"ชุมพร" ตอน เรือเล็กควรออกจากฝั่ง

ฟ้าก็ใส ทะเลก็สวย แถมยัง "รวย" ซะด้วย จะไม่ไปทำความรู้จักและเรียนรู้วิถีชีวิตผู้คนในเมืองที่น่ารักแห่งนี้ คงเ
จะบอกว่า เป็นจังหวัดที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจก็คงไม่ผิดนัก สำหรับประตูสู่ภาคใต้อย่าง "ชุมพร" เพราะผู้คนที่นี่ล้วนแล้วแต่มี "วิธีคิด-วิธีทำ" ที่ควรนำไปเป็นเยี่ยงอย่างสารพัด
แต่กว่าจะลืมตาอ้าปากและสร้างโอกาสให้กับตัวเองได้นั้น พวกเขาเคยผ่าน "มรสุมแห่งชีวิต" มาแล้วทั้งสิ้น
"...หัวใจคำราม ฟ้าครามไม่สร้างใคร ทะเลจะสร้างคน ด้วยอันตราย พายุ ถั่งโถม สักเพียงไหน จะไม่ยอมแพ้คำขู่ เรียนรู้ และสู้ไป..." นั่นแหละ ชาวชุมพรที่เรารู้จักเป็นแบบนั้น (ขอบคุณเนื้อเพลง "เรือเล็กควรออกจากฝั่ง" ศิลปิน บอดี้สแลม)
ชุมพร ค่อนข้างมีชื่อเสียงในแง่ของการเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ ทั้งทรัพยากรทางทะเล โดยมี "อ่าวไทย" เป็นจุดหมายหลัก ภายใต้การดูแลของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร ส่วนทรัพยากรป่าไม้ ที่มีชื่อเสียงมากคือ "ป่าพะโต๊ะ" เป็นแหล่งรวมพืชพันธุ์หายากต่างๆ มากมาย นอกจากนี้ยังมีสวนผลไม้ ไร่กาแฟ ฯลฯ รวมถึงชุมชนท่องเที่ยวที่มีทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งพร้อมเปิดประตูต้อนรับผู้มาเยือนด้วยความยินดีอีกนับไม่ถ้วน
และที่เกริ่นไว้แต่แรกว่าที่นี่ "รวย" นั้น ก็ไม่ใช่มูลค่าของทรัพย์ศฤงคารแต่ประการใด หากเป็น "ทรัพยากร" ที่หลากหลายนั่นเอง
1.
การเดินทางมาเยือนชุมพรในครั้งนี้มีจุดตั้งต้นอยู่ที่การร่วมกิจกรรม "วิ่งแหวกทะเลสู่เกาะพิทักษ์ หลังสวนมินิมาราธอน ครั้งที่ 10 ปี 2557" ณ บริเวณเกาะพิทักษ์ อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร คิดไว้ดิบดีก่อนมาว่า จะต้องลงสมัครเพื่อพิสูจน์ความอึดของตัวเองสักตั้ง แต่เมื่อมาเห็นเส้นทาง 14 กิโลเมตรแล้ว ขอเขยิบออกมาเป็นผู้สังเกตการณ์จะดีกว่า
แน่นอนว่า หลังประเพณีวิ่งประจำปีจบลง เราก็มีโอกาสได้ยลโฉม "ชุมพร" แบบเจาะลึกจริงๆ อีกครั้ง เริ่มตั้งแต่เดินเท้าสำรวจ เกาะพิทักษ์ ซึ่งเป็นปลายทางของกิจกรรมวิ่งมาราธอน
เคยได้ยินชื่อเกาะพิทักษ์มาเนิ่นนาน เพิ่งจะได้มาสัมผัสจริงๆ ก็คราวนี้ เกาะพิทักษ์ เป็นเกาะเล็กๆ ที่ใช้เวลาเดินไม่ถึงครึ่งวันก็รอบ แต่สำหรับคนชอบวิถีชีวิต อาจต้องใช้เวลามากกว่านั้น เพราะตลอดเส้นทางริมชายหาด จะมีเรื่องราวที่น่าสนใจคอยดักเราไว้ตลอดทาง
