก็ต้องไปคิดด้วยว่า เอ๊ะ...ทำไมคุณแม่ถึงทำแบบนี้ หรือทำไมผู้ชายคนนั้นถึงเป็นแบบนี้ อะไรอย่างนี้ เราก็เลือกที่จะนำเสนอในแบบของเรา แต่อย่างที่บอกล่ะค่ะว่า เราจะไม่ไปเปลี่ยนในโครงเรื่องที่มันเป็นเรื่องใหญ่ เช่นสมมุติว่าคุณแอร์สามารถที่ผ่านทุกอย่างมาได้ ในละครเราก็จะไม่ให้คุณแอร์ฆ่าตัวตาย แต่ว่าเราก็อาจจะต้องเผื่อสำหรับคุณแม่หรือผู้ชายคนนั้นว่า เอ่อ...เขาจะคิดอย่างไรหรือทำอย่างไร เราก็เล่าในสิ่งที่เราเลือกที่จะเล่า และสุดท้ายจบก็คือเราจะจบในสิ่งที่คิดว่าเราจะให้อะไรกับคนดู

-คิดว่าสังคมได้อะไรจากเรื่องราวต่างๆ ที่นำเสนอผ่านคลับฟรายเดย์คะ

พี่ว่าทุกอย่างมันมีสองด้านหมด เรื่องทุกเรื่อง เรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนเราทุกคนมันมีสองด้านสองมุมด้วยกันทั้งนั้น มันอยู่ที่ว่าเราจะหยิบจับตรงไหนมาให้เป็นประโยชน์กับชีวิตของเราได้ เรื่องคุณแอร์ ถ้าคุณมองในแง่แบบ โห...สังคมเสื่อมโทรม มองในแง่หมดหวังมันก็หมดหวัง มองในแง่ โห....วันนี้สังคมเสื่อมทรามมันก็เสื่อมทราม จะเห็นโลกเลวร้าย แต่ถ้ามองในมุมที่ทำให้เราเอาเรื่องนี้มาทำก็คือ คุณแอร์เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ซึ่งเจอเรื่องราวหนักหนามาก แต่เขายังก้าวข้ามผ่าน ช่วงเวลาที่เขาจะไปทำแท้งเขาก็ไม่ได้ทำ จะฆ่าตัวตายก็ไม่ได้ฆ่า จนถึงวันนี้เขาก็ยังมีตัวตนดิ้นรนของเขาต่อไปเท่าที่ความสามาถจะทำได้ พี่คิดว่าเราติดใจข้อนี้กันต่างหาก

แต่พอถึงเวลาแล้วคนกลับไปคิดว่าจริงหรือไม่จริง (หัวเราะ) นึกออกมั้ยคะ คือมันแล้วแต่ว่าเรื่องๆ หนึ่งเราจะจับประเด็นไหน พวกเราจับประเด็นว่าคนคนหนึ่งที่เจอเรื่องขนาดนี้เขายังอยู่ได้ พี่เชื่อว่าคนที่เห็นสิ่งนี้ยังมีอีกหลายคนที่จะเอาไปคิดต่อว่า แล้วเราล่ะทำไมเราจะไม่รอด คนนี้เขายังรอด ในขณะที่สังคมส่วนที่อยากจะวิเคราะห์วิจารณ์กันว่าตกลงมันจริงหรือไม่จริง มันต้องโกหกแน่เลย ก็คงไปห้ามไม่ได้ ถามว่าจริงหรือไม่จริง โกหกหรือไม่โกหก สำหรับพี่มันอาจไม่สำคัญเท่ากับว่ามันเป็นประโยชน์อะไร หรือเปล่า เรามองคนละจุดอยู่ตอนนี้ เพราะฉะนั้นถามว่าจิตตกไหมหรือต้องไปทะเลาะกับใครไหม ไม่ เพราะว่าจุดยืนของพี่คือจุดนี้ต่างหาก

