ร่องรอยอดีต พะเยา-ลำปาง

ขึ้นเหนือไปเที่ยวจังหวัดไหนดี คำถามนี้หลายคนมีคำตอบตายตัวว่าต้องเป็น เชียงใหม่ เชียงราย หรือไม่ก็...แม่ฮ่องสอ
ถ้าเอ่ยถึง พะเยา ลำปาง อาจไม่ใช่ปลายทางในฝันของนักท่องเที่ยว ..."ผ่านมาแล้วผ่านไป" คือสถานะจำยอมที่วันนี้เมืองผ่านทั้งสองขอแนะนำตัวและเชิญชวนอย่างเป็นทางการ
สำหรับฉันนี่เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสมาเยือนพะเยาและลำปาง โดยจุดหมายแรกอยู่ที่เมืองดอกคำใต้ เย็นมากแล้วกว่าฉันจะเดินทางมาถึงท่าเรือที่ กว๊านพะเยา ทะเลสาบน้ำจืดสำคัญใจกลางจังหวัดพะเยา แหล่งทำการประมงของผู้คนที่อาศัยอยู่ริมกว๊าน โดยคำว่า ‘กว๊าน’ เป็นภาษาพื้นเมืองที่หมายถึง ‘บึง’ ทั้งยังมีวัดกลางน้ำอย่าง วัดติโลกอาราม โดดเด่นอยู่กลางกว๊านแห่งนี้
ขณะนั่งรอคนเรืออยู่นั้น ฉันอ่านข้อมูลบนป้ายบริเวณท่าเรือที่บอกเล่าถึงพิธีเวียนเทียนทางเรือของวัดติโลกอาราม ทำให้รู้ว่าการเวียนเทียนกลางน้ำจะต้องนั่งเรือวนรอบองค์พระสามรอบ เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นในวันสำคัญทางศาสนา แต่ละปีจะมีการเวียนเทียนทั้งหมด 3 ครั้ง คือ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา และวันอาสาฬหบูชา ซึ่งการเวียนเทียนกลางน้ำนั้นได้สร้างรายได้เสริมให้กับชาวบ้านเจ้าของเรือแจวในกว๊านพะเยาได้ไม่น้อย
เมื่อกวาดสายตาไปรอบถนนริมกว๊านก็จะพบว่าเป็นบ้านเรือนชาวบ้านและร้านอาหาร ถัดไปอีกเป็นร้านอาหารริมทาง ร้านแผงลอย รถขายอาหารปิ้งย่าง มีลานให้ผู้คนได้มาพักผ่อนหย่อนใจ นั่งรับลมเย็นๆ ริมกว๊าน มีสถานที่สำหรับออกกำลังกายพร้อม
นั่งรออยู่พักใหญ่เจ้าของเรือแจวที่จะนำไปยังวัดกลางน้ำก็มาถึง โดยเรือแจวนั้นจะใช้คนพายสองคน ฉันกับเพื่อนร่วมทริปไม่รอช้า รีบลงเรือเพื่อมุ่งไปยังจุดหมาย สำหรับการนั่งเรือแจวที่กว๊านพะเยาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย เพราะระยะทางไปถึงองค์พระกลางกว๊านไม่ไกลนัก แล้วบนเรือยังมีเสื้อชูชีพให้นักท่องเที่ยวทุกคนสวมด้วย
ลงเรือไปได้ไม่นานเมฆที่บดบังแสงแดดก็เริ่มเปิดออก ทำให้ใจชื้นขึ้นมาว่าภาพถ่ายน่าจะออกมาสวยไม่น้อย พร้อมกันนั้นเจ้าของเรือแจวได้บอกว่าบริเวณฐานพระพุทธรูปและรอบองค์พระสามารถเปิดไฟได้ นั่นหมายความว่าเราสามารถถ่ายภาพตอนกลางคืนได้
