ปักษ์ใต้สเปน @ Valencia - Malaga

กลิ่นส้มและไอทะเลเข้ากันได้ดีกับโบสถ์โบราณและสถาปัตยกรรมอลังการแสนมหึมา ส่วนผสมอันลงตัวเหล่านี้มีอยู่ที่สองเมืองตอนใต้สเปน
ผลงานของทีมชาติสเปนในศึกฟุตบอลโลกครั้งนี้ดูจะย่ำแย่เกินกว่าจะเชื่อว่านี่คืออดีตแชมป์โลกครั้งก่อน เพราะถึงนาทีนี้สเปนได้เก็บกระเป๋ากลับบ้านแดนกระทิงดุเรียบร้อยโรงเรียนมาทาดอร์
สเปนห้วงยามนี้ช่างเงียบเหงา ฟุตบอลคือลมหายใจของพวกเขา ทว่าความผิดหวังพ่ายแพ้ก็ทำได้เพียงสั่นสะท้านใจชาวสเปน ไม่อาจทำลายความงดงามตรงแก่นแท้ที่ยังเห็นได้ทั่วทั้งสเปนไม่เว้นตอนใต้อย่างเมืองวาเลนเซีย
หอมส้ม...วาเลนเซีย
ระยะเวลาเกือบสองชั่วโมงบนรถไฟ AVE ของ Renfe ความเร็วกว่า 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเหมือนพาผู้โดยสารเหาะทะลุมิติ จากเมืองหลวงถึงวาเลนเซียจึงเชื่อมถึงกันได้เพียงไม่กี่อึดใจ
ทัศนียภาพสองข้างทางแม้จะผ่านตาไปอย่างไวเหมือนกับความเร็วที่รถไฟขบวนนี้แล่น แต่ต้องยอมรับเลยว่าธรรมชาติสีเขียวๆ ยังมีมาก ยิ่งเข้าใกล้เมืองจุดหมายเท่าไรก็ยิ่งเห็นสวนส้มมากเท่านั้น หากเคยได้ยินชื่อส้มวาเลนเซีย เราได้มาถึงถิ่นกำเนิดของส้มพันธุ์นี้แล้ว
วาเลนเซียเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์กว่า 2,000 ปี ตั้งอยู่บนฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน สภาพอากาศจึงค่อนข้างดีทีเดียว โดยเฉพาะช่วงกลางปีแบบนี้ ราวเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ถือเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (High season) การได้มาเยือนเมืองที่เป็นส่วนผสมระหว่างประวัติศาสตร์และเทคโนโลยีเมืองนี้ในช่วงเวลานี้จึงเหมาะเจาะที่สุด
อากาศดีๆ บ้านเมืองสวยงาม คล้ายกำลังกวักมือเรียกให้นักเดินทางเร่งรีบก้าวเท้าเข้าไปสัมผัส ทว่าเท้าจะก้าวออกได้อย่างไรหากไม่มีพลังงาน ข้าวผัดสีจัดจ้านในกระทะใบโตน่าจะเพิ่มพลังงานได้มากโข ข้าวผัดสเปนหรือ 'ปาเอย่า' ถือเป็นอาหารขึ้นชื่อไม่เพียงแต่ที่เมืองนี้ แต่ขึ้นชื่อทั้งประเทศ เพียงแค่ที่วาเลนเซียถูกปากผมที่สุด
แต่ที่สะดุดตาผมที่สุดคือเครื่องดื่มสีขาวข้น ชาวสเปนเรียกว่า Oryata ทำจากเมล็ดพืช ดื่มเพียวๆ หรือดื่มคู่กับ Fratons ขนมคล้ายปาท่องโก๋ก็ได้ โดยนำ Fratons จุ่ม Oryata คล้ายขนมคุกกี้ยี่ห้อหนึ่ง แต่ไม่ต้องบิดและชิมครีม
หนังท้องตึงหนังตาก็หย่อน แต่จะง่วงแค่ไหนก็ต้องฝืนร่างกายไม่ให้ตกเป็นทาสความง่วง เพราะอีกไม่นานจะเจอสิ่งที่ทำให้ตาสว่าง ไม่ใช่แค่หนึ่งอย่างแต่หลายอย่าง...
