ถอดรหัส 'ฆาตกรรม'

หลังฉากคดีฆาตกรรม กับ 2 ทฤษฎี เกี่ยวกับบื้องหลังการก่อเหตุที่แม้แต่ตัวฆาตกรเอง บางครั้งก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ทำไปทำไม!?
จากคดีสะเทือนขวัญเมื่อมีคนร้ายก่อเหตุฆ่าข่มขืน ด.ญ.อายุ 13 ปี บนโบกี้รถไฟสายสุราษฎร์ธานี-กรุงเทพฯ จากนั้นก็โยนร่างเหยื่อทิ้งจากหน้าต่างลงข้างทาง
ตามคำให้การของคนร้ายที่สารภาพภายหลังว่า ได้เสพยาบ้ามาตั้งแต่ต้นทาง จ.นครศรีธรรมราช และเสพอีกครั้งบนขบวนรถรวม 2 เม็ด และยังได้ดื่มเบียร์ร่วมด้วย
ระหว่างนั้นเห็นเหยื่อหน้าตาดี ก็สนใจ และสบโอกาสยามดึกที่ผู้โดยสารหลับกันหมด จึงลงมือก่อเหตุ แต่เนื่องจากกลัวความผิดจึงตัดสินใจยกร่างเหยื่อขึ้นพาดกับหน้าต่าง และผลักลงไป
จากการตรวจสอบประวัติของคนร้าย พบว่า เป็นลูกจ้างเฉพาะงานที่เพิ่งสอบผ่านการคัดเลือกด้วยการสัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 10-13 มิถุนายนที่ผ่านมา และทั้งๆ ที่มีประวัติเคยถูกจับกุมในข้อหาจำหน่ายยาเสพติด เมื่อปี 2552 แต่กลับได้รับเลือกให้เข้ามาทำงานในบริการขนส่งสาธารณะซึ่งต้องใกล้ชิดกับประชาชนทั่วไป
..นอกเหนือจากคนร้ายที่ยอมรับสารภาพเพราะจำนนต่อหลักฐานแล้ว ทราบไหมว่า ในทางทฤษฎี ยังมี "ผู้สมคบคิด" รายใดอีกบ้าง ที่ร่วมก่อเหตุสะเทือนขวัญครั้งนี้ ?
- ผ่า 'สมอง' ฆาตกร
ทฤษฎีเกี่ยวกับความผิดปกติของสมอง เป็นแนวทางหนึ่งของการอธิบายพฤติกรรมของคนร้ายซึ่งมีความอำมหิตชนิดที่คนทั่วไปไม่กล้าทำ โดย นพ.ชัชพล เกียรติขจรธาดา ผู้เขียนหนังสือ เรื่องเล่าจากร่างกาย อธิบายถึงพฤติกรรมต่างๆ ของผู้คน ล้วนเป็นผลมาจาก "สมอง" ด้วยกันทั้งสิ้น
คุณหมอคนดังเปรียบเทียบสมองว่า ไม่ต่างอะไรกับ Hardware เอาไว้สั่งการพฤติกรรมต่างๆ ซึ่งโดยทั่วไปมนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่มีความพิเศษตรง 'สมองส่วนหน้า' มีหน้าที่ควบคุมพฤติกรรม ให้มีการยับยั้งชั่งใจเพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคม
..เรื่องนี้สังเกตได้ง่ายๆ กับเด็กเล็กที่สมองส่วนหน้ายังไม่แข็งแรง ก็จะมีภาวะควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้
"สมมติเราเล่นซ่อนหากับเด็กๆ แล้วเราถามเขาว่า อยู่ไหนน้า.. เขาจะอดรนทนไม่ได้ ต้องโผล่ออกมาหาเราเอง หรือ ถ้าเราวางขนมไว้ตรงหน้าเขา และบอกว่า ทานไม่ได้นะ แต่ปรากฏว่า แป๊บเดียวเท่านั้น เขาก็คว้าขนมเข้าปากแล้ว นั่นคือ ผลจากการที่สมองส่วนหน้ายังโตไม่เต็มที่ ทำให้ไม่สามารถยับยั้งชั่งใจได้" นพ.ชัชพล อธิบาย
