โขน...โฉมงาม

เปิดหลักสูตรโขนในราชสำนักจากลูกผสมระหว่างโขน และละครใน ค้นหาความหมายที่ซ่อนอยู่ใต้ศรีษะโขนของพวกเธอ
อย่างน้อยๆ ก็ร่วมๆ 2 ชั่วโมง กว่าการ "ซ้อม" จะหมดรอบ เพื่อพักให้การแสดงชุดอื่นซ้อมต่อ ก่อนที่จะกลับมาถึงคิวของพวกเธออีกครั้ง
เป็นธรรมดาในช่วงที่ใกล้จะถึงวันแสดง ระดับการซ้อมนอกจะเข้มข้นขึ้น ตั้งแต่ระเบียบแถวของตัวกระบี่ หรือลิง เหล่าเสนายักษ์ กระทั่งระดับตัวเด่นอย่าง พระราม พระลักษณ์ หรืออินทรชิต ในเนื้อเรื่องของรามเกียรติ์ ตอนนาคบาศ บรรดาผู้ฝึกสอนนั้นจะลงมาใกล้ชิดชนิด "ท่าต่อท่า" เลยทีเดียว
"เหนื่อยค่ะ" ออม - วริศรา สุรพนาวัลย์เวช ยอมรับด้วยสีหน้าค่อนข้างอ่อนเพลีย เพราะจากการซ้อมแบบ "สวมหัว" รอบที่แล้ว เพื่อนเธอบางคนถึงกับเป็นลมต้องหามออกไปนั่งปฐมพยาบาลอยู่ข้างๆ นั่นถือเป็นความเข้มงวดที่ไม่มีข้อยกเว้นสำหรับใครที่คิดจะเอาดีทาง "โขน"
แน่นอน ภาพความเป็นระเบียบเรียบร้อยของเหล่า "โขนหญิง" ที่กระจายแถวในพื้นที่จำลองเวทีการแสดง บนลานอเนกประสงค์ภายในบริเวณ วิทยาลัยนาฎศิลป ศาลายา จึงเป็นดอกผลของการฝึกซ้อมที่น่าชื่นใจคนดูอยู่ไม่น้อย
โขนนางใน
ทั้งลายแกะสลักเรื่อง "รามายณะ" จากแหล่งโบราณคดี และตำนานการแสดงโขนในกฎมณเฑียรบาลที่ทำให้สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเชื่อว่าไทยมีการแสดงโขนมาก่อนพุทธศตวรรษที่ 16 หรือจากจดหมายเหตุของลาลูแบร์ (Du Royaume de Siam) ราชทูตฝรั่งเศสสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่กล่าวถึงการเต้นออกท่าทางเข้ากับเสียงซอ และเครื่องดนตรีอื่นๆ โดยผู้เต้นสวมหน้ากาก ถืออาวุธ ล้วนทำให้สังคมไทยยอมรับการมีอยู่ของ "โขน" ที่สืบทอดมาแต่โบราณ
สำหรับ "โขนหญิง" นั้น เป็นลักษณะการแสดงโดยเหล่านางใน และการแสดงอย่างละครใน จึงมีการเรียกการแสดงในลักษณะนี้ว่า "ละครในเรื่องรามเกียรติ์" โดยมีสตรีฝ่ายในเป็นผู้แสดง เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1
"จริงๆ โขนเป็นการแสดงของผู้ชายอยู่แล้ว ตั้งแต่โบราณ แต่มีการแสดงชุดหนึ่งเป็นการแสดงของนางในราชสำนัก เล่นเรื่องรามเกียรติ์ ก็คือละครใน ซึ่งใช้ผู้หญิงเล่น ทั้งหมด ซึ่งต่อมาในยุคหนึ่งได้มีการนำเอาผู้หญิงมาร่วมแสดงอย่างคณะละครวังสวนกุหลาบ โดยมีครูบาอาจารย์อย่างท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี ครูละมุล ยมะคุปต์ ครูเฉลย ศุขะวณิช ที่เป็นต้นแบบของการแสดงโขน" จุลชาติ อรัญยะนาค หัวหน้าภาคนาฏศิลป์ศึกษา ห้องเรียนเครือข่ายวิทยาลัยนาฏศิลป สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ เอ่ยถึงจุดเริ่มต้น