วัฒนธรรม "ส่งแกง" เป็นเรื่องราวน่ารักๆ ที่เรายังคงเห็นได้ในเกาะพิทักษ์ นั่นแสดงถึงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และความรักกันฉันท์พี่น้อง ส่วนวิถีชีวิตที่น่าสนใจคงเป็นการทำประมงแบบใส่ใจธรรมชาติ คือชาวบ้านจะช่วยกันอนุรักษ์ปลาตัวเล็ก และจับเฉพาะปลาตัวใหญ่ เพื่อให้ลูกหลานของมันได้เติบโตและให้กำเนิดลูกหลานต่อไป
ใครที่ชอบปลาอินทรีย์ ปลากุเลา ปลาจวด ปูม้า หมึกกระตอย ขอบอกว่า ที่นี่มีของอร่อยๆ ที่ว่ามาเพียบ
บนเกาะพิทักษ์เราสามารถเดินรอบเกาะได้สบายๆ โดยมีถนนที่ปูพื้นด้วยตัวหนอนให้เดินก้าวต่อก้าวไปได้ ซึ่งจริงๆ เกาะนี้เหมาะกับคนที่ชอบใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่มีสิ่งบันเทิงให้รกหูรกตา ถ้าอยากสงบๆ หน่อยก็เดินขึ้นไปที่จุดชมวิวอีกราว 200 เมตร ก็จะได้เห็นวิวทะเลอ่าวไทยแบบสุดลูกหาลูกตา แถมข้างบนอากาศดีแบบไม่มีฝุ่นควันใดๆ ให้ระคายเคืองเลยทีเดียว
เกาะพิทักษ์ได้ชื่อว่าเป็นชุมชนที่อนุรักษ์สภาพแวดล้อมทางทะเลได้ดีเด่นไม่แพ้เกาะไหนๆ โดยที่นี่เป็นศูนย์อนุรักษ์หอยมือเสือ และปะการังสวยงามรอบเกาะ รวมถึงเกาะใกล้เคียงอย่าง "เกาะคราม" ซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไปราว 1 กิโลเมตร ที่นั่นมีปะการังเขากวาง ปะการังสมอง หอยมือเสือ และปลาทะเลสวยงามให้ได้ชมกันแบบไม่รู้เบื่อ
ผละจากเกาะแห่งการอนุรักษ์ เราเปลี่ยนบรรยากาศด้วยการนั่งเรือออกไปในทะเล สัมผัสสีเขียวเข้มๆ ของน้ำเค็มในอ่าวไทย ได้ยินว่าที่ เกาะง่ามน้อยและเกาะง่ามใหญ่ มีโลกใต้ทะเลที่ได้รับการการันตีว่า "ดีเยี่ยม" ที่สุดแห่งหนึ่งเลยทีเดียว
เกาะทั้งสองแห่งนี้เป็นเกาะสัมปทานรังนกนางแอ่นที่ต้องได้รับอนุญาตก่อนจึงจะขึ้นเกาะได้ แต่สำหรับนักท่องเที่ยวไม่จำเป็นต้องขึ้นเกาะ เลยไม่ต้องขอให้ใครอนุมัติ เราเพียงแต่มาขอชื่นชมธรรมชาติใต้ทะเลเท่านั้น ซึ่งหากคลื่นลมดีๆ ไม่มีพายุใดๆ มารบกวน จุดดำน้ำตื้นเกาะง่ามใหญ่จะเป็นสวนป่าใต้น้ำที่น่าทึ่งมาก แต่สำหรับทริปนี้มี "คลื่นเล็กน้อยถึงปานกลาง" ขนาดเรือเล็กยังควรงดออกจากฝั่ง แต่เราดันทุรังมาแล้ว ลงสำรวจโลกใต้ทะเลที่เกาะง่ามน้อยสักหน่อยจะเป็นไรไป
หลายครั้งที่การเดินทางทำให้เราได้เห็นพฤติกรรมที่ "ไม่ควร" ของมนุษย์ โดยเฉพาะเมื่อมาทะเล ภาพนักท่องเที่ยวโยนขนมปังให้ปลานั้นหาดูไม่ยากเลย ซึ่งจริงๆ มีการรณรงค์ "เลิกให้อาหารปลา" มานานถึงนานมาก แต่ก็ดูว่าจะมีมนุษย์บางจำพวกสะกดคำว่า "รักษ์" ไม่เป็น
ให้อาหารปลาไม่ดีตรงไหน ดูสิปลามากินกันเยอะแยะ ไม่อดตายด้วย - บางคนอาจแย้งด้วยเหตุผลง่ายๆ แต่รู้หรือไม่ว่า พฤติกรรมเหล่านั้นอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ใต้ทะเลในวงกว้าง ปลามันชอบกินขนมปังก็จริง แต่สิ่งเหล่านั้นอาจมีผลต่อพฤติกรรมของปลา อาจจะทำให้มันเป็นสัตว์ที่ก้าวร้าวกว่าที่ควรจะเป็น และแน่นอน มันจะหากินด้วยตัวเองลำบาก
บ่นเป็นมนุษย์ป้ามาพอสมควรแล้ว ขึ้นฝั่งกันดีกว่า เรือเร็วขนาดเล็กพาเราฝ่าคลื่นที่สูงเป็นเมตรมาจนถึงแผ่นดินจนได้ เมื่อรู้สึกว่าได้กลับมาอย่างปลอดภัยเราก็เดินทางตรงไปยัง หาดทรายรี เพื่อกราบสักการะ "เสด็จเตี่ย" ที่คุ้มครองเราให้รอดกลับมาได้ (เล่าซะอย่างกับไปผจญภัยมา-ฮา)
ณ หาดทรายที่ได้ชื่อว่าขาวสะอาดและได้รับความนิยมมากที่สุดในชุมพร ที่นี่คือสถานที่ตั้งของอนุสรณ์สถานของพลเรือเอกพระบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หรือ ศาลกรมหลวงชุมพรฯ ผู้ทรงสถาปนากองทัพเรืออันทันสมัยให้กับประเทศไทย และยังมีเรือรบหลวงชุมพรให้ผู้คลั่งไคล้กลิ่นไอสงครามได้เก็บภาพความประทับใจกลับไปด้วย
ใกล้ๆ กันนี้มีแหล่งท่องเที่ยวที่อยากแนะนำอีก 2 แห่ง นั่นคือ เส้นทางศึกษาธรรมชาติภายใน อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร ที่นี่มีป่าชายเลนขนาดใหญ่ให้เราได้เดินศึกษา มองไปบนฟ้าอาจจะเห็นนกเหยี่ยว นกนางแอ่น แล่นถลาลม มองลงมาบนพื้นระดับสายตา ป่าโกงกาง เสม็ด แสม ยืนต้นให้เราชื่นชมแน่นขนัด และเมื่อไรที่เรากวาดสายสายมองไปในพื้นที่ชุ่มน้ำด้านล่าง จะเห็น "ปูก้ามดาบ" ต่อสู้กันอยู่อย่างสนุกสนาน
เมื่อสำราญบานตะไทแล้วเราก็เดินทางขึ้นไปที่ เขามัทรี กันต่อ ที่นี่เป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นชุมพรได้ 360 องศา และเมื่อตะวันทำท่าอำลาผืนแผ่นดิน หรีดหริ่งเรไรก็พร้อมใจกันตอกบัตรเข้าทำงาน
2.
ระหว่างทางจากอำเภอหลังสวนเลาะมาที่อำเภอทุ่งตะโก เราแวะ ศูนย์เรียนรู้กสิกรรมธรรมชาติ(สวนลุงนิล) พืชคอนโด 9 ชั้น ซึ่งตั้งอยู่ในตำบลช่องไม้แก้ว เพื่อศึกษากระบวนการทำเกษตรอินทรีย์แบบพอเพียงกันสักหน่อย ซึ่งถ้าใครได้ผ่านชุมพรอยากให้แวะที่นี่ เพราะ ลุงนิล หรือ สมบูรณ์ ศรีสุบัติ เจ้าของคอนเซ็ปต์ "พืชคอนโด 9 ชั้น" นั้น มีประสบการณ์ชีวิตที่น่าศึกษา ถึงขั้นน่าจะมีผู้กำกับจับเอาชีวิตแกไปสร้างหนังเลยทีเดียว
สวนลุงนิล เป็นสวนเกษตรแบบผสมผสานที่มีเอกลักษณ์ คือทำลักษณะพืชคอนโด 9 ชั้น เริ่มชั้นแรกจากพืชประเภทหัว เช่น ขมิ้น กระชาย กลอย มัน ขยับขึ้นมาชั้นที่ 2 เป็นพืชน้ำ กลุ่มผักบุ้ง ผักกะเฉด บัว ชั้นที่ 3 เป็นพืชสมุนไพรต้นเตี้ย เช่น ตะไคร้ ผักสวนครัว ต่อขึ้นมาชั้นที่ 4 มีส้มจี๊ด เป็นดารานำ