ยิ่งใกล้จุดหมาย มองอย่างไรก็ไม่น่าจะเรียกว่าวัด เพราะโดยทั่วไปวัดที่ฉันเคยเห็นนั้นจะต้องมีพระอุโบสถ มีสิ่งก่อสร้างอย่างอื่นประกอบกัน แต่ที่วัดแห่งนี้มีเพียงพระพุทธรูปหินทรายปางมารวิชัยอายุ 527 ปี ศิลปะสกุลช่างพะเยา หน้าตักกว้าง 105 เซนติเมตร ประดิษฐานอยู่บนเกาะกลางกว๊านพะเยา พร้อมกับเจดีย์องค์เล็ก เดิมนั้นพระพุทธรูปองค์นี้เคยจมอยู่ใต้น้ำมาก่อนพร้อมตัววัด ซึ่งพระพุทธรูปน่าจะเป็นส่วนสมบูรณ์ที่สุดที่หลงเหลืออยู่ และได้มีการขุดพบในเวลาต่อมา
ไม่กี่นาทีเราก็มาถึง วัดติโลกอาราม องค์พระประดิษฐานอยู่บนแท่นยกขึ้นสูงจากพื้น โดยหันหน้าไปทางทิศตะวันออก และมีฉากหลังเป็นท้องฟ้าที่ปกคลุมด้วยก้อนเมฆสีเทา สร้างความสะดุดตาแก่ผู้พบเห็นได้ไม่น้อย สักการะขอพรองค์พระพุทธรูปอายุหลายร้อยปีเพื่อเป็นสิริมงคลกับชีวิต แล้วนั่งรับลมเย็นๆ รอให้พระอาทิตย์ตก เพื่อเก็บภาพในช่วงเวลากลางคืนต่อ
พอถ่ายภาพเสร็จเราก็นั่งเรือกลับไปยังท่าเรือเพื่อรับประทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารริมกว๊าน ซึ่งระหว่างทางกลับสายฝนก็โปรยปรายลงมาส่งเราถึงท่าเรือก่อนจะซาหายไป เหมือนดั่งเป็นน้ำมนต์จากฟากฟ้าที่ตกลงมาพรมฉันกับเพื่อนร่วมทาง
กว่าจะเสร็จจากการนั่งเรือไปไหว้พระกลางน้ำก็มืดแล้ว ท้องก็เริ่มหิว เป้าหมายต่อไปคือการรับประทานอาหารเย็นริมกว๊านพะเยา พอรับประทานอาหารเรียบร้อยเราก็นั่งรถไปยังที่พักเพื่อแยกย้ายกันไปพักผ่อนเอาแรง เตรียมรับประสบการณ์อันน่าประทับใจในเช้าวันใหม่
รุ่งเช้าอากาศเย็นสบาย แดดยามเช้าดูสดใสไม่ร้อนเกินไป ฉันและเพื่อนร่วมทริปกำลังยืนรอตักบาตรที่ริมกว๊านพะเยาร่วมกับชาวบ้านหลายสิบคนในละแวกนั้น การตักบาตรยามเช้าของชาวบ้านริมกว๊านเป็นไปอย่างเรียบง่าย ใช้ข้าวเหนียวเป็นหลัก ส่วนขนมหรือกับข้าวที่จะตักบาตรก็แล้วแต่ศรัทธา
ทำบุญเสร็จเราก็ไปชมสินค้าขึ้นชื่อของเมืองพะเยา อย่าง ชุมชนหัตถกรรมจักสานผักตบชวา บ้านสันป่าม่วง โดยทั่วไปนั้นผักตบชวาจะใช้ยอดอ่อนมารับประทาน นำมาทำปุ๋ยหมัก แต่ที่บ้านสันป่าม่วงกลับเป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้แก่ชุมชม เนื่องจากเป็นชุมชนที่อยู่ติดกว๊านพะเยา ซึ่งมีผักตบชวาจำนวนมาก
ผักตบชวานั้นนำมาจักสานเป็นข้าวของเครื่องใช้ได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าตะกร้า หมวก กล่อง ที่รองจาน แจกัน ฯลฯ เป็นสินค้าที่มีการขายทั้งในและต่างประเทศ อาทิเช่น ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งอาจจะถือเป็นประเทศลูกค้าสำคัญของที่นี่เลยก็ได้ เพราะมีการทำแผ่นพับแนะนำสินค้าเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วย
