สารสุดท้ายจาก... โรบิน วิลเลียมส์

หากมองแค่เปลือกนอกเขาเป็นนักแสดงตลกที่สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับคนทั้งโลกแล้วอะไรคือความกดดันสำหรับเขา
ในโลกแห่งการแสดงชื่อของ โรบิน วิลเลียมส์ เป็นสัญลักษณ์ของความสุข ความสนุกสนาน ร่าเริงที่เขามอบให้แก่ผู้คนทั่วโลกจากบทบาทการแสดงที่หลากหลาย คนจะเห็นแต่ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มของเขาเสมอ เป็นเวลายาวนานเกือบ 50 ปี
หากแต่จะมีใครสักกี่คนที่จะเข้าใจถึงความเศร้าหมองโดดเดี่ยวในโลกของชีวิตจริงของนักแสดงวัย 63 ปี ผู้ซึ่งเป็นตำนานของฮอลลีวูดท่านนี้ที่ตัดสินใจปลิดชีวิตตัวเองลงเมื่อ 11 สิงหาคม 2557 เพื่อหนีความทุกข์จากโรคซึมเศร้าและพิษสุราเรื้อรัง ทั้งที่เคยเข้ารับการบำบัด จนสามารถกลับมาแสดงบทบาทได้อีกครั้ง
การจากไปชั่วนิรันดร์ของเขา อาจเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ในเรื่องที่คนปกติธรรมดา ยากจะเข้าใจ และเป็นการแสดงบทบาทครั้งสุดท้ายที่ต้องการสื่อให้คนทั้งหลายได้เข้าใจถึงความทุกข์ใจของเขาบ้างก็เป็นได้
ช่วงเวลานี้ จึงเป็นโอกาสที่สังคมจะได้เรียนรู้และความเข้าใจความรู้สึกของคนที่เป็นทุกข์ เพราะโรคซึมเศร้ามากขึ้น โดยมีโรบิน วิลเลียมส์ เป็นครู
แรงกดดันของชีวิต
กรณีของโรบิน วิลเลียมส์ ทำให้ แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ผู้อำนวยการสาวิกา สิกขาลัย และผู้ก่อตั้งเสถียรธรรมสถาน นึกถึงเพื่อนของท่านอีกคนคือ ทีน่า เทอร์เนอร์ นักร้องนักแสดงชื่อดังของฮอลลีวูด วัย 74 ปี เธอเคยพยายามฆ่าตัวตาย แต่เปลี่ยนใจ ปัจจุบันเธอกลายเป็นคนที่มีพลังกายพลังใจเข้มแข็ง อุทิศชีวิตที่เหลือทำงานเพื่อสังคม
"ทีนา เทอร์เนอร์ รอดมาได้ เพราะกลับไปอ่อนโยนกับตัวเอง" แม่ชีศันสนีย์ เล่าในวงเสวนา “บทเรียนจากชีวิตและความตายของโรบิน วิลเลียมส์” โดยมองว่า นี่เป็นการ“ผันพลัง” ตามธรรมชาติ ซึ่งสามารถแปรเปลี่ยนพลังงานแห่งความทุกข์ให้ก่อเกิดประโยชน์มหาศาล
"ก็เพราะชีวิตของคนดังมีแรงกดดันมาก ทั้งเรื่องส่วนตัว ความสำเร็จ การถูกตัดสิน แต่จะทำอย่างไร จึงจะทำให้การสูญเสียคนหนึ่งคน จะช่วยคนทั้งโลกได้ นั่นคือ การกลับมาเฝ้าสังเกตอารมณ์ตัวเองอย่างซื่อสัตย์ รู้ทันจิตตัวเอง ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ไม่ต้องยอมจำนน เมื่อมีความพอใจหรือไม่พอใจเกิดขึ้น ก็ต้องรู้ว่า นั่นคือสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นในจิตของเรา ให้ยอมรับอย่างอ่อนโยน ที่สุดจะคลายคืนหายไปได้เอง " แม่ชีศันสนีย์ เล่า เพื่อให้รู้ว่า ความพอใจ ไม่พอใจ เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