คณะละครสวนกุหลาบได้ทำการแสดงโขน เพื่อฉลองงานยกช่อฟ้า ฉลองพระอุโบสถ และฉลองพระประธานวัดสุคันธศิลาราม (หอมสินธุ์) ในปีพ.ศ.2463 ซึ่งเป็นการแสดงโขน ตอน องคตสื่อสาร สุครีพหักฉัตร์ และศึกไมยราพ ที่มีทั้งบทร้อง และบทพากย์เจรจา ซึ่งอาจเรียกได้ว่า เป็นการเปิดตัวโขนหญิงต่อสังคมไทยครั้งแรกก็ได้
"ความโดดเด่นของโขนหญิงก็อยู่ที่ผู้หญิงซึ่งเป็นผู้แสดง"
ที่เขาพูดแบบนั้นก็เพราะว่า ความเป็นผู้หญิงที่เข้ามาสวมกับการแสดงโขน ท่วงท่าอันอ่อนช้อย ความน่ารักในแบบผู้หญิง รวมทั้งลีลาท่าทางที่ครูบาอาจารย์ได้สร้างสรรค์ไว้ซึ่งมาจากละครในนั้นจะทำให้อรรถรสในการชมโขนสำหรับผู้ชมแล้ว จะแตกต่างจากโขนทั่วไปที่เห็นบทเวทีการแสดงอย่างสิ้นเชิง
"เสน่ห์ของโขนผู้หญิง จริงๆ มันก็คือละครในในราชสำนัก รูปแบบการแสดงจึงเน้นเรื่องท่ารำเพื่อให้เกิดความอ่อนช้อย เน้นเรื่องความสวยงามเป็นหลัก" ว่าที่ร้อยเอกอรรถพล ฉิมพูลสุข ครูชำนาญการนาฏศิลป์ไทยโขนพระ ผู้ฝึกสอนอีกคนจากวิทยาลัยนาฏศิลปเสริม
ไม่ทันขาดคำ เสียงเพลงบรรเลงรอบใหม่ก็ดังขึ้นพร้อมๆ กับการเรียกแถวนักแสดง ก่อนจังหวะเท้ากับท่วงท่ารำจะล้อทำนองเพลงเข้าสู่ฉากแรกของการแสดง เหล่า "นักโขน" หน้าใสก็ประจำที่ของตัวเองเรียบร้อย
เรียนสูตรราชสำนัก
ด้วยทางโขนผู้ชายกลายเป็นที่นิยม และที่ทางของผู้หญิงไปชัดเจนกับละครมากกว่า จนเกิดวลีที่ว่า "โขนต้องผู้ชาย ละครในต้องผู้หญิง" ทำให้ช่วงระยะเวลาหนึ่งโขนหญิงได้รูดม่านพักโรงไปโดยปริยาย ทว่าในระยะหลังๆ หลายๆ สถาบันการศึกษาได้มีการรื้อฟื้นนำเอาชุดโขนมาให้นักแสดงหญิงสวมขึ้นเวทีกันอีกครั้ง ทำให้เริ่มมีการเล่นโขนหญิงแพร่หลายขึ้นอย่างที่เคยปรากฏเป็นข่าวตามสื่อต่างๆ เสมอ
"สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับก็คือเรื่องความแข็งแรงที่ผู้หญิงจะสู้ผู้ชายไม่ได้" ครูอรรถพลชี้จุดต่าง
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า พวกเธอจะไม่ได้ผ่านการ "เต้นเสา" หรือ "ถีบเหลี่ยม" ครูสอนยักษ์ที่รับผิดชอบโครงการโขนหญิงของวิทยาลัยนาฏศิลปอย่างจุลชาติย้ำว่า เรื่องนี้ ต้องยกให้ขนาดของหัวใจของบรรดา "ลูกสาว" ที่แกร่งเกินตัว