ชมผลิตภัณฑ์หลากหลายรูปแบบจากผักตบชวาแล้วก็มาชมความหลากหลายด้านศิลปะที่ โบราณสถานเวียงลอ ตั้งอยู่ ณ อำเภอจุน จังหวัดพะเยา นักโบราณคดีได้สันนิษฐานว่าเป็นเมืองในสมัยพ่อขุนงำเมือง โดยอิงจากกำแพงเมืองเก่าที่ยังหลงเหลืออยู่ ทั้งยังมีวัดร้างอีกจำนวนมาก
เวียงลอนั้นถือเป็นแหล่งโบราณสถานที่สำคัญทางด้านพุทธศาสนาอีกแห่งหนึ่ง เพราะภายในจะเป็นวัดโบราณ และมีเจดีย์โบราณองค์หนึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยว บริเวณฐานมีพระพุทธรูป รูปปั้นครูบาเจ้าศรีวิชัย ส่วนด้านหน้าจะมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่สามองค์ประดิษฐานอยู่
นอกจากวัดแล้วยังมี ศูนย์ศึกษาข้อมูลเวียงลอ โดยภายในมีการจัดแสดงพระพุทธรูปเก่า ซึ่งบางองค์เหลือเพียงฐานส่วนล่าง มีน้อยองค์ที่จะสมบูรณ์ ไม่เพียงพระพุทธรูปเท่านั้น ยังมีชิ้นส่วนของถ้วยชามและวัตถุโบราณต่างๆ ที่จัดแสดงไว้ให้ผู้ที่สนใจได้เข้ามาชมมาเรียนรู้ ประวัติความเป็นมาต่างๆ
ดูเหมือนว่าเราจะถูกโฉลกกับฝนเอามากๆ เพราะเมื่อถึงเวลาบ่ายคล้อย ก้อนเมฆก็เริ่มก่อตัว เหมือนเป็นสัญญาณเตือนว่าอีกไม่นานฝนจะตก ฉันและเพื่อนร่วมทางได้ไปเยี่ยมชม บ้านไทลื้อ แบบดั้งเดิมที่ว่ากันว่ายังหลงเหลืออยู่เพียงหลังเดียวในพะเยา เป็นบ้านไม้สองชั้นใต้ถุนโล่ง มีบันไดขึ้น - ลงสองฝั่ง บนบ้านแบ่งเป็นส่วนของห้องนอน ห้องครัว ระเบียงนั่งเล่น รวมไปถึงชุดไทลื้อและภาพถ่ายของบ้านจากนักท่องเที่ยวซึ่งแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนบ้านหลังนี้ และถ่ายภาพมอบเป็นที่ระลึกไว้
บ้านเก่าก็ย่อมคู่กับคนแก่ เห็นทีจะจริง เมื่อเจ้าของบ้านที่ออกมาต้อนรับเราเป็นคุณยายวัยกว่า 80 ปี แกชื่อ ยายแสงดา สมฤทธิ์ แกเป็นคนใจดี พอเราไปถึงแกก็เข้าไปเปลี่ยนชุดไทลื้อออกมาต้อนรับ ชุดไทลื้อที่คุณยายใส่เป็นเสื้อสีดำที่มาคู่กับผ้าถุงลายน้ำไหลสีสันสดใส พร้อมผ้าโพกหัว ทำให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะต้องยกกล้องขึ้นมาลั่นชัตเตอร์สำเนาภาพความประทับใจในวินาทีนั้นไว้ หลายคนออกปากชมว่าชุดของแกสวย และด้วยลักษณะการเดินที่ไม่ต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุง รวมถึงเวลาเราขอถ่ายภาพ เวลาบอกแกยิ้ม หรือหัวเราะ แกก็ทำตามได้ทันที นั่นแสดงให้เห็นว่าแกยังแข็งแรงดีอยู่แม้อายุจะมากแล้วก็ตาม