หากเป็นบ้านเราคำว่า กลางใจเมือง อาจหมายถึงย่านการค้า ย่านธุรกิจ ย่านที่อัดแน่นความความทันสมัยและตึกสูงเสียดฟ้า แต่สำหรับกลางใจเมืองวาเลนเซีย กลับไม่มีตึกสูงเสียดฟ้า มีแต่สถาปัตยกรรมขนาดมหึมาตั้งตระหง่านอยู่ อย่าง Cathedral de Santa Maria โบสถ์แห่งนี้ถูกยกย่องว่าใหญ่ที่สุดในวาเลนเซีย โบสถ์เป็นศิลปะสไตล์กอธิก และหอ Miguelete Tower ของโบสถ์นี้ยังเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองด้วย
โบสถ์ถูกสร้างขึ้นในพื้นที่ที่เป็นมัสยิดมาก่อน เริ่มก่อสร้างในศตวรรษที่ 13 ไปพร้อมกับปรับเปลี่ยนอยู่เรื่อยๆ ไปจนถึงศตวรรษที่ 17 อาคารมีสถาปัตยกรรมหลากหลายสไตล์แม้ว่าจะเห็นเด่นชัดว่าเป็นศิลปะสไตล์กอธิกก็ตาม
ภายในโบสถ์มีสิ่งน่าสนใจหลายอย่าง เช่น ห้องสวดมนต์ Chapel of the Holy Grail มีวัตถุโบราณชิ้นสำคัญจัดแสดงอยู่ รวมถึงจอกศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่ศตวรรษที่ 1 หลังคริสตกาล ตามตำนานเล่าว่าพระเยซูคริสต์ใช้ในพิธีล้างบาป
หลังชื่นชมความใหญ่โตโอฬารและงดงามตามสไตล์กอธิก ลดโทนกันด้วยบรรยากาศสบายๆ อาจไม่มีใครเคยกล่าวไว้ว่าหากอยากรู้จักประเทศใดถึงแก่นให้เดินเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ของประเทศนั้น...แต่นั่นคือความจริง เพราะที่วาเลนเซียมีแง่มุมที่น่าสนใจและอาจหาไม่ได้ ณ มุมใดของโลก เช่น Fallas Museum พิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมผลงานศิลปะอันเกี่ยวข้องกับประเพณีเฉพาะถิ่นตั้งแต่ยุคกลาง
ที่วาเลนเซียในอดีตเมื่อถึงช่วงปลายฤดูหนาวชาวเมืองจะนำข้าวของเก่าและเหลือใช้ออกมาทิ้งและเผาทำลาย (เดาว่าอาจเกี่ยวกับให้ความอบอุ่นด้วย) ต่อมาได้นำข้าวของที่ถูกทิ้งแล้วมาตกแต่งและมีการตกแต่งเป็นใบหน้าและรูปต่างๆ แน่นอนว่าประเพณีนี้ย่อมมีพัฒนาการ จากการตกแต่งข้าวของธรรมดาในที่สุดประเพณีใช้ช่างศิลป์มืออาชีพเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานเรียกกันว่า หุ่นฟายาส ถึงขั้นประชันขันแข่งกัน
พิพิธภัณฑ์จึงเป็นที่เก็บหุ่นฟายาส หรือหุ่นเล่นไฟที่สวยงามมากที่สุด (บางตัวน่ากลัวที่สุด) หุ่นเหล่านี้ที่ยังเหลือรอดมาอยู่ในพิพิธภัณฑ์ได้ต้องถูกโหวตจากมหาชนให้เป็น Survivor จากเทศกาลงานประจำปีเผาหุ่นเล่นไฟ โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดแสดงหุ่นฟายาสมาตั้งแต่ปี 1934
หุ่นฟายาสทำด้วยกระดาษและโครงไม้ ที่น่าสนใจคือหุ่นแต่ละตัวเล่าเรื่องราวสะท้อนสังคม บางตัวน่าขบขัน บางตัวสะท้อถึงนโยบายสาธารณะ ปรากฏการณ์ทางสังคม วิถีชีวิต และแน่นอนต้องวิพากษ์การเมือง ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ 4 ยูโรไม่แพงเลยหากได้เห็นอะไรต่อมิอะไรผ่านหุ่นที่ทั้งงดงามและมีความหมาย
ปัจจุบันหากใครเดินทางมาวาเลนเซียช่วงกลางเดือนมีนาคมอาจได้สัมผัสลึกซึ้งมากกว่าแค่มาดูในพิพิธภัณฑ์ เพราะเทศกาลเผาหุ่นเล่นไฟเป็นงานประจำปีจัดขึ้นในวันที่ 19 มีนาคม โดยก่อนงานจะมีการจัดแสดงนิทรรศการหุ่นฟายาสที่ทำขึ้นระหว่าง 1 - 15 มีนาคม