-จัดรายการลักษณะนี้ต้องรับฟังปัญหาของคนโน้นคนนี้ตลอด รู้สึกเครียดบ้างไหม

โดยส่วนตัวพี่อาจเป็นคนโชคดีนิดนึงที่เป็นคนค่อนข้างมีลิ้นชักของตัวเองชัดเจน อะไรเก็บไว้ตรงไหน พอทำงานเสร็จก็คือเสร็จตรงนั้น ไม่ได้เก็บเอามา คือในโมเมนต์ที่เราฟังเขา เราก็จะอินกับเรื่องราวของเขา เราจะรู้สึกอยากช่วยเขา พี่ถึงรู้สึกว่ามันตลกดีเนอะที่วันนี้สังคมส่วนหนึ่งบอกว่าทำไมไม่ทำให้รู้ไปเลยว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง แต่ในวันที่คุณแอร์เขาโทรศัพท์เข้ามา เขาร้องไห้ เขาเสียใจ เขาเป็นทุกข์อยู่ พี่ฉอดกับพี่อ้อยคงไม่ใช่คนที่จะไปนั่งคาดคั้นว่าที่เธอเล่าทั้งหมดนี่มันจริงร้อยเปอร์เซนต์มั้ย เพราะในโมเมนต์นั้นใครที่ฟังคลับฟรายเดย์อยู่ แล้วเอาตัวมาเป็นพี่ฉอดพี่อ้อยคุณจะรู้สึกในสิ่งหนึ่งคือคุณต้องมีเมตตาจิตหรือเมตตาธรรมว่าเราจะช่วยเขายังไง

เราช่วยไม่ได้มากหรอกค่ะ เราไม่ได้เป็นหมอเป็นนักจิตวิทยา เราเป็นได้แค่คนรับฟัง ซึ่งในวันนั้นสิ่งที่คุณแอร์พูดอยู่เสมอคือเขาไม่รู้ว่าพี่ฉอดพี่อ้อยเป็นใครนะ แต่เหมือนเป็นคนที่ฟังเขา เขาแค่อยากจะมีคนรับฟังสิ่งที่มันเกิดขึ้นในชีวิตเขาเท่านั้นเอง ซึ่งเราก็พยายามจะช่วยเขาในสิ่งที่พอจะช่วยได้

-ทั้งงานบริหาร จัดรายการวิทยุ และอื่นๆ อีกมากมาย แบ่งเวลางานกับชีวิตส่วนตัวอย่างไร

เคยพูดว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่มันเป็นเรื่องบันเทิง ฟังวิทยุ ดูทีวี ดูคอนเสิร์ต ความบันเทิงของคนอื่นน่ะมันเป็นงานของเรา ซึ่งถ้ามองในแง่ซัฟเฟอร์ก็คงบอกว่า ไอ้สิ่งที่คนอื่นเขาใช้เป็นการพักผ่อนเป็นความสุขสนุกสนานมันดันเป็นงานของเรา เคยคิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่คิดใหม่ กลับมุมกัน เออ...ก็ดีเนอะ งานเรามันเป็นงานที่เป็นความสนุกของคนอื่น ก็คิดให้มันสนุกก็ได้ เพราะฉะนั้นทั้งงานกับเรื่องส่วนตัวของพี่มันเลยค่อนข้างไหลรวม ทุกวันนี้ชีวิตมันก็จะปนๆ กันไปหมด บางทีไปต่างประเทศ ทุกคนบอกว่าไปเที่ยว เออ...ไปเที่ยว แต่ก็ไปทำงานด้วยนะ ไปดูคอนเสิร์ต สนุกมั้ย สนุก แต่ก็คิดไปด้วยนะว่ามันจะเป็นงานยังไง ชีวิตก็เลยไม่ค่อยมีเรื่องส่วนตัวอะไรเยอะ วันๆ นึงก็อยู่แบบนี้ปนๆ กันงานกับส่วนตัวสัก 20 ช.ม. นอนสัก 4 ช.ม.

คือมันเยอะมากจริงๆ สิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ เพราะว่าโดยตำแหน่งในแกรมมี่ที่เป็นซีอีโอของมีเดีย มันก็จะมีอะไรมากมาย รวมทั้งตอนนี้ก็ไปดูดิจิตอลทีวีช่องนึง ไม่รวมกันเมนหลักในชีวิตที่ต้องดูเรื่องวิทยุ เรื่องสื่อ การจัดคลับฟรายเดย์อาทิตย์ละ 2 ช.ม.จริงๆ มันเป็นเรื่องลำบาก แต่ด้วยความที่รู้สึกดีกับรายการนี้รู้สึกมีความสุขที่ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับคนอื่นบ้าง ถึงได้แบบเอาล่ะ...โดดบ้าง เบี้ยวบ้าง ให้คนอื่นมาช่วยจัดแทนบ้าง แต่ก็ยังอยู่กับคลับฟรายเดย์ ยังไม่ได้คิดว่าจะเลิก

-มีวิธีรีแลกซ์ตัวเองไหมคะ

พี่เป็นคนที่ไม่ค่อยยอมปล่อยให้ตัวเองเครียดมั้งคะ โชคดีที่เป็นคนลืมง่าย ใครทำอะไรไม่ดีหรือมีปัญหาอะไรแป๊บเดียวเดี๋ยวก็ลืม ไม่ค่อยเก็บอะไร สมมติทะเลาะกับน้อง โกรธๆๆ พอเดินจากห้องก็ลืมไปแล้ว ไม่ได้ลืมเรื่องที่ทะเลาะกันนะคะ ลืมน้องไปเลย เพราะว่าเราต้องไปทำอย่างอื่นแล้ว คนที่ทำอะไรเยอะๆ มากๆ จะรู้ว่าเราไม่สามารถเก็บอะไรไว้กับสมองตัวเองได้นาน เพราะถ้าเรามัวแต่กังวลกับเรื่องนี้ เราจะไปต่อไม่ได้ วันหนึ่งมันมีเรื่องเยอะมากที่ต้องทำ ประชุมจากห้องนี้เข้าห้องโน้น คุยเรื่องนี้แล้วไปเจอคนนั้น วันๆ มันจะเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นคุยเรื่องนี้เสร็จ จบนะ ไปแล้วนะ ไปทำอย่างอื่นต่อ พอมันเป็นอย่างนี้ก็เลยโชคดีที่มันไม่เปิดโอกาสให้เรากักเก็บอะไรไว้ในสมองนาน

คนที่เครียดหรือว่าเก็บอะไรไว้บางทีเป็นเพราะย้ำคิดย้ำทำกับเรื่องเดียวเยอะๆ มันเหมือนคิดไปเยอะ เรื่องเล็กๆ ก็จะเป็นเรื่องใหญ่ อย่างพี่เนี่ยต้องทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็กตลอดเวลา เพราะว่ามันมีเรื่องเยอะมาก ต้องพยายามย่อส่วนให้ทุกอย่างเป็นเรื่องเล็กลงๆ มันก็เลยเป็นเล็กๆ ไป มันอาจจะโชคดีก็ได้มั้งคะโดยสิ่งที่เป็นอยู่มันทำให้เราเป็นแบบนี้ คืออยากจะเป็นเหมือนกันนะ เอ่อ..ฉันเครียดแล้วตอนนนี้ ฉันจะไปสปาคลายเครียด อยากเป็นคนแบบนั้นแต่ไม่เคยมีเวลาได้ทำ คงเพราะไม่มีเวลากลไกในร่างกายก็เลยต้องดีลีทสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องไปเข้าวัดหรือไปทำอะไร

-สุดท้ายอยากฝากอะไรถึงคนที่ยังเคลือบแคลงสงสัยการทำงานของเราไหมคะ

พี่เป็นคนเปิดใจกว้างนะคะ ยอมรับกับคำวิพากษ์วิจารณ์ทุกชนิดอยู่แล้ว แล้วก็ไม่เคยละเลยกับคำวิพากษ์วิจารณ์ที่เกิดขึ้น แต่ว่าวันนี้สิ่งที่เป็นห่วงสังคมอันหนึ่งก็คือ เรามีคนป่วยทางด้านจิตใจค่อนข้างเยอะ คำว่าป่วยทางด้านจิตใจไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นบ้าหรือว่าเสียสติ ถ้าคนป่วยที่รู้ตัวเองว่าป่วยแล้วอยู่ในโรงพยาบาลมันจะง่ายต่อการดูแล รักษา แต่บังเอิญจิตใจเป็นเรื่องที่เรามองไม่เห็น หลังๆ พี่ก็ได้มีโอกาสทำงาน ไม่ว่าจะเป็นคลับฟรายเดย์เอง หรือได้ทำงานกับคุณหมอด้านจิตวิทยาบางท่าน หรือมูลนิธิที่เราเข้า ไปร่วมด้วยช่วยกันทำบุญอะไรต่างๆ มีโอกาสได้ศึกษาเรื่องนี้ค่อนข้างเยอะ เราพบว่าคนที่จะลุกขึ้นมาทำร้ายคนอื่นได้ ไม่ว่าทำร้ายทางด้านร่างกายและจิตใจมักเป็นคนที่มีความป่วยอยู่ในจิตใจ มีพื้นฐานที่สะสมจากการที่เขาถูกทำร้าย ซึ่งสิ่งเหล่านี้บางทีมันฝังอยู่ในจิตใจโดยที่เราก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันอยู่ในจิตใจเราหรือในจิตใจใคร