ไม่เพียงการแต่งกายเท่านั้น แต่ข้าวของทุกอย่างบนบ้านยังบ่งบอกถึงความเป็นไทลื้อและความเป็นบ้านเก่าได้อย่างชัดเจน ทั้ง กระเป๋าผ้าสะพายข้าง ชุดไทยลื้อ ผ้าประดับบ้าน แอ่งน้ำดื่มที่ยังเป็นแอ่งดินเผาอยู่ เห็นแล้วทำให้อดคิดถึงบ้านปู่กับย่าสมัยที่ยังเป็นเด็กไม่ได้
ความประทับใจกับวิถีไทลื้อยังคงตรึงใจฉัน แม้ว่าตอนนี้จะเดินทางมายัง ‘เถิน’ อำเภอหนึ่งของจังหวัดลำปางแล้วก็ตาม
เถิน มีพื้นที่ติดต่อกับ 4 จังหวัดภาคเหนือ คือ แพร่ สุโขทัย ตาก และลำพูน ว่ากันว่าเดิมทีนั้น เถิน มีชื่อว่า ‘สังฆะเติ๋น’ คำว่า สังฆะ หมายถึง พระสงฆ์ ส่วนคำว่า เติ๋น น่าจะหมายถึง การบอกหรือเตือน คืนนี้เราได้ไปพักผ่อนกันที่ เถินปาร์ค รีสอร์ท บ้านไม้ริมแม่น้ำวัง ที่จังหวัดลำปาง ก่อนจะเดินทางไปยังวัดในรุ่งเช้า
อากาศยามเช้าเย็นสบายด้วยแอร์จากธรรมชาติ กลิ่นของข้าวต้มช่างหอมกรุ่นชวนรับประทาน ถือเป็นเมนูเบาๆ ที่เข้ากับบรรยากาศได้ดีทีเดียว หลังจากเติมพลังจนเต็ม เราก็เดินทางไปยัง วัดเวียง วัดศิลปะแบบพม่าผสมกับศิลปะล้านนา ซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะมีอายุราวพันปี และด้วย คำว่า ‘เวียง’ นั้นหมายถึง เมือง จึงคาดการณ์อีกว่าวัดเวียงน่าจะเป็นใจกลางของเมืองเถินในอดีต
ร่องรอยของอดีตยังปรากฏให้เห็น บริเวณทางเข้ายังคงมีประตูโขงกับกำแพงอันเก่าหลงเหลืออยู่ แล้วภายในวัดก็ยังมีต้นขนุนศักดิ์สิทธิ์ที่พระนางจามเทวีได้ปลูกไว้ อีกทั้งยังมีวิหารหลังเก่าที่สร้างด้วยศิลปะแบบล้านนา เสาของวิหารมีการแกะสลักลวดลายอย่างประณีต มีพระพุทธรูปเก่าแก่หลายองค์ ทั้งนี้ยังมีสิ่งก่อสร้างตามศิลปะสมัยใหม่เกิดขึ้นปะปนกับศิลปะสมัยเก่าจำนวนมาก
แม้ว่าอากาศจะค่อนข้างร้อน แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อความอยากเรียนอยากรู้ของเรานัก ถัดจากวัดเวียงไปไม่ไกลก็จะเป็น วัดอุมลอง วัดเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งของอำเภอเถิน ที่มีสถาปัตยกรรมทั้งสมัยเก่าและสมัยใหม่ปะปนกันอยู่
พอคนขับรถหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าสู่ประตูโขงของวัด ก็ต้องสะดุดตากับสิ่งก่อสร้างหลายอย่างในบริเวณวัด ซึ่งพอลงจากรถตู้แล้วได้มาเดินชมรอบๆ วัด ก็เข้าใจได้ว่าภายในมีสถาปัตยกรรมหลายอย่างที่น่าสนใจ อย่างหอพิพิธภัณฑ์ (หอจำศีล) ที่เป็นสถาปัตยกรรมล้านนาผสมกับจีน มีลักษณะเป็นหอครึ่งไม้ ครึ่งปูน หลังคาและเสาเป็นไม้ ส่วนห้องด้านล่างเป็นปูน
นอกจากหอจำศีลแล้วยังมี วิหารวัดอุมลอง ซึ่งเป็นวิหารที่มีชื่อเดียวกันกับชื่อวัด โดยวิหารหลังนี้เป็นสถาปัตยกรรมแบบไทยล้านนา เสาทุกต้นเป็นไม้สักทองแกะสลักลวดลายงดงามประณีต ไม่เพียงเสาเท่านั้น แต่ตามประตูหน้าต่างของวิหารก็ได้มีการแกะสลักลวดลายอย่างประณีตงดงามเช่นกัน และภายในวิหารยังประดิษฐานหลวงพ่อโต (พระพุทธศิริมิ่งมงคล) ให้ผู้คนได้สักการะบูชาด้วย
วัดอุมลองถือได้ว่าเป็นอีกวัดที่มีความสำคัญด้านสถาปัตยกรรมไม่น้อย เพราะมีสถาปัตยกรรมแบบพื้นถิ่นผสมผสานกับสถาปัตยกรรมของต่างประเทศได้อย่างลงตัว นับว่ามีทั้งคุณค่าทางด้านประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมเลยทีเดียว
เดินชมสถาปัตยกรรมในวัดไม่กี่นาทีก็เรียกเหงื่อได้ไม่น้อยเหมือนกัน ทริปนี้โดยภาพรวมอาจจะมีแต่เรื่องราวของวัดวาอาราม ดูธรรมะธรรมโม แต่ต้องบอกก่อนว่าไม่ใช่ทั้งหมด เพราะเมืองเถินแห่งนี้นอกจากวัดวาอารามแล้วยังมีผลไม้ขึ้นชื่ออยู่อย่างหนึ่งที่ทุกคนที่มาเยือนเมืองเล็กๆ น่ารักแห่งนี้ไม่ควรพลาด
ผลไม้ที่ขึ้นชื่อของเถินก็คือ ส้มเกลี้ยง ไม่ใช่ว่าส้มเกลี้ยงมีเฉพาะที่เถิน แต่ส้มเกลี้ยงของเถินมีจำนวนมากกว่าที่อื่น ส้มเกลี้ยงจะเป็นส้มที่เปลือกมีสีเขียวเวลาแก่ เป็นส้มที่มีเปลือกที่ค่อนข้างหนาพอสมควร มีรสชาติออกหวานอมเปรี้ยว และที่สำคัญส้มเกลี้ยงนั้นไม่เหมาะแก่การทานสดๆ แต่เหมาะกับการนำไปทำน้ำส้มเกลี้ยงคั้น เพราะจะทำให้ได้รสชาติที่ดีกว่า และถ้าจะให้ได้รสชาติที่อร่อยหอมกลิ่นส้มเกลี้ยงก็ควรทานให้หมดภายในวันที่คั้นเท่านั้น ไม่ควรเก็บไว้ข้ามวัน
ครั้งนี้เราโชคดีที่ได้มีโอกาสมาชมสวนส้มเกลี้ยงของชาวเถิน ซึ่งเป็นสวนส้มเกลี้ยงที่ปลูกโดยปราศจากสารเคมี เจ้าของสวนยังใจดีให้เราชิมส้มเกลี้ยงสดๆ จากต้นอีก จากที่เพลียแดดก็หายเป็นปลิดทิ้งด้วยรสเปรี้ยวอมหวานของส้มเกลี้ยง แม้รสชาติจะไม่กลมกล่อมเหมือนตอนคั้นแล้ว แต่ก็เรียกความกระปรี้กระเปร่าให้ฉันได้ไม่น้อยเลยล่ะ
เต็มอิ่มกับหลากหลายประสบการณ์ผ่านการเยือนเมืองรถม้าและเมืองดอกคำใต้ ขอบอกว่าพอได้มาสัมผัสทั้งสองเมืองก็เกิดความประทับใจในความน่ารักของบ้านเมืองและผู้คนที่เป็นกันเอง ความเรียบง่ายของวิถีชีวิต เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่อยากให้ทุกคนได้มาประทับไว้ในความทรงจำ