วาเลนเซียสามรส
จากศิลปะที่บอกเล่าประวัติศาสตร์ ประเทศที่ทุกซอกหลืบเป็นงานศิลปะไปเสียหมดยังมีศิลปะแบบอื่นๆ ให้ชื่นชมอีกมากมาย และสถานที่ต่อไปนี้คือความลงตัวระหว่างศิลปะ วิทยาศาสตร์ และธรรมชาติ นั่นคือ City Arts and Sciences (Ciudad de las Artes y las Ciencias) ว่ากันว่าเป็นความสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรมที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป โดยสถาปนิก Santiago Calatrava และ Felix Candela และมี Felix Candela เป็นที่ปรึกษา
ประกอบด้วย Reina (Queen) Sofía Palace of the Arts หรือโอเปร่า เฮ้าส์ สำหรับจัดแสดงงานทางวัฒนธรรมต่างๆ นอกจากนี้ยังมีเมืองใต้ทะเลขนาดมหึมาบนพื้นที่ 110,000 ตารางเมตร แค่เดินเลาะขอบไปเรื่อยๆ ก็ทำเอาหมดแรงกันทีเดียว แต่ต้องชื่นชมว่าที่โฆษณากันว่าเป็นส่วนผสมของศิลปะ วิทยาศาสตร์ และธรรมชาติ นั้นจริงแท้แน่นอน
อย่าคิดว่าเมื่อยแล้วจะหมายความวาเลนเซียหมดสีสันไปพร้อมกัน เพราะนอกจากเราจะได้ชื่นชมความงดงามของวาเลนเซียแง่มุมศิลปะและความงดงามต่างๆ มากมาย BIOPARC Valencia ทำเอาผมต้องรีบฟื้นพลังกลับมาเดินต่อให้ไหวทันที
สวนสัตว์ BIOPARC Valencia เป็นโครงการระยะยาวที่พัฒนาโดยผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาอาชีพ โดยเป็นโครงการที่คิดโดย Rain Forest Design S.L.บริษัทสเปนที่ก่อตั้งในปี 1995 ที่เน้นงานออกแบบ พัฒนา และจัดการสวนสัตว์รูปแบบใหม่ ดังนั้นนักท่องเที่ยวจึงได้สัมผัสความเป็นธรรมชาติที่ละม้ายคล้ายป่าจริงๆ นั่นจึงทำให้คนรู้สึกผูกพันและและตระหนักจนกระทั่งหวงแหนธรรมชาติมากขึ้น หากใครบอกว่าสวนสัตว์บ้านเราก็มีทำไมต้องไปสวนสัตว์ถึงวาเลนเซีย บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่ถ้าอยากเห็นสวนสัตว์ที่ให้อารมณ์เหมือนได้ไปยืนอยู่ทั้งแอฟริกา เมืองร้อน เมืองหนาว ครบถ้วน ก็น่าจะลองมาที่นี่
มาเถอะมา 'มาลาก้า'
หลากหลายอารมณ์ในดินแดนส้มวาเลนเซีย สำหรับนักเดินทางบางคนอาจอิ่มหมีพีมันและไม่อยากขยับตัวไปไหนอีก เพราะเรียกได้ว่าครบรสในที่เดียวกันไปแล้ว แต่สำหรับผม...ไม่พอ
สายการบิน Air Nostrum LAMSA ทำหน้าที่พาผมไปพบกับอีกประสบการณ์ที่ต้องบอกว่าคราวนี้กลิ่นไอทะเลมาเต็มๆ
เพียง 1 ชั่วโมงจากวาเลนเซียผมไม่เห็นวิวสองข้างทาง แต่พอมาถึงมาลาก้า เมืองตอนใต้ เมืองชายทะเล วิวสองข้างทางก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะจุดแรกที่ผมไปคือ Parador de Gibralfaro จุดชมวิวแบบพาโนราม่า มาจุดเดียวเห็นทั้งเมืองมาลาก้าในมุมกว้าง 360 องศา
เห็นทั้งตึกรามบ้านช่อง เห็นทั้งทะเล และแน่นอนว่าต้องเห็นสัญลักษณ์ของสเปน...สนามชนวัวกระทิง
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่าแดดที่มาลาก้าร้อนแรงกว่าที่วาเลนเซีย การชมวิวบน Parador de Gibralfaro จึงสิ้นสุดในเวลาไม่นานนัก ผมคิดในใจว่าเราควรไปหาที่ร่มๆ ได้แล้ว
และแล้วผมก็มาถึง Gibralfaro Castle Gibralfaro Castle สมใจที่หวัง เพราะภายในปราสาทสมัยศตวรรษที่ 14 แห่งนี้ทั้งใหญ่โตและร่มเย็น ว่ากันว่าปราสาทแห่งนี้กษัตริย์ Yusurf ชาวมุสลิมเป็นผู้สร้างขึ้น หากขึ้นไปด้านบน (ซึ่งผมก็ขึ้นไปโดนแดดเผาจากตรงนี้) จะมองเห็นเมืองมาลาก้า และท่าเรือในมุมกว้าง
สำหรับศิลปินหรือผู้สนใจงานศิลปะ อาจคุ้นชื่อเมืองมาลาก้าในฐานะบ้านของศิลปินผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลก ผมจึงไม่พลาดไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ปิกาสโซ่ ตั้งอยู่ในพระราชวัง Buenavista พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ Christine และ Bernard Ruiz-Picasso ได้บริจาคภาพเขียนผลงานของ Plabo Picasso จำนวนทั้งหมด 233 ชิ้นเพื่อให้ผู้เข้าชมได้อิ่มเอมใจกับผลงานล้ำค่า ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของ Plabo Picasso
ดื่มด่ำผลงานของศิลปินระดับโลกจนอุณหภูมิร่างกายและในใจเย็นลงแล้ว ต่อด้วยเดินชมสวน Botanical Garden - Jardin Botanico Historico บนพื้นที่ 23 เฮกเตอร์ (3-4 สนามฟุตบอล) คล้ายหลุดเข้าไปฉากหนังเรื่อง Avatar หนึ่ง คือมีพรรณไม้แปลกตาชาวเอเชียอย่างผม สอง สวนแห่งนี้รกครึ้มและร่มเย็นมาก แต่ก็ไม่น่าแปลกใจเลยเพราะสวนแห่งนี้มีมาตั้งแต่ปี 1850 ระยะเวลาเท่านี้พรรณไม้น้อยใหญ่จึงเติบโตทั่วสวนเช่นทุกวันนี้ เรียกได้ว่าอยากหาเสื่อสักผืนหมอนสักใบ หามุมดีๆ สักมุม แล้วนอนหลับสูดกลิ่นโอโซนให้ชื่นปอดสักวันสองวัน...
แต่ไม่ได้ เพราะมาลาก้ายังไม่หมดที่ไป และสถานที่ต่อไปนี้ถูกแปะชื่อเมืองต่อท้ายด้วย นั่นแปลว่าต้องเป็นของดีศรีมาลาก้าอย่างแน่นอน
นั่นคือ โบสถ์แห่งมาลาก้า เป็นโบสถ์สไตล์ Renaissance ตั้งตระหง่านอยู่ในเมืองมาลาก้า แคว้นอันดาลูเซีย ตามประวัติโบสถ์นี้ก่อสร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ.1528-1782 ภายในโบสถ์เป็นสไตล์ Renaissance เช่นกัน ถ้าถามว่าสวยไหมก็บอกอย่างเต็มปากว่าสวยมาก แต่ต้องอึ้งเมื่อทราบว่าจนถึงปัจจุบันโบสถ์แห่งมาลาก้าก็ยังสร้างไม่เสร็จ เนื่องจากรัฐบาลเอาเงินที่จะใช้ก่อสร้างไปช่วยคนยากจน
...ที่อึ้งไม่ใช่อะไร ซาบซึ้งกับความตั้งใจปกครองประชาชนในประเทศ
เที่ยวเหนื่อย เมื่อยขา ตากแดดทั้งวัน ตากแดดยุโรปใครว่าไม่ดำ ผมบอกเลยว่าดำแบบไม่รู้ตัวเชียวล่ะ แดดร้อนแค่ไหนเราจะไม่รู้เลยเพราะอากาศเย็น บางทีการได้หาผักผลไม้กินบำรุงผิวก็เป็นเรื่องน่าสนใจ เพราะผักผลไม้ในเมืองหนาวน่ากินทีเดียว อย่างที่ผมเห็นในตลาดสด Atarazanas ในวันที่ผมไปเป็นวันขายผักผลไม้ จึงเห็นผักผลไม้นานาชนิดวางจำหน่าย สีสันแสบทรวง และราคาก็ไม่ได้โหดร้ายเลย บางอย่างราคาถูกมากด้วยซ้ำไป
จากข้อมูลที่ทราบมาว่าแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเมืองมาลาก้าราว 13 ล้านคน แต่นักท่องเที่ยวหลายคนไม่สนใจทะเลทั้งที่ที่นี่เป็นเมืองชายทะเล ไหนๆ ก็มาแล้วต้องลองของสักหน่อย
ผมจึงปิดม่านมาลาก้าด้วยปลาย่างริมทะเลที่ El Candado Beach Club แล้วก็เข้าใจแล้วว่าทำไมนักท่องเที่ยวไม่นิยมมาทะเลที่นี่กัน...