ชั้นที่ 5 ลุงนิลว่าต้องเป็นกล้วย ส่วนชั้นที่ 6 นั้นเป็นต้นไม้ยืนต้นทั้งหลาย ทั้งทุเรียน ลำไย ลองกอง หมาก สะตอ ส่วนพืชที่พอจะอนุมานให้อยู่ในชั้นที่ 7 คือไม้เลื้อยอย่างพริกไทย ที่สามารถชอนลำต้นไปตามไม้ใหญ่ได้ ชั้นที่ 8 เป็นไม้ใช้สอยในระยะยาวอย่างตะเคียนทอง และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของธนาคารต้นไม้ จบที่ชั้นที่ 9 ไม้ใหญ่ให้ร่มเงาจำพวกยางนา ประดู่ ตะแบก
ลุงนิลว่า กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ก็แทบแย่เหมือนกัน ลุงนิลบอกว่าแกเคยทำร้านอาหารรายได้วันละเป็นแสน แล้วก็ทำสวนทุเรียนกะไว้เป็นสวนในบั้นปลายชีวิต แต่ก็เจ๊งไม่เป็นท่า หนี้สินประดังเข้ามาท่วมหัว จนถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย เดชะบุญว่ามี "ในหลวง" เป็นแรงบันดาลใจให้ลุงนิลลุกขึ้นมาสู้อีกครั้ง
"เดินไปหยุดอยู่ใต้ต้นทุเรียน เงยหน้าขึ้นไปดู ต้นไม้ที่เรารักที่สุดตายแล้ว ยืนกอดต้นไม้เหมือนคนบ้า คิดว่าเราจะตายก่อนมันแต่มันดันไปก่อนเรา คิดถึงลูกชาย คิดว่ามีทางเดียวแล้วที่จะรักษาแผ่นดินให้ลูกได้คือความตาย เพราะเรามีประกันเยอะ กลับไปคว้าปืนออกมา เห็นหน้าลูก ตายไม่ลง วันนั้นวันที่ 4 ธันวาคมพอดี ตอนเย็นในหลวงพูด ฟังจบยกมือพนมขึ้นเหนือหัวเลย ต่อจากนี้ลูกจะเดินตามรอยเท้าพ่อ ไม่นานเลยครับ แค่ 7 ปีให้หลัง เราสามารถยืนขึ้นมาได้อีกครั้ง จากคนที่เป็นหนี้ 3 ล้านกว่า เราสามารถหลุดหนี้ได้ด้วยเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยพระบารมีของพระองค์ท่าน"
เราเดินเข้าไปในสวนลุงนิลที่รกชัฎ อ่านไม่ผิดหรอก มันรกมากจริงๆ ซึ่งความรกนี้คือความตั้งใจ เพื่อให้พืชคลุมดินต้นเล็กๆ ได้ดูดซับน้ำไว้ยามแล้งน้ำ ทั้งยังเป็นปุ๋ยเสริมสร้างธาตุอาหารให้ต้นไม้ใหญ่ด้วย
"ตั้งปณิธานไว้ว่า ต่อจากนี้เวลาที่เหลือจะขอเพาะกล้าเมล็ดเศรษฐกิจพอเพียงให้งอกขึ้นในแผ่นดินนี้ให้มากที่สุด และก็จะขอตายอยู่กับเศรษฐกิจพอเพียงนี่แหล่ะ" นั่นเป็นความตั้งใจที่ลุงนิลบอกกับเราและทุกคนที่ได้พบเจอแก
ขยับเข้าใกล้อำเภอเมืองอีกสักหน่อย ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่อง "กาแฟดี" โดยมีกาแฟสายพันธุ์โรบัสต้าเป็นดาราหลัก เราแวะไปที่ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มบ้านถ้ำสิงห์ ซึ่งเป็นชุมชนที่ผลิตกาแฟรสชาติดีออกมาให้ชาวไทยและชาวโลกได้ชิมจนชื่นลิ้นกัน