"ก็ต้องฝึกหมดทุกอย่างค่ะ แรงผู้หญิงจะน้อยกว่าผู้ชายก็ต้องเน้นเรื่องนี้เยอะหน่อย" มะม่วง หรือ ธัญศภรณ์ ถาปนะกุล นักศึกษาชั้นปีที่ 2 ที่รับบท "หนุมาน" ยืนยัน
อย่างบทลิงที่ตัวเธอเองรับอยู่นั้น ต้องใช้ความแข็งแรงของร่างกายอย่างชัดเจน ในการแสดงท่าทางไม่ว่าจะกระโดด ตีลังกา หรืออากัปกริยา "อยู่ไม่สุข" ไม่ต่างกับ สาวออม ซึ่งออกตัวอารมณ์ดีว่า ได้รับบท "อินทรชิต" มาเพราะว่าโครงร่างใหญ่กว่าสาวๆ รุ่นเดียวกัน ซึ่งต้องใช้ตัวเองเป็น "ฐาน" เพื่อ "ขึ้นลอย - ต่อตัว" ก็ล้วนเป็นเรื่องของความแข็งแรงล้วนๆ
โดยหลักการฝึก รวมทั้งทฤษฏีต่างๆ ที่นำมาใช้นั้น จุลชาติเล่าว่า ได้ยึดถือปฏิบัติมาแบบของคณะละครวังสวนกุหลาบมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน
"คนที่ฝึกตัวพระในละครจะมาเล่นบทยักษ์ในโขน ส่วนคนที่ฝึกตัวนางก็จะสามารถมาเล่นลิงได้ ส่วนตัวพระก็แล้วแต่เลือก ซึ่งก็จะมีบทร้องตามแบบละครใน แต่ก็จะมีบทพากษ์บทเจรจาด้วย" เขาให้รายละเอียดประกอบ
นอกจากนั้น การฝึกเหล่านี้ยังถูกบรรจุลงเป็นหลักสูตรการเรียนการสอนอยู่ภายในชั้นเรียนของสถาบันฯ ด้วย
"เราเห็นนักเรียนได้ไปแสดงตามงานต่างๆ จากความชอบ ก็เลยคุยกันกับทางฝ่ายวิชาการว่าหากเราเปิดเป็นวิชาโท นักเรียนก็จะมีโอกาสได้เรียนอย่างถูกต้อง เมื่อทุกฝ่ายเห็นพ้องว่า เปิดแล้วจะตอบสนองความสนใจของเด็กได้ แล้วก็มีวุฒิทางวิชาการที่จะรองรับ ก็เลยสนับสนุน" นพวรรณ รุจิภักดิ์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยนาฎศิลปกล่าวถึงหลักสูตร
จนถึงตอนนี้ ความสนใจไม่ได้หยุดอยู่ที่ นักเรียนโขนกว่า 100 ชีวิตที่เป็นผลิตผลของสถาบันเท่านั้น แต่ยังกระจายไปยังเครือข่ายตามวิทยาลัยนาฏศิลปในภูมิภาคต่างๆ ซึ่งผอ.นพวรรณแอบกระซิบว่า หลักสูตรดังกล่าวได้รับการตอบรับ และให้ความสนใจเป็นอย่างดี
พัฒนาการ เลดี้หน้ากาก
"โขนถือเป็นศิลปวัฒนธรรมไทยที่มีคุณค่าควรแก่การอนุรักษ์ไว้ หนูก็รู้สึกดีใจที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมกับการอนุรักษ์ศิลปะแขนงนี้ค่ะ" แอม - ชนากานต์ สุรพนาวัลย์เวช นักศึกษาชั้นปีที่ 2 เผยความรู้สึกหลังฝึกปรือฝีมือโขนมาอย่างยาวนานถึง 5 ปี จนทำให้เธอสามารถสวมบทพระลักษณ์ได้คล่องแคล้วในวันนี้