"เพียงแต่ขณะนั้นถ้าเกิดเราจิตตก (เคมีดรอป) แล้วไม่เห็นการคลายคืนเราอาจจะตัดสิน อยากหรือไม่อยากเป็นภาวะของความไม่รู้ ถ้ามองในเชิงพุทธ คือ เราสามารถกลับไปอ่อนโยนกับสิ่งที่เรารู้สึกได้ว่า มันเป็นความอึดอัดคับข้องใจ ถ้าไม่อยากอึดอัด เราจะดิ้น ถ้าเราดิ้น เราอาจจะไปตายก็ได้นะ"
ดังนั้น การยอมรับอย่างอ่อนโยน เป็นสิ่งที่ท่านเชื่อมโยงให้เห็นว่า มีปาฏิหาริย์แห่งการเปลี่ยนแปลงได้
“ทีน่ารอดได้ เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้า หนึ่งลมหายใจได้เห็นความเสียใจ แล้วรู้ว่าเสียใจ ไม่ต้องอวดตัวว่าไม่เสียใจ ความซื่อสัตย์ตรงนี้ ทำให้เธอรอดมาได้”
นอกจากนี้ ท่านให้กลับมาดูคนใกล้ตัว ลองนึกดูว่า เราลืมที่จะสบตาคนในบ้านหรือเปล่า มีเวลาฟังกันอย่างเข้าใจและไม่ตัดสินหรือไม่ อย่าลืมสังเกตสัญญาณที่ส่งมาจากคนรอบตัว
"บางทีเราเองก็เป็นคนที่ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของคนในครอบครัว อาจกำลังบอกเราว่า ลูกกำลังต้องการเพื่อน หรือใครสักคนที่มาสบตา มารับฟัง โอดกอดเขา เดินเล่นไปด้วยกัน เวลาที่เขามีใครสักคนมาเปิดใจฟังเรื่องราวที่ทำให้เราอึดอัด เราต้องเปิดใจ ปล่อยวางอคติ คือ การมีเพื่อนร่วมทุกข์ ที่จะช่วยให้ผ่านพ้นวิกฤติไปได้ด้วยกันเป็นสิ่งที่สังคมกำลังต้องการมาก " ผู้อำนวยการสาวิกา สิกขาลัย ให้ข้อคิดทางธรรม
ทำไมอยากตาย
หากตั้งคำถามว่า ทำไมชีวิตและความตายของโรบิน วิลเลียมส์ เป็นบทเรียนให้กับสังคมได้ เพราะเสียงหัวเราะและรอยยิ้มที่เขาแสดงออกเป็นแค่เปลือกนอก แต่สภาวะภายในของเขาบอบบาง จนป่วยเป็นโรคซึมเศร้า
ทางองค์การอนามัยโลกคาดว่าในอีก 6 ปีข้างหน้า ทั่วโลกจะมีคนเป็นโรคซึมเศร้ามากเป็นอันดับ 2 รองจากโรคเส้นเลือดไปเลี้ยงหัวใจอุดตัน และคาดว่าคนไทยจะเป็นโรคนี้ 1 คนในทุก ๆ 20 คน
อย่างไรก็ตาม กรณีนี้มีการตั้งประเด็นเชิงเพ่งโทษว่า ทำไมเขาถึงต้องทำร้ายตัวเอง ทั้งๆ ที่มีคนรักเขามากมาย
นายแพทย์ไพฑูรย์ สมุทรสินธุ์ รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์ โรงพยาบาลศรีธัญญา อธิบายว่า โรคซึมเศร้าหรือการติดสุรา ยาเสพติด หรือการพนัน ฯลฯ มีสาเหตุที่หลากหลาย ก็เหมือนกับการเป็นไข้หรือปวดท้อง ที่ร่างกายจะแสดงอาการให้เห็น ซึ่งคำถามที่ว่าโรคนี้เป็นพันธุกรรมหรือไม่
คุณหมอบอกว่า ตามที่มีการศึกษาไว้มีผลแค่ 7 % เท่านั้น ถือว่าไม่มาก สาเหตุสำคัญของโรคซึมเศร้า มี 2 กรณีคือ 1. เกิดจากสมองส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมอารมณ์ไม่ทำหน้าที่ตามปกติ หรือสารสื่อประสาทในสมองเสียสมดุล ผู้ป่วยก็จะมีอาการ เช่น หงุดหงิดโดยไม่มีเหตุผล อยู่ดีๆ ตื่นมาก็รู้สึกเบื่อ เซ็ง ไม่มีแรง รู้สึกหดหู่ ท้อแท้ใจ ทั้งที่ชีวิตก็สุขสบายดี และ 2. เกิดจากการที่สภาพสังคมมีการแข่งขันสูง คนต้องเผชิญภาวะกดดันสูงอย่างต่อเนื่องและยาวนาน จนกระทั่งถึงจุดที่เขารู้สึกว่าหมดหวัง พึ่งพาตัวเองไม่ได้แล้ว มีผลกับสมองทำให้สารสื่อประสาทเสียสมดุล สมองควบคุมอารมณ์ทำงานไม่ได้ ผลคืออาการของโรคกำเริบ“คนที่จัดการกับความเครียดได้ดี มีมุมมองในทางบวกกับชีวิตอยู่แล้ว หรือมีญาติพี่น้องคอยช่วยเหลือประคับประคองกันไป ก็จะทำให้เขาไม่พัฒนาไปสู่การเป็นโรคซึมเศร้า มีบุคลิกภาพแปรปรวนหรือหากเป็นแล้ว ก็จะมีโอกาสหายได้ การที่คนคนหนึ่งคิดฆ่าตัวตาย ถ้าอธิบายง่ายๆ คือ เขาทนไม่ได้กับสภาพที่เขาเป็นอยู่ เขาจึงใช้การทำร้ายตัวเองเป็นทางออก ”
ส่วนสาเหตุที่ทำให้คนคิดทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตาย คุณหมอ ชี้ว่ามีทั้งคนที่มีปัญหาซึมเศร้าอย่างรุนแรง บางคนมีอารมณ์ชั่ววูบ บางคนทำไปเพื่อต้องการประชด กลุ่มหลังนี้ถ้ารอดชีวิตมาได้หรือได้รับการช่วยชีวิตไว้ได้ทันก็จะรู้สึกดีใจที่ไม่ตาย แต่บางคนใช้การทำร้ายตัวเองเป็นการสื่อสาร เพื่อบอกว่าเขากำลังเป็นทุกข์ เพราะไม่รู้จะบอกอย่างไร บางคนเคยพยายามสื่อแบบอ้อมๆ แล้ว แต่ไม่มีใครเข้าใจ
"นั่นทำให้เขาต้องเก็บงำความทุกข์เอาไว้ กรณีคนไข้หูแว่ว ได้ยินเสียงคนมาขู่ทำร้ายหรือฆ่า สามารถเป็นได้ทั้งอาการทางจิตหรือเกิดประสาทหลอนจากการใช้สารเสพติด ซึ่งแอลกอฮอล์ก็เป็นสารที่ทำให้เกิดอาการทางจิตอย่างหนึ่ง เรื่องของบุคลิกภาพ บางคนใช้การทำร้ายตัวเองเป็นเครื่องมือต่อรองหรือเพื่อลงโทษ หรือเรียกร้องความสนใจ ”
อย่างไรก็ตาม การอบรมเลี้ยงดูก็มีผลต่อชีวิตของคนๆ นั้น โดยเรื่องนี้คุณหมอ บอกว่า สภาพสังคมที่ต้องการความสะดวกรวดเร็ว พึ่งพาเทคโนโลยีสูง ทำให้เด็กๆ ไม่รู้จักคำว่า รอคอย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็รู้สึกว่ารอไม่ได้
"เมื่อเขาไม่มีประสบการณ์กับการผิดหวัง เพราะพ่อแม่ไม่เคยขัดใจลูกเลย เด็กก็ไม่มีภูมิคุ้มกัน ดังนั้นพ่อแม่ก็ต้องยอมขัดใจลูกบ้าง แต่ทำอย่างมีเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์ เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้ว่าต้องมีความอดทนและรอคอยเป็น"
ส่วนกรณีของโรบิน วิลเลียมส์ อาจมองว่าเขาเป็นอีกกรณีหนึ่งของศิลปินที่มักจบชีวิตด้วยการทำร้ายตัวเอง เหมือนกรณีที่เกิดขึ้นกับนักดนตรีหรือดาราดังๆ คนอื่น
ช่อผกา วิริยานนท์ ผู้ดำเนินรายการ ตั้งคำถามชวนคิดต่อว่า “ คนที่เป็น ‘ติส’ มาก ๆ จะอยู่ในโลกนี้ไม่ได้หรือ”
คุณหมอไพฑูรย์ ให้ข้อคิดว่า คนทุกเพศทุกวัย มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้เหมือนกัน ต้องแยกแยะระหว่างความสามารถกับบุคลิกภาพ แต่สิ่งหนึ่งที่มีร่วมกันคือ ศิลปิน หรือคนดัง มักจะต้องสูญเสียความเป็นส่วนตัว ดาราเด็กฮอลลีวูดบางคนก็เสียคน กลายเป็นคนไม่ติดดิน เพราะปรับตัวไม่ได้กับชื่อเสียงเงินทองในชั่วข้ามคืน ซึ่งเป็นแรงกดดัน จะไปพบนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ ก็ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ เพราะมีชื่อเสียงค้ำคอ
"แม้คนเป็นศิลปินจะอยู่กับเรื่องการใช้อารมณ์เยอะ แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นโรคนี้ บางคนมีทักษะในการจัดการกับอารมณ์ เขารู้ว่านั่นเป็นแค่การแสดง ไม่นำมาปะปนกับชีวิตจริง หลายคนยังสามารถไปทำงานการกุศลเป็นอาสาเพื่อช่วยสังคม แต่แนวทางการกลบปัญหายอดนิยมอย่างหนึ่งคือ การใช้ยา เมื่อใช้บ่อยๆ ก็เสพติด ทั้งติดยา การพนัน และหนึ่งในนั้นคือการติดเหล้า"
ชีวเคมีในร่างกาย
ด้านอาจารย์ ประมวล เพ็งจันทร์ นักวิชาการอิสระ นำประสบการณ์มาแบ่งปันว่า เคยมีคนมาปรึกษากับเขา 2 คน เกี่ยวกับเรื่องการฆ่าตัวตาย คนแรกเป็นนักศึกษาระดับปริญญาโท เรียนดี มีความรับผิดชอบสูง ส่วนอีกคนเป็นพระ ซึ่งเรียนจบระดับปริญญาเอก มีความรับผิดชอบดีมากเช่นกัน แต่มีปัญหาเรื่องชีวเคมีในร่างกาย ต้องฉันยาเป็นประจำ จึงอยากทดลองหยุดยา สุดท้ายก็หยุดยาได้ และเท่าที่สังเกต ทั้ง 2 คน ไม่มีท่าทีที่จะทำร้ายตนเองเลย
"ผมก็เลยสงสัยว่า ในใจของทั้ง 2 คนต้องมีสภาวะอะไรบางอย่าง ที่เราไม่สามารถที่จะเข้าถึงความหมายได้ เหมือนเขาพยายามสร้างระบบเหตุผลขึ้นมา โดยมีความรู้สึกอย่างหนึ่งที่อยู่ในใจตลอด คือ “อยากตาย” ผมเองก็ไม่มีความรู้เรื่องการรักษา เน้นการสื่อสารด้วยเรื่องทางจิตใจอย่างเดียว ทั้งที่ประเด็นเรื่องชีวเคมีก็มีความสำคัญมาก ต้องเข้าใจให้ตรงกันว่า บางทีสาเหตุอยากฆ่าตัวตาย ไม่ได้มาจากจิตใจอย่างเดียว แต่มาจากปฏิกิริยาโครงสร้างทางชีวภาพของเรา”
นั่นเป็นอีกเหตุผลที่นายแพทย์ไพฑูรย์ บอกว่า กรณีผู้ป่วยเคยกินยาอยู่ เมื่อไม่อยากกิน ต้องปรึกษาแพทย์ก่อน อย่าเพิ่งหยุดยาเอง
"การป่วยด้วยโรคนี้ ปัจจุบันมีการศึกษายืนยันแล้วว่า การทำงานของสมองแยกส่วน ทั้งคำพูด ความคิด พฤติกรรม หากสมองส่วนที่ควบคุมอารมณ์เสียสมดุล ไม่ต้องกลัวว่ายาเข้าไปกล่อมประสาท ทำให้ลืม เพราะกินแล้วรู้สึกง่วง นั่นเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง การง่วงเป็นผลข้างเคียงของยา แต่ความจริงคือ ยาเข้าไปปรับสมดุลของสารสื่อประสาทในสมอง เป็นการแก้ที่สาเหตุ และต้องใช้เวลานาน แม้ว่าอาการจะดีขึ้น”
อีกมุมมองที่น่าสนใจ ดร.วุฒินันท์ กันทะเตียน อาจารย์จากมหาวิทยาลัยมหิดลและอาจารย์พิเศษของสาวิกา สิกขาลัย บอกว่า เมื่อคนเราติดอยู่ในความรัก ก็ตายเพราะความรัก ติดอยู่ในความโกรธ ก็ตายเพราะความโกรธ ติดอยู่ในความหลง ก็ตายเพราะความหลง แนวทางพุทธศาสนาแบ่งโรคไว้ 2 ประเภท คือ โรคทางกาย และโรคทางใจ หมอรักษาโรคทางกายได้ แต่ทางใจยังไม่มียารักษา แม้แต่คุณหมอไพฑูรย์ ก็ยอมรับว่า ยังไม่เชื่อว่าโรคซึมเศร้าจะรักษาได้ด้วยยาอย่างเดียว
จากการศึกษาและรวบรวมเกี่ยวกับแนวทางที่มีการนำเอาวิธีการทางพุทธศาสนามาใช้บำบัดเยียวยาผู้ป่วยทางจิตเวช ก็มีหลากหลาย เช่น การจัดกลุ่มบำบัด การทำกิจกรรม ซึ่งต้องจัดให้ตามลักษณะอาการของผู้ป่วย ที่สำคัญ ต้องทำควบคู่ไปกับการรับยา เรียกว่า การรักษาทางจิตและทางกายควบคู่ไปด้วยกัน
วิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมคือ LKM Loving-kindness meditation คือการทำสมาธิกรรมฐานแบบการเจริญความรักเมตตา ซึ่งโครงการอาจจะใช้เวลา 3 เดือน 4 เดือนหรือหลายสัปดาห์
วิธีนี้ต้องอาศัยผู้บำบัดที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน มาประเมินแล้วแนะนำ จะช่วยให้ผู้ป่วยเริ่มรู้จักและยอมรับตัวเอง รักตัวเอง สงสารตัวเองเป็น จนค่อยๆ เลิกคิดร้ายต่อตัวเอง ขณะเดียวกันก็จะขจัดความคิดที่มองโลกในแง่ร้ายออกไป แต่ไม่ใช่ทุกอาการจะใช้วิธีนั่งสมาธิได้ เช่น ถ้ามีอาการหูแว่ว นั่งหลับตาจะยิ่งได้ยินชัดขึ้น มันเป็นการบังคับไม่เป็นธรรมชาติ นอกจากการทำสมาธิแล้ว ยังมีการจัดกิจกรรมให้ ปั่นจักรยานหรือกิจกรรมกลุ่มต่างๆ
"สิ่งสำคัญคือเราต้องรักตัวเองให้เป็น ซึ่งเป็นหัวใจของการคิดเชิงบวก อย่าปล่อยให้ความคิดทับถมตนเอง จนกลายเป็นความเครียด" อาจารย์วุฒินันท์ กล่าวถึงพุทธพจน์ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้