ประเด็นก็คือ สมองของคนเราทำงานอย่างสมดุลกัน โดยมีทั้ง "แรงขับ" และ "แรงยับยั้ง" แต่เมื่อสมองส่วนหนึ่งมีปัญหา แรงยับยั้งไม่เกิด ก็มีโอกาสที่แรงขับที่เป็นไปตามสัญชาตญาณพื้นฐานจะทำงานเต็มที่
กรณีของสมองผิดปกติจนทำให้เกิดเหตุฆาตกรรมสะเทือนขวัญที่ นพ.ชัชพล ยกตัวอย่างถึง คือ เหตุการณ์กราดยิงในมหาวิทยาลัยเท็กซัส (University of Texas : Austin) เมื่อปี 1966 จนมีผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตไป 16 คน และบาดเจ็บอีก 32 คน โดยมือปืนนามว่า ชาร์ลส วิตแมน ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจวิสามัญในที่เกิดเหตุ
ส่วนหนึ่งของจดหมายลาตายที่วิตแมนเขียนไว้ เขาขอให้มีการชันสูตรศพเขาเพื่อค้นหาถึงต้นตอของอาการปวดหัวที่รุนแรงมากขึ้น ที่เขาสันนิษฐานว่า น่าจะส่งผลต่อหลายๆ การกระทำที่เขาได้ทำลงไปทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากจะให้เป็นเช่นนั้น
สิ่งที่ทีมแพทย์พบหลังการชันสูตร ก็คือ วิตแมน มี "เนื้องอก" ซึ่งไปกดสมองส่วนของการยับยั้ง ควบคุม จนส่งผลให้เขามีอารมณ์รุนแรง เกรี้ยวกราด ควบคุมตัวเองไม่ได้ และมีแรงขับที่ทำให้เขาฆ่าคนไปมากมาย
...หรืออีกหนึ่งเคสที่ นพ.ชัชพล ยกตัวอย่างไว้ก็คือ กรณีที่มีผู้ป่วยรายหนึ่งเกิดมีพฤติกรรมอยากร่วมเพศกับเด็ก กระทั่งเขาถูกตำรวจจับ และต่อมาตรวจพบว่า มีเนื้องอกในสมองต้องเข้ารับการผ่าตัด
ระหว่างนั่งรอหมอ เขาก็ไม่สามารถยับยั้งพฤติกรรมของตัวเองได้ถึงขนาดจับก้นพยาบาลที่เดินผ่าน แต่หลังจากผ่าเนื้องอกออกไปแล้ว ปรากฏว่า แรงขับทางเพศที่ไม่สามารถยับยั้งได้ก็หายไป แต่หลายเดือนต่อมา เขาโดนจับอีกครั้งด้วยข้อหาเดิม เมื่อไปตรวจก็พบว่า เนื้องอกได้กลับมาโตขึ้นอีกครั้ง
ทั้งสองเคสข้างต้นคือ กรณีสุดโต่งที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของ 'สมอง' แต่นอกจากนี้ เหตุของความรุนแรงก็ยังมีเรื่องของ 'พันธุกรรม' และ 'สิ่งแวดล้อม' เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องอยู่บ้าง
"ยกตัวอย่าง มีทารกสองคน คนหนึ่งขี้หงุดหงิด กับอีกคน ยิ้มง่าย ร่าเริง ซึ่งล้วนแต่ส่งผลต่อคนเลี้ยง เพราะใครๆ ก็ชอบเล่นกับเด็กร่าเริงยิ้มง่าย แต่สำหรับเด็กที่ขี้หงุดหงิด คนเลี้ยงก็เครียด มีแรงกดดันส่งไปถึงเด็ก พอโตขึ้นก็ยิ่งมีแนวโน้มของพฤติกรรมที่ชัดเจนมากขึ้น และมีการจับกลุ่มคนที่มีพฤติกรรมคล้ายกัน นั่นก็ยิ่งเป็นการผลักให้เกิดความต่างมากขึ้นเรื่อยๆ" นพ.ชัชพล อธิบาย ถึงสิ่งที่เริ่มต้นจากเรื่องเล็กน้อยที่อาจบานปลายสู่อาชญากรรมได้
เมื่อเข้าใจสาเหตุที่อาจมีผลต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้งแล้ว คำถามต่อมาคือ ทำไมบางคนถึงได้โหดเหี้ยมอย่างไม่น่าเชื่อ ?