เพราะฉะนั้นสิ่งที่แสดงออกในสังคมวันนี้มันเป็นไปได้ในหลายๆ รูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นคนที่ลุกขึ้นไปฆ่าข่มขืนคนอื่น หรือทำร้ายคนอื่น ทำร้ายคนในครอบครัวด้วยกันเอง หรือคนประเภทหนึ่งซึ่งอยู่มาวันนี้มันมีโซเชียลมีเดีย ก็ลุกขึ้นไปด่าทอคนนั้นคนนี้ ไปตัดสินคนนั้นคนนี้ คนนั้นต้องเลวคนนี้ต้องชั่ว ด่าอะไรได้ด่า หยาบคายได้หยาบ จริงๆ มัน เป็นความป่วยมากป่วยน้อยในจิตใจ ถ้าในมุมของพี่ซึ่งนั่งอยู่ตรงนี้แล้วเห็นอะไรเยอะ ก็ค่อนข้างเป็นห่วงในสิ่งเหล่านี้ ซึ่งถ้าเป็นคนที่ป่วยไปเลยก็ต้องดูแลรักษา แต่จะมีคนอีก ประเภทหนึ่งที่ไม่ได้ป่วยกับเขาด้วย แต่รับเยอะจนป่วย

วันนี้ที่เราวิพากษ์วิจารณ์คนนั้นคนนี้กันไป ถามว่าเรารู้จักเขาดีพอแค่ไหน รู้เหตุผลของเขามั้ยว่าทำอย่างนั้นเพราะอะไร เราแน่ใจจริงๆ เหรอว่าเขาทำจริง เอาเข้าจริงแล้วเราไม่รู้อะไรสักอย่างนึงเลย แต่มันมีคนจำนวนมากที่พร้อมจะเข้ามาตัดสินคน แกต้องเลวแน่ หยาบคายเท่าไหร่หยาบ ตัดสินเลยค่ะ ซึ่งถ้าคนคนนั้นเป็นอย่างนั้นจริงก็แล้วไป แต่พี่จะเป็นคนที่คิดเสมอว่าแล้วถ้าเขาไม่ได้เป็นล่ะ บางทีมันอาจจะทำร้ายคนดีๆ หรือคนที่มีความตั้งใจดี พี่เชื่อว่ามีคนอีกเยอะในสังคมนี้ที่มีความตั้งใจดีอยากทำสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้น แล้วอยู่ๆ ก็เจออะไรก็ไม่รู้จากคนที่ไม่รู้จักกัน สักแต่ว่าเข้ามาด่าทอกัน อย่างที่พี่เจอจากคลับฟรายเดย์อย่างนี้ สมมติพี่เป็นคนจิตอ่อนลุกขึ้นมาบอกว่าไม่ทำแล้ว นึกออกมั้ยคะ

พี่ไม่ได้คิดว่าตัวเองดีงามเลิศเลอหรือเป็นประโยชน์กับสังคมอะไรนักหนา เพียงแต่เจตนาที่เราตั้งใจทำสิ่งดี แล้ววันหนึ่งเรารู้สึกว่าเราเจอ... เราไม่ทำแล้ว ถ้ามันเป็นอย่างนี้กันเยอะๆ พี่ก็ว่าสังคมจะน่าเป็นห่วงมากขึ้น เพราะฉะนั้นนิดเดียวเองค่ะ ทุกครั้งก่อนที่เราจะตัดสินใครหรือตัดสินอะไร ต้องมั่นใจก่อนว่าเรารู้ข้อมูลจริง รู้จักสิ่งนั้นจริง เราได้เห็นจริงๆ ตอนนี้ทุกอย่างมันเบลอไปหมดแล้ว ถูกผิดดีเลว เพราะทุกคนพูดพร้อมๆ กัน แล้วทุกคนมั่นใจเสมือนหนึ่งว่าเป็นผู้รู้จริง ทั้งๆ ที่ไม่รู้อะไรเลย สังคมเราจะน่ากลัวขึ้นมากนะคะ ถ้าทุกคนยังเป็นแบบนี้กันอยุ่

เคสที่มันเกิดขึ้นกับคลับฟรายเดย์ แล้วแต่จะมอง ถ้าในมุมของพี่ซึ่งอยู่ตรงนี้ กล้าเอาเกียรติของคนที่ทำงานตรงนี้ 20-30 ปีเป็นเดิมพันว่าตั้งแต่วันแรกของการจัดรายการคลับฟรายเดย์มาจนวันนี้ ไม่เคยมีแม้แต่สักครั้งเดียวที่เราคิดจะสร้างเรื่องขึ้น

ทุกๆ อาชีพ ทุกคนก็มีเกียรติของตนเอง มีจรรยาบรรณของตัวเอง ในฐานะที่ยู่วงการนี้มาตั้งนาน แล้วก็ไม่ได้เป็นคนที่ทำให้สังคมรู้สึกว่าเป็นคนเลวร้าย สิ่งดีๆ ที่เคยทำมาทั้งหมดพี่กล้าเอาวางเป็นเดิมพันว่าเราทำงานนี้ด้วยเจตนาดี เจตนาบริสุทธิ์จริงๆ