ทั้งตัวเธอ และน้องสาวอย่างออม รวมถึงมะม่วงเป็นหนึ่งในกลุ่มนักเรียนโขนรุ่นแรกที่สถาบันผลิตออกมา จนวันนี้ สามารถเดินสายรับงานแสดงได้ ซึ่งหากถามถึงความถี่นั้น ครูจุลชาติบอกว่ามีอยู่ตลอดไม่เคยขาด
อย่างงานของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยที่เพิ่งจบไปเมื่อไม่นานนี้ ก็มีโขนหญิงชุด "นาคบาศ" ไปร่วมแสดงโดยความพิเศษอยู่ตรงที่เป็นการแสดงร่วมกันระหว่างโขน กับวงออเครสตร้า ตามต้นฉบับของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
"เราก็ปรับบทให้เข้ากับการแสดงของนักแสดงหญิง" เกษม ทองอร่าม ครูโขนที่รับหน้าที่เรื่องบทอธิบาย
โครงเรื่อง และจังหวะดนตรีคงเดิม แต่รายละเอียดต่างๆ ก็ผ่อนปรนให้สามารถปรับตัวให้โขนมีชีวิตเข้ากับยุคสมัยได้โดยไม่เก้อเขิน เหมือนอย่างที่ ชัยพร สว่างวรรณ ซึ่งรับผิดชอบ "จูน" ดนตรีสากลให้เข้ากับจังหวะของเพลงปี่พาทย์ แน่นอนว่า อรรถรสของโขนก็จะเปลี่ยนไปจากเดิม
แสดงว่า โขนก็สามารถลงจากหิ้งได้ ?
"ตั้งแต่โบราณเราก็รู้กันอยู่แล้วว่า โขนถือเป็นศิลปะชั้นสูง บางทีดูแตะต้องลำบาก เพราะจะมีเรื่องขนบธรรมเนียม ครูบาอาจารย์ และความเชื่อต่างๆ เข้ามาข้องเกี่ยวเยอะ ต่ทั้งหมดนั้นก็คือกุศโลบายของครูเพื่อป้องกันนักแสดงไม่ให้บาดเจ็บ จนถึงวันนี้ โขนก็ได้มีการเข้าไปยังสถาบันการศึกษาต่างๆ มากขึ้น ซึ่งในการฝึกโขน นอกจากใจรักแล้วยังต้องอดทนด้วยซึ่งถ้าเขาเข้าใจ เขาก็จะเข้าถึงโขนได้ไม่ยาก" ครูเกษมให้คำตอบ
อย่างไรก็ตาม เส้นทางของโขนหญิงก็คงจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะเมื่อถามถึงความเป็นไปได้ในเรื่องของการพัฒนาหลักสูตรให้เป็นหนึ่งในวิชาหลัก ผู้บริหารอย่างนพวรรณยอมรับว่า ด้วยขนบการแสดง และทัศนคติของผู้สอนเองโอกาสที่จะเดินไปถึงจุดนั้นก็ต้องถือเป็นความท้าทายเหมือนกัน
"หนูอยากเป็นครูสอนโขนค่ะ" ใครบางคนเอ่ยขึ้นกลางวงสนทนาหลังจากเสร็จการซ้อมประจำวัน
ไม่ว่าจะเป็นตัวกระบี่ เสนายักษ์ หรือตัวสำคัญๆ อย่างพระราม และทศกัณฐ์ ต่างก็มองว่านี่คือเวทีการแสดงออกในสิ่งที่พวกเธอรัก และมีโอกาสได้ทำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสืบสานสายธารวัฒนธรรมนาฏศิลป์ในราชสำนักให้คงอยู่สืบไป เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว







