อินเดียสร้างห้องสุขาริมแม่น้ำคงคาอันศักดิ์สิทธิ์

อินเดียสร้างห้องสุขาริมแม่น้ำคงคาอันศักดิ์สิทธิ์

รัฐบาลอินเดียประกาศโครงการสร้างห้องสุขาหลายพันหลังตลอดริมฝั่งแม่น้ำคงคามีความยาว 2,500 กิโลเมตร

แม่น้ำคงคานอกจากจะได้ชื่อว่าเป็นแม่น้ำที่มีความสำคัญทางภูมิศาสตร์ของอินเดียแล้ว ยังได้ชื่อว่าเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดูซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศอีกด้วย

ชาวอินเดียจะนำน้ำจากแม่น้ำคงคามาใช้ดื่ม กิน อาบ ตลอดจนซักเสื้อผ้า และล้างจาน แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็จะปล่อยของเสีย และทิ้งศพลงในแม่น้ำสายนี้เช่นกัน จนทำให้ปัจจุบันนี้แม่น้ำคงคากลายเป็นแม่น้ำที่เต็มไปด้วยมลพิษ แต่ก็ยังมีคนนับพันๆคนมาประกอบพิธีอาบ และดื่มน้ำจากแม่น้ำคงคากันอยู่ทุกวัน

ด้วยความพยายามที่จะคืนความสะอาดให้กับแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์สายนี้ และปรับปรุงการสาธารณสุขของประชาชนให้ดีขึ้น รัฐบาลอินเดียจึงได้ประกาศโครงการสร้างห้องสุขาหลายพันหลังตลอดริมฝั่งแม่น้ำคงคาที่มีความยาวถึง 2,500 กิโลเมตร จากเทือกเขาหิมาลัยจรดอ่าวเบงกอล

นายมาโนช คุปตะ ชาวบ้านในพื้นที่กล่าวว่าพวกเขาต้องการห้องสุขาตามฝั่งแม่น้ำคงคามากเพราะการขาดห้องสุขาทำให้นักท่องเที่ยวประสบกับความยากลำบาก ต้องพากันไปปลดทุกข์ลงแม่น้ำจนทำให้บริเวณริมฝั่งแม่น้ำเต็มไปด้วยสิ่งปฎิกูล

ก่อนหน้านี้เคยมีความพยายามทำความสะอาดแม่น้ำคงคามาแล้วหลายวิธี อาทิเช่น การปล่อยเต่ากินเนื้อลงไปในแม่น้ำเพื่อให้กินซากศพที่ถูกฝั่งกันริมฝั่งแม่น้ำ ก่อนจะโยนซากที่เหลือลงในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์สายนี้จนทำให้มีศพขึ้นอืดลอยอยู่เต็มไปหมด แต่ความพยายามดังกล่าวต้องล้มเหลวเพราะขาดการวางแผน และการประสานงานที่ดี

สำหรับแผนการสร้างห้องสุขาริมฝั่งแม่น้ำนี้ถึงแม้จะได้รับการขานรับเป็นอย่างดีเพราะช่วยแก้ปัญหาให้กับประชาชน แต่ก็มีผู้สงสัยว่าแล้วเศษปฏิกูลจากห้องน้ำใหม่ ๆ เหล่านี้จะถูกนำไปทิ้งที่ไหน ดังนั้น รัฐบาลจะต้องรับประกันว่าจะไม่ปล่อยของเสียจากห้องน้ำเหล่านี้ลงสู่แม่น้ำคงคาถึงจะช่วยแก้ปัญหาได้

ทั้งนี้ รัฐบาลใหม่ของอินเดียที่นำโดยนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ได้จัดตั้งกระทรวงทรัพยาการน้ำขึ้นมาใหม่เพื่อแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ ซึ่งนางอุมา ภารตี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแห่งนี้ได้ยืนยันแล้วว่าสิ่งปฏิกูลจากห้องสุขาที่จะสร้างขึ้นริมแม่น้ำคงคาจะไม่ถูกปล่อยกลับลงไปยังแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์สายนี้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังมีแผนจะเจรจากับองค์กรเอกชนที่อาศัยอยู่ใกล้แม่น้ำ ตลอดจนนักวิทยาศาสตร์ และนักการเมืองเพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้ด้วย