เรื่องนี้ ต้องย้อนกลับไปดูสมองของคนเราที่มีเซลล์ประสาทที่เรียกว่า Miror neuro (เซลล์ประสาทกระจก) ทำหน้าที่สะท้อนสิ่งที่ตาเห็นและทำให้เรารู้สึกคล้ายกับว่า มันเกิดขึ้นกับเราเอง
นั่นเป็นสัญชาตญาณของความเห็นใจ ซึ่งมนุษย์เราสามารถสงสารได้กระทั่งสิ่งไม่มีชีวิต แต่ก็ยังมีคนส่วนน้อยมาก ราว 5 เปอร์เซ็นต์ที่ไม่มีความรู้สึกเลย ไม่สามารถเข้าใจคนอื่นๆ ได้ ในคนกลุ่มนี้ก็ไม่ใช่ว่า ทั้งหมดจะมีแนวโน้มเป็นฆาตกร เพราะส่วนหนึ่งก็สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้ด้วยจุดแข็ง คือ มีความเด็ดเดี่ยวสูง หากไปทำงานในสาขาอาชีพที่ต้องใช้ความเด็ดเดี่ยว เช่น ทหาร ก็อาจจะประสบความสำเร็จได้
แต่ในคนกลุ่มเดียวกันนี้ ก็มีโอกาสจะเป็นฆาตกรต่อเนื่อง ที่ก่ออาชญากรรมชนิดโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ได้ด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ ภาวะไร้อารมณ์ ไม่มีความรู้สึกสงสารเห็นใจ ก็ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของสมองเพียงอย่างเดียว เพราะอาจเกิดจากการเลี้ยงดูได้เช่นกัน โดยเฉพาะกับเด็กที่ถูกทารุณกรรมก็มีโอกาสที่จะมีปัญหาคล้ายกับคนที่เกิดมาแล้วไม่มีอารมณ์
"สมัยก่อน เวลาจับคนร้ายเข้าคุก ก็มักจะมีคำถามว่า กี่ปีดี ถึงจะสำนึกผิด แต่ไม่มีการพูดถึงการเยียวยา บำบัดเลย ซึ่งสำหรับในหลายๆ เคส ต่อให้จำคุกหลายสิบปี ก็ไม่มีทางหายได้ หาก Hardware ยังไม่เปลี่ยน"
ความเห็นของ นพ.ชัชพล มองว่า สำหรับใครที่มีความพฤติกรรมเช่นนี้ ต้องถือว่ามีอาการป่วย เพราะฆาตกรรมที่โหดเหี้ยมไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะทำได้ตามธรรมชาติ
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า จะนำไปใช้เป็นข้ออ้างในการพิจารณาคดีได้เสมอไป โดยเฉพาะหากจะให้พ้นผิดไม่ต้องรับโทษนั้น อาจทำได้ในเงื่อนไขคือ จะต้องเข้ารับการรักษาอย่างจริงจัง แต่หากเป็นความเจ็บป่วย หรือผิดปกติที่ไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ ก็ต้องถือว่า อยู่ในภาวะที่เป็นอันตรายต่อคนในสังคม ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแนวทางการจัดการของแต่ละประเทศ บางที่อาจจะไม่ต้องเข้าคุก แต่ก็ต้องถูกติดตามตลอดเวลา หรืออาจมีคำสั่งห้ามเฉพาะ เช่น ห้ามเข้าใกล้โรงเรียน เป็นต้น