นิคม ศิลปศร ประธานกลุ่มกาแฟถ้ำสิงห์ เล่าว่า ที่นี่ปลูกกาแฟมาตั้งแต่ปี 2510 และค่อยๆ สร้างชื่อเรื่อยมา กระทั่งปี 2522 ถือว่ากาแฟบ้านถ้ำสิงห์โด่งดังสุดขีด ราคาขายสูงถึง 120 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ชาวบ้านหันมาปลูกกาแฟกันมากขึ้น แต่ที่สุดแล้วราคากาแฟก็ค่อยๆ ตกต่ำลง ยิ่งมาเจอ "พายุเกย์" ที่โหมกระหน่ำในปี 2532 ทำให้เกษตรกรสูญเสียต้นกาแฟไปทั้งหมด รัฐบาลในยุคนั้นเริ่มโครงการลดพื้นที่ปลูกกาแฟเพื่อลดอัตราการล้นตลาด โดยมอบเงิน 6,800 บาท/ไร่ ให้เกษตรกร จนในที่สุดก็เหลือพื้นที่ปลูกเพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
"ผมอยากคงคำขวัญของชุมพรอยู่คู่กับชุมชน(ชุมพรประตูภาคใต้ ไหว้เสด็จในกรม ชมไร่กาแฟ แลหาดทรายรี ดีกล้วยเล็บมือ ขึ้นชื่อรังนก) จึงหันมาส่งเสริมให้ปลูกกาแฟ และใช้รูปของกลุ่มวิสาหกิจเข้ามาช่วยเรื่องรายได้ จนตอนนี้เรามีกาแฟหลายแบบให้บริการ" ประธานกลุ่มบอก ทั้งยังเสริมอีกว่า กาแฟถ้ำสิงห์คุณภาพดีถึงขั้นที่มีบริษัทกาแฟยักษ์ใหญ่ขอซื้อเมล็ดไปผลิตกาแฟส่งขายทั่วโลกด้วย
อีกหนึ่งชุมชนที่ลุกขึ้นสู้ด้วยตนเอง นั่นก็คือ ชุมชนบ้านทุ่งยอ ตำบลชุมโค อำเภอปะทิว ซึ่งจริงๆ แล้วจุดเด่นของที่นี่ไม่ใช่ความสวยงามของชุมชน หากแต่เป็น "ทรัพยากรใต้น้ำ" โดยมี "หอยมือเสือ" เป็นดารานำ
ธนเทพ กมศิลป์ ผู้ใหญ่บ้านทุ่งยอ เล่าว่า ที่ เกาะไข่ เป็นแหล่งชุมนุมของหอยมือเสือ แต่หลายปีมานี้ลดลงมาก เพราะมีนายทุนเข้ามาจับไปขายต่างถิ่นเยอะ ชาวบ้านจึงพยายามช่วยกันดูแล โดยมีกรมวิชาการ ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งชุมพร เป็นพี่เลี้ยงหลัก
"เดิมเกาะไข่ก็อยู่แบบนี้ ชาวประมงไปหาปลา ไปเห็นเต่าขึ้นไข่เยอะมาก เลยเรียกว่าเกาะไข่ แต่หลังจากพายุเกย์ ปี 2532 เข้ามา ตรงนี้เลยกลายเป็นสุสานปะการัง ถามว่ามีเต่ามาไข่มั้ย คือถ้าจะมีก็อาจจะน้อยแล้ว และหลังจากนั้นวิถีชีวิตของชาวบ้านเปลี่ยนไป จากทำประมง มีสวนสมรมบ้างอะไรบ้าง พายุเกย์มาทีเดียวไปหมดเลย รัฐบาลเอาปลามาให้ เอายางมาให้ ทีนี้น้ำยาฆ่าหญ้าอะไรก็ไหลลงมาทะเลหมดเลย ระบบนิเวศน์ก็หายไป เราได้ของแจกมาก็จริง แต่ก็ทำลายสิ่งแวดล้อมด้วย"
เมื่อตระหนักได้ว่าสิ่งที่คนอื่ยยัดเยียดให้ไม่เหมาะสมกับพื้นที่ ผู้ใหญ่และลูกบ้านจึงกลับมาพิจารณาว่าควรจะมอบสิ่งดีๆ กลับคืนสู่ชุมชนของตัวเองสักครั้ง
"เราก็รณรงค์โดยใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ทำเกษตรอินทรีย์ แล้วก็รณรงค์ให้เกษตรต้นน้ำใช้ปุ๋ยอินทรีย์มากขึ้น นอกจากนี้ในทะเลเราก็ออกกติกาหมู่บ้าน ให้ช่วยกันสอดส่อง อย่างกฎหมายไม่ให้เรือขนาดใหญ่เข้ามาหากินใกล้หาดเกินกว่า 3 กิโลเมตร แต่ส่วนมากเรือประมงขนาดใหญ่ก็จะลากเข้ามาเกิน ทำให้เรือเล็กทำมาหากินไม่ได้ แต่โชคดีที่เรามีรั้วธรรมชาติ เป็นแนวหินป้องกัน ก็ทำให้เรือใหญ่เข้ามาไม่ได้"
ในส่วนของการอนุรักษ์หอยมือเสือ ซึ่งนับวันจะลดลงไปทุกที ชาวบ้านละแวกนี้ก็จะช่วยกันออกเรือเล็กไปสอดส่องดูแล และทุกๆ ปีก็จะมีกิจกรรมปล่อยหอยมือเสือ โดยได้รับลูกหอยมือเสือที่เพาะพันธุ์โดยกรมวิชาการ ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งชุมพร
ความใส่ใจของชาวบ้าน กอปรกับการท่องเที่ยวอย่างมีจิตสำนึกของนักเดินทาง ทำให้ใต้น้ำบริเวณเกาะไข่ละลานตาไปด้วยหอยมือเสือที่พากันอ้าปากหายใจ พร้อมๆ กับกินอาหารที่ลอยไป-มากับสายน้ำ ภาพน่ารักๆ ของหอยมือเสือเมื่อยามมีชีวิตอยู่ดูสดชื่น สดใส และมันควรจะมีลมหายใจอยู่เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนเกาะไข่เท่านั้น ไม่ใช่ไปนอนไร้วิญญาณอยู่บนจานอาหารของใคร
อย่างไรเสีย ผู้ใหญ่และชาวบ้านทุ่งยอก็ยืนยันว่า พวกเขาจะปกป้องดูแล และช่วยกัน "ไล่โจร" ต่อไป ตราบใดที่หัวใจยังมีรักษ์
เข้ามาเห็นความสุขสบายของผู้คนในจังหวัดชุมพรแล้ว เรามองอดีตที่แสนรันทดของพวกเขาแทบไม่ออกเลย แต่แน่นอนว่า อดีตคือบทเรียนสอนใจที่ชาวชุมพรจะจำมันไว้จนวันตาย
มีคนเคยเปรียบเปรยว่า ชีวิตก็เหมือนเรือลำน้อยที่ลอยล่องอยู่ในทะเล กว่าจะถึงปลายทางต้องเจอทั้งคลื่นลมและพายุร้าย แต่ถ้าเราไม่ออกไปเพื่อพบเจอมัน เราก็จะไม่เจอปลายทางที่สดใส ที่สุดแล้วการฝ่าฟันอุปสรรคร้ายๆ ก็ทำให้เราได้เห็น "คุณค่า" ในตัวเอง
...................
การเดินทาง
ชุมพรอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ไม่ถึง 500 กิโลเมตร สามารถเลือกเดินทางได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบิน มีสายการบินนกแอร์ www.nokair.com และแฮปปี้แอร์ www.happyair.co.th ให้บริการ ส่วนรถไฟมีทั้งรถเร็ว รถด่วน สอบถามได้ที่ โทร. 1690 หรือ 0 2220 4334 รถโดยสารประจำทางจะมีรถออกจากสถานีขนส่งสายใต้ ถนนบรมราชชนนีไปชุมพรทุกวัน เลือกใช้บริการได้โดยสามารถสอบถามรายละเอียดที่ โทร. 0 2894 6122, 0 2422 4444 สำหรับรถยนต์ จากกรุงเทพฯ แนะนำให้ใช้ทางหลวงหมายเลข 35 (ธนบุรี-ปากท่อ) จากนั้นแยกเข้าทางหลวงหมายเลข 4 ถนนเพชรเกษม มุ่งหน้าลงใต้ ผ่านจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ จนถึงสี่แยกปฐมพร ให้เลี้ยวซ้ายเข้าจังหวัดชุมพร แต่ถ้าจะไปอำเภอหลังสวนก็วิ่งลงใต้ตามป้าย "หลังสวน" ต่อไปอีก ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ก็อยู่ระหว่างทาง
สอบถามข้อมูลการท่องเที่ยวและรายละเยดต่างๆ ได้ที่ ททท.สำนักงานชุมพร โทร. 0 7750 1831, 0 7750 2775-5