"หลายคนชอบมุ่งจะหาคำตอบว่า ระหว่างสมอง กับ การเลี้ยงดู หรือสภาพแวดล้อม แบบไหนมีอิทธิพลต่อฆาตกรเท่าไหร่ แต่ผมขอเปรียบเทียบเป็นรถยนต์ คุณคิดว่า รถขับเคลื่อนด้วยอะไร ระหว่าง พวกมาลัย กับ ล้อรถ.. ? คำตอบก็คือ มันต้องมีทั้งสองอย่างไง เรื่องนี้ก็เหมือนกัน คือ ต้องมีหลายๆ องค์ประกอบร่วมด้วย แล้วก็ไม่สามารถมีข้อสรุปที่ตายตัวได้ เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่ต้องพิจารณาเป็นเคสๆ ไป"
...คุณหมอนักเขียนยังทิ้งท้ายให้กลับไปคิดต่อว่า การด่วนสรุปวิธีแก้ปัญหาด้วยอารมณ์ในหลายๆ ครั้งก็อาจไม่ใช่ทางออกที่เหมาะสมเสมอไป
- บ้านร้าว เพราะหน้าต่างแตก
หากถามหามูลเหตุของคดีฆาตกรรมร้ายแรงสักคดี ผ่านมุมมองของ พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ขุนศรี รองผู้กำกับการ 6 กองบังคับการปราบปราม (รอง ผกก.6 บก.ป.) ในฐานะอาจารย์ผู้สอนหลักการสืบสวนสมัยใหม่ของโรงเรียนตำรวจนอกเวลา กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) คำตอบก็คือ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับบทลงโทษที่รุนแรงหรือไม่ แต่อย่างใด
"บทลงโทษที่รุนแรง ไม่ได้มีผลต่อการตัดสินใจว่า จะทำหรือไม่ทำของคนร้าย" พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ยืนยัน
โดยเฉพาะกับกระแสสังคมที่กำลังเรียกร้องบทลงโทษที่รุนแรงสำหรับคดีข่มขืนให้ประหารสถานเดียวนั้น เขาค่อนข้างเห็นแย้งกับแนวทางนี้ เพราะจากผลการวิจัยทั้งใน และต่างประเทศ ต่างก็ยืนยันว่า การเพิ่มโทษไม่ได้ช่วยให้อาชญากรรมลดลง แล้วก็ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาอาชญากรรมประเภทข่มขืนฆ่าเด็กอีกด้วย
เชื่อมโยงจากข้อโต้แย้งเรื่องบทลงโทษเพื่ออธิบายภาพให้ชัดขึ้น พ.ต.ท.ทรงรักษ์ บอกว่า ต่อให้เป็นโทษประหารก็ไม่เกิดผลอะไร เพราะเวลาคิดจะทำผิด สิ่งที่คนร้ายนำมาใช้ประเมินการตัดสินใจคือ โอกาสที่จะถูกจับหรือไม่ถูกจับ
"ถ้าประเมินแล้วว่า อาจทำไม่สำเร็จ หรือ อาจถูกจับ คนร้ายส่วนใหญ่จะไม่ทำ"
พิสูจน์ให้เห็นแล้วจากคดียาบ้าที่ตั้งโทษสูงสุดไว้ที่ประหารชีวิต แต่ก็ไม่ช่วยให้การทำกระผิดลดลง ตรงกันข้ามยังหนักกว่าเดิม เพราะคนร้ายหันมาดวลปืนกับตำรวจแทน เนื่องจากอย่างไรก็อาจถึงที่ตายได้ไม่ต่างกัน!
ถ้าอย่างนั้น.. แล้วอะไรคือปัจจัยให้เกิดอาชญากรรมรุนแรง ?
ประเด็นนี้ พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ชวนท่องไปในตำราเรียนเกี่ยวกับทฤษฎีของ ซิกมันด์ ฟรอยด์ ที่บอกว่า จิต ที่มีผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ ประกอบด้วย 3 อย่าง คือ 'อิด' (id) เป็นแรงขับตามสัญชาตญาณบนหลักความพึงพอใจ ขณะเดียวกันก็มี 'อีโก้' (ego) เป็นการประนีประนอมระหว่าง อิด และ ซูเปอร์อีโก จนเกิดเป็นการกระทำที่แสดงออกมา และ 'ซูเปอร์อีโก้' (Superego) เป็นเรื่องศีลธรรม จรรยา ค่านิยมต่าง ๆ ใน สังคม
"คนร้ายที่ลุกขึ้นมาก่อเหตุ จะเป็นคนที่มีอิด (Id) นำหน้าจิตส่วนอื่น ทำให้มีความกล้าที่จะก่ออาชญากรรม" นั่นคือ ส่วนตั้งต้นที่สำคัญ
แต่ทว่ากว่าจะมาเป็นคนร้ายที่มี "จิต" ที่สามารถข่มขืนคนอื่นๆ ได้นั้น จะต้องประกอบด้วยหลายองค์ประกอบด้วยกัน ทั้งเรื่องของแรงขับจากภายในตัวคนร้ายเอง ตลอดจนความรุนแรงในครอบครัว บวกกับแรงกดดันในสภาพแวดล้อม ฯลฯ กลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัวซึ่งในบางครั้ง ตัวคนร้ายเองก็อาจไม่ได้มีความตั้งใจมาตั้งแต่ต้น
"หากมองมุมกลับจะเห็นว่าสังคมก็อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ผลิตอาชญากรเช่นกัน ต้องสอบสวนภูมิหลังคนร้ายด้วยว่าเคยมีภูมิหลังอย่างไร ถูกกระทำรุนแรงหรือไม่ เช่น คดีนายหนุ่ย หรือติ๊งต่าง ที่ก่อเหตุกับเด็กก็มีภูมิหลังถูกกระทำเช่นกัน" พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ย้อนไปถึงอีกหนึ่งคดีดังของ "ติ๊งต่าง" ฆาตกรฆ่าข่มขืนเด็กต่อเนื่อง ที่ก่อเหตุข่มขืนเด็กมานับ 10 ครั้ง มีฆ่าตาย 4 ครั้ง เพิ่งถูกตำรวจจับได้แค่ 2 ครั้ง โดยเน้นเลือกเฉพาะเด็กหญิงอายุ 12 -13 ปีที่อยู่ตามลำพัง
สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนจากคดีของติ๊งต่าง คือ แม้จะเป็นคดีข่มขืน แต่จากการตรวจสอบกลับพบว่า คนร้ายเป็นผู้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ จึงค่อนข้างมั่นใจได้ว่า มูลเหตุไม่ใช่เรื่องเพศ
"จากการวิจัยพบว่า คนร้ายประเภทข่มขืน ส่วนใหญ่ไม่ได้มีแรงจูงใจเรื่องเพศ แต่กลับเกิดจากแรงขับจากด้านใน ทั้งความผิดหวังจากเรื่องอื่นๆ มาแล้วสะสมจนรู้สึกต้องการแก้แค้น แต่กลับไปลงกับคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง และโดยมากก็จะเลือกเหยื่อที่อ่อนแอ อย่าง เด็ก หรือ คนแก่ เพื่อเป็นการแสดงอำนาจที่สามารถครอบงำเหยื่อได้"
แล้วอยู่ดีๆ จากคนธรรมดา (ที่อาจมีความอยากที่กดอยู่ข้างใต้) กลายมาสู่การเป็น นักข่มขืน หรือ ฆาตกรโหด ได้อย่างไร ?
"นอกจากแรงขับจากภายในของคนร้ายแล้ว คดีอาชญากรรมทุกคดีจะเกิดขึ้นได้ ต้องประกอบด้วย 3 ส่วนด้วยกัน หนึ่ง คือ 'คนร้าย' ที่มีความคิดอยากจะกระทำความผิดอยู่แล้ว เมื่อมาเจอ 'สถานที่' ที่เหมาะสม เช่น ห้องน้ำที่อยู่ในซอกหลืบ ที่รกร้างข้างทาง ประกอบกับ 'เหยื่อ' ที่เข้ามาในจุดตัดระหว่าง คนร้าย และ สถานที่ ในโอกาสที่เหมาะสม ก็มีเปอร์เซ็นต์ที่จะเกิดเหตุร้ายสูง" พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ขยายความ
พร้อมเสนอว่า หากต้องการจะยับยั้งปัญหาอาชญากรรมได้จริง พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ขอให้กลับไปทบทวนทุกๆ ตัวแปรในข้างต้น และทบทวนว่า สัมคมเองหรือเปล่า ที่เป็นผู้เขย่าส่วนผสมจนได้ที่ ?
"เรื่องแอลกอฮอล์ที่บางฝ่ายก็กล่าวโทษนั้น จริงๆ เป็นแค่ตัวเร่งปฏิกริยาให้คนร้ายกล้าที่จะทำมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น คุณดื่มเหล้าแล้วขับรถ ก็อาจจะมีโอกาสฝ่าไฟแดงมากขึ้น เพราะสติที่จะไตร่ตรองน้อยลง แต่ที่ต้องแก้ไขคือต้นเหตุ 3 ส่วนที่ว่ามานั่นต่างหาก (คนร้าย-สถานที่-เหยื่อ) เช่น ถ้าเจ้าของที่ดินรกร้าง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนรวย รู้จักที่จะดูแลพื้นที่ของตัวเอง พื้นที่เสี่ยงก็จะลดลง
หรือ สถานที่ราชการออกแบบสถานที่โดยลดพื้นที่เสี่ยงลง เช่น ทำห้องน้ำสาธารณะให้สะอาดสะอ้าน คนดีก็กล้าเดินผ่านไปผ่านมา คนร้ายก็จะไม่กล้ามามั่วสุม คุณเคยเห็นใครมาเสพยาในห้องน้ำหรูๆ ในห้างไหมล่ะ ?" พ.ต.ท.ทรงรักษ์ หยอดคำถามให้คิด
เขายังยกทฤษฎีของฝรั่งที่ชื่อ Broken Window (ทฤษฎีหน้าต่างแตก) ขึ้นมาประกอบ โดยเล่าให้เห็นภาพชัดๆ ถึงสิ่งที่สังคมต้องแอ่นอกร่วมกันรับผิดว่า..
สมมติมีบ้านร้างแห่งหนึ่งที่ปิดไว้เฉยๆ แต่วันดีคืนดี มีคนปาก้อนหินเข้าไปหนึ่งก้อน ทำกระจกหน้าต่างแตกเป็นรอยเล็กน้อย ผู้คนแถวนั้นก็เดินผ่านไปผ่านมา ไม่ได้นำพากับรอยร้าวนั้น อยู่ๆ ไปหน้าต่างมีรอยปริแตกมากขึ้น ๆ ก็เริ่มมีคนเร่ร่อนเข้าไปใช้พื้นที่ เพราะเห็นว่า ไม่มีใครสนใจ จากนั้นก็เริ่มรวมตัวกันของคนแบบเดียวกัน แล้วในที่สุด ก็อาจเกิดเป็นที่มั่วสุมของคนนอกกฎหมาย และอาจก่อให้เกิดอาชญากรรมในละแวกนั้นก็เป็นได้
ในทางกลับกัน ถ้าเจ้าของพื้นที่รู้จักที่จะใส่ใจดูแลสถานที่ของตัวเอง ภาครัฐใส่ใจที่จะทำให้พื้นที่สาธารณะเป็นพื้นที่ที่คนดีกล้าเข้าไปใช้บริการ มีความสะอาดปลอดภัย คนร้ายก็จะไม่สบายใจที่จะเข้าไปทำผิด แอบมั่วสุมดมกาว หรือ เสพยา
"เราต้องไม่แบ่งพื้นที่ระหว่างคนดีกับคนไม่ดี แต่เราต้องร่วมกันสร้างพื้นที่ที่คนทุกคนกล้าเข้าไปใช้บริการ แล้วสังคมก็ต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา สอดส่องอะไรที่ผิดปกติไป ก็อย่าเพิกเฉย"
...เพราะการเพิกเฉยกับสิ่งเล็กน้อย อาจบานปลายกลายเป็นเหตุใหญ่ที่ยากจะเยียวยาได้ และเมื่อวันนั้นมาถึง ก็คงต้องให้ทุกคนพึงระลึกไว้ว่า เราอาจเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุแห่งความรุนแรงนั้น




