แก้จน...บนผืนดินเค็ม

ดินเค็มภาคอีสานเป็นปัญหามานาน และนี่คือ นวัตกรรมง่ายๆ ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีสูงส่ง แค่เปลี่ยนวิธีคิดและวิธีทำ
“ความยากจน” เป็นโจทย์ใหญ่และยากที่สุดในการแก้ปัญหาให้เกษตรกรในภาคอีสาน หลายคนได้ยินบ่อยๆ ว่า ปลูกข้าวแล้วเป็นหนี้ ปลูกผลไม้ได้ราคาต่ำ หมุนเวียนเป็นเช่นนี้หลายทศวรรษ ยากจนซ้ำซากเป็นหนี้ เป็นสิน
หากจะมองปัจจัยในด้านถิ่นทำกิน นอกจากปัญหาแล้ง ดินเค็มยังเป็นปัญหาใหญ่ในการปลูกพืช รวมถึงกลไกการตลาดที่ถูกนายทุนเอารัดเอาเปรียบ
แล้วจะฝ่าวิกฤตเหล่านี้อย่างไร...
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ รัฐเคยเข้ามาช่วยเกษตรกรแก้ปัญหาดินเค็ม แต่ไม่สัมฤทธิ์ผล เพราะไม่ได้จริงจังในการแก้ปัญหาและแก้ไม่ถูกจุด
“คนที่นี่ยากจน แต่ขยันอย่างเดียว ก็ไปไม่รอด” รศ.ดร.เฉลิมพล เกิดมณี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ผู้ริเริ่มโครงการนวัตกรรมทางเทคโนโลยีเพื่อการฟื้นฟูพื้นที่ดินเค็ม เปิดประเด็น ขณะยืนอยู่บนพื้นที่ดินเค็มในเมืองขอนแก่นที่มีต้นไม้น้อยมาก โดยจุดหมายปลายทางการเดินทางไปที่บ้านปราชญ์ชาวบ้าน เมืองบุรีรัมย์
เค็มแค่ไหน ก็แก้ได้
เนื่องจากปัจจุบันพื้นที่ดินเค็มในอีสานจะทำนาเกลือก็ไม่ได้ ปลูกข้าวก็ไม่ได้ เกษตรกรที่อยู่บนพื้นที่เหล่านี้ พยายามซื้อปุ๋ยเคมีมาใส่ ทำให้ดินยิ่งแข็งขึ้น เมื่อปลูกพืชไม่ได้ ลูกหลานก็ไปหางานทำในกรุงเทพฯ เพื่อส่งเงินกลับบ้าน
ปี 2551 ทางศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และเอสซีจี จึงร่วมกันทำโครงการ นวัตกรรมทางเทคโนโลยีเพื่อการฟื้นฟูพื้นที่ดินเค็ม เพื่อให้ความรู้เกษตรกร ใช้เป็นเครื่องมือสร้างชีวิตที่ดีขึ้น
“บางคนบอกว่าน้ำท่วมอีสาน ล้างความเค็มของเกลือได้ ในอดีตล้างได้ แต่ล้างเสร็จไม่มีต้นไม้ เกลือก็ขึ้นมาใหม่” ดร.เฉลิมพล เล่า
ดังนั้นกระบวนการพลิกผืนดินเค็ม เขาจึงนำนวัตกรรมหลายแบบมาใช้ โดยคำนึงถึงสภาพพื้นดิน บางแห่งใส่อินทรียวัตถุพวกผักตบชวา มูลสัตว์ ปูนขาว และยิปซัมในนา และตรวจระดับความเค็มเป็นระยะ บางพื้นที่ให้ปลูกยูคาลิปตัสบนคันนา เพื่อให้รากที่หยั่งลึกได้มากกว่าต้นข้าวดูดน้ำใต้ดินไม่ให้ไปละลายแร่เกลือใต้ดิน เพื่อลดความเค็ม นอกจากนี้ยังใช้วิธีปลูกพืชที่มีรากยาวและลึกพวกแคบ้าน ขี้เหล็ก นนทรี เพื่อลดความเค็มของดิน รวมไปถึงการใช้น้ำหมักชีวภาพ
แม้การฟื้นฟูผืนดินเค็มสี่หมื่นไร่ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ทำไมทีมวิจัยกลุ่มนี้ทำได้ เพราะพวกเขาค่อยๆ ทำ โดยถ่ายทอดองค์ความรู้ผ่านปราชญ์ชาวบ้าน เพื่อให้พวกเขานำไปถ่ายทอดต่อ ซึ่งเรื่องนี้ ดร.เฉลิมพล มองว่า เกษตรกรขยันอย่างเดียว แก้ปัญหาไม่ได้หรอก ต้องมีปัญญาด้วย
"เราไปสอนนวัตกรรม และเปลี่ยนกรอบความคิดเกษตรกร ใช้เวลาฟื้นฟูดินเค็มอยู่สามปี ถามว่าเอาเกลือใต้ดินไปไว้ที่ไหน เราไม่สามารถเอาเกลือไปไว้ที่อื่น วิธีการของเราคือ เอาเกลือไปอยู่ที่เดียวกัน ดินที่เค็มต้องมีที่อยู่ โดยใช้น้ำแยกที่อยู่ของดินและเกลือ ที่สำคัญหน้าดินต้องเป็นดินจืด กระบวนการของเรา คือ ลดความเค็มของเกลือ”
นวัตกรรมง่ายๆ
หากจะถ่ายทอดความรู้ ก็ต้องใช้ปัญญาในแก้ปัญหาอย่างครบวงจร โจทย์ใหญ่ของพวกเขาก็คือ เมื่อแก้ปัญหาดินเค็มได้แล้ว เกษตรกรต้องมีรายได้เพิ่มขึ้น ดร.เฉลิมพล บอกว่า ถ้าปราชญ์เหล่านั้นไม่ได้ต่อยอดความรู้ พวกเขาก็ไม่ได้พัฒนา
"เราไปต่อยอดให้พวกเขาเผยแพร่ความรู้ และใช้ศูนย์การเรียนเชื่อมต่อไปถึงเกษตรกร"
โครงการดังกล่าว เมื่อดำเนินการมาได้สามปี สามารถมีสมาชิกในเครือข่ายกว่า 4,000 รายบนพื้นที่สี่หมื่นไร่ โดยใช้ศูนย์การเรียนรู้ 72 แห่ง 16 จังหวัดในอีสานเผยแพร่ความรู้ และผลสำรวจปี 2555 พบว่า เกษตรกรที่มีรายได้เฉลี่ยครัวเรือนต่อปีจาก 150,000 บาท มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 230,000 บาท
"แหล่งผลิตผลไม้อร่อยอยู่ริมทะเลสมุทรสาคร และแหล่งปลูกข้าวหอมมะลิก็อยู่อีสาน เพราะดินเค็มทำให้พืชผักผลไม้รสชาติอร่อย แต่ต้องไม่เค็มมาก จึงต้องกดทับเอาไว้ เราก็เลยนำข้าวสายพันธุ์ทนเค็มมาให้เกษตรกรทดลองปลูก อาทิ หอมมะลิ 105 ข้าวเหนียว กข6 ข้าวเจ้ากข15 และข้าวพิมาย ฯลฯ" ดร.เฉลิมพล เล่าและบอกว่า ที่สำคัญต้องสร้างกำไรที่ยั่งยืน เน้นการใช้ปุ๋ยขี้วัว ขี้ควาย เพื่อลดต้นทุนการเกษตร
“แค่ทำบัญชีครัวเรือนยังไม่พอ เกษตรกรต้องมีจินตนาการ กระบวนการออกแบบลักษณะนี้ ก็เหมือนธุรกิจ คือ เรียนรู้
การจัดการชีวิตตัวเอง ถ้าปีแรกทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ก็เหมือนคนเดินในทะเลทรายแล้วเจอน้ำ หลังจากนั้นสร้างเครือข่าย เมื่อผ่านไปสามปี เราให้มหาวิทยาลัยขอนแก่นประเมินผล พบว่า เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น 20-30 เปอร์เซ็นต์"
กระบวนการสร้างปัญญาเหล่านี้ ดร.เฉลิมพลถอดหลักการมาจากธรรมะของพระพุทธเจ้า เขาบอกว่า พระพุทธเจ้าสอนคนที่เปรียบเสมือนบัวเหนือน้ำก่อน
"เราก็สอนคนเก่งเพื่อให้เป็นครูช่วยเราสอน เราเลือกคนที่พร้อม ไม่เน้นปริมาณ ใช้แนวคิดนวัตกรรมเพื่อให้เห็นผลเร็ว หลังจากนั้นมีกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน"
ยั่งยืน ไม่ใช่แค่สโลแกน
อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาความยากจน ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยีอย่างเดียว ยังต้องมีกระบวนการจัดการ เปลี่ยนความคิดและการเรียนรู้กลไกตลาดที่เหมาะกับพื้นที่ เพื่อสร้างความยั่งยืน
“เรากินข้าวมาทั้งชีวิต ไปอยู่เมืองนอก กินอย่างอื่นแค่สองวัน ก็คิดถึงข้าว กินข้าวถ้วยละร้อยบาท แพงมาก อยู่ต่างประเทศหุงข้าวกินเอง อร่อยมาก เราได้ยินมาว่าเกษตรกรปลูกข้าว ขายข้าวขาดทุน ในฐานะคนไทย เราจะทำยังไง เพื่อให้เราได้กินข้าวต่อไป” วีนัส อัศวสิทธิถาวร ผู้อำนวยการสำนักงานสื่อสารองค์กร เอสซีจี เล่าเพื่อให้เห็นว่า เกษตรกรมีความสำคัญเพียงใด ในฐานะหน่วยงานเอกชนที่เห็นคุณค่าของข้าว จึงต้องสนับสนุนโครงการที่มีความยั่งยืน
ในมุมของเกษตรกร หากแก้โจทย์ชีวิตความเป็นอยู่ได้ มีหรือ...ที่ใครจะไม่ยินดี คำเดื่อง ภาษี ปราชญ์ชาวบ้าน สถาบันฟื้นฟูภูมิปัญญาไทย จ.บุรีรัมย์ แม้ผืนดินกว่าร้อยไร่ของเขาจะไม่ได้มีปัญหาดินเค็ม แต่เขาก็เห็นปัญหาเกษตรกรอีสานมาทั้งชีวิต
ดังนั้นความยั่งยืนในความหมายของเขา เขาให้หลักคิดง่ายๆ ว่า "กินอิ่ม ห่มผ้า นอนใต้ต้นไม้" คือ ให้ดินกินให้อิ่ม โดยการเติมอินทรีย์วัตถุ, ห่มผ้า ก็คือ คลุมดินด้วยเศษฟาง เศษหญ้า และนอนใต้ต้นไม้ หมายถึง ปลูกต้นไม้ใหญ่
"เมื่อผมหมดหนี้ ผมก็มีความสุข" พ่อคำเดื่อง เล่า ทุกวันนี้เขาจะทำงานหรือไม่ทำงาน ก็มีกิน เนื่องจากพื้นดินสร้างผลิตผลอย่างต่อเนื่อง
"ตอนนี้อยู่เฉยๆ พื้นดินก็มีความหลากหลายทางชีวภาพ ไม่ต้องทำอะไร มีเห็ด หน่อไม้ให้เก็บกิน มีสวัสดิการ เมื่อตายมีไม้ไผ่หามโลง มีน้ำมะพร้าวล้างหน้า ลูกหลานเกิดมากี่ชาติก็มีกิน ที่สำคัญลูกหลานกลับมาอยู่บ้าน"
คงไม่มีคำอธิบายใดๆ มากกว่านี้
ทางด้าน ภาณุพงษ์ ภัทรคนงาม ประธานสภาเกษตรกร จ.ขอนแก่น เล่าว่า นักวิชาการคนอื่นๆ เข้ามาแล้วก็ไป แต่ดร.เฉลิมพลมาให้ความรู้อย่างต่อเนื่อง
"บ้านผมดินบ่เค็ม แต่น้ำเค็ม ก็ได้รับคำแนะนำว่าให้เลี้ยงกุ้งในน้ำกร่อย และผมตั้งใจว่า จะตามรอยพ่อ ไม่ต้องขอใครกิน"
เกษตร...นอกกรอบ
"เปลี่ยนความคิด ใช้นวัตกรรมให้เกิดประโยชน์ และเข้าใจวิธีการจัดการชีวิต " เหล่านี้น่าจะเป็นหัวใจของการเกษตรนอกกรอบ ซึ่งไม่มีสูตรสำเร็จ
ดร.เฉลิมพล เล่าว่า พวกเรามาเปลี่ยนวิธีคิดของเกษตรกรภาคอีสาน เมื่อทำนาขาดทุนก็ต้องคิดใหม่ ยกตัวอย่าง กรมพัฒนาที่ดิน บอกเกษตรกรว่า "ต้องปลูกโสน" แต่เกษตรกรบอกว่า "ปลูกแล้วเก็บขายไม่ได้ จะทำอย่างไร"
ถ้าให้เกษตรกรคิดใหม่ หากจะปลูกโสนในแปลงนา เมื่อใบร่วงจะมีแมลงมากินใบ แมลงเหล่านั้นก็เป็นอาหารให้ปู ดังนั้นชวนเกษตรกรมาทำบ้านพักตากอากาศให้ปูดีกว่า โดยเอาตาข่ายล้อมแปลงนา
"เมื่อปล่อยปูไปแล้ว ปูมีอาหารคือ แมลง เราก็จับปูไปขายได้วันละสองสามร้อยบาท วันไหนไม่ไปตลาด ก็โยนปูลงไหเกลือ ได้ปูเค็มไว้กินและขายอีก" ดร.เฉลิมพล เล่าถึงกระบวนการดัดแปลงในระบบเกษตร และบางชุมชนสามารถทำอาชีพใหม่ๆ ทำเรื่องกล้วยอย่างครบวงจร ทำปุ๋ยอินทรีย์โดยใช้เทคโนโลยีใหม่
"ผมทำกล้วยเบรคแตก โดยไม่ใช้น้ำตาล อาศัยความหวานจากธรรมชาติของกล้วย และผมเพาะเห็ดพันธุ์ที่เกษตรกรไม่เพาะขาย เมื่อผมคิดต่าง ผมก็ขายได้ " วีระ สิทธิสาร เกษตรกรจากศูนย์การเรียนรู้ชุมชนกลุ่มอีโต้น้อย จ. บุรีรัมย์ เล่าให้ฟังที่โรงเพาะเห็ด
โครงการเข้าไปฟื้นฟูดินเค็ม จึงไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาดินเค็มอย่างเดียว ยังโยงไปถึงเรื่องอื่นๆ ดร.เฉลิมพล บอกว่าการมีรายได้ที่ยั่งยืนและการแบ่งปันในชุมชนสำคัญมาก เราต้องเชื่อมโยงคนทุกฝ่ายมาทำงานด้วยกัน ตั้งแต่หน่วยงานรัฐ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ และเกษตรกร
"เราไม่ใช้วิธีที่รัฐทำ มีงบประมาณ ก็พาไปดูงานเที่ยวช้อป เราเปลี่ยนระบบใหม่ เติมเต็มให้องค์ความรู้ บอกต่อ ขยายเครือข่าย ยกระดับรายได้เกษตรกร และสร้างระบบการตลาด ซึ่งตลาดไม่จำเป็นต้องอยู่ในกรุงเทพฯหรือต่างประเทศ ถ้าไม่เก่งขายในเมืองนอกก็ต่อรองไม่ได้ ตลาดท้องถิ่นนี่แหละ ทำให้พวกเขาเข้มแข็งได้ ถ้าสร้างการค้าขายในท้องถิ่นได้ เกิดความคิดใหม่ๆ "
ความคิดใหม่ๆ ทางการตลาด เพื่อสร้างมูลค่าสินค้าเป็นอีกเรื่องที่ดร.เฉลิมพลให้ความสำคัญ และยกตัวอย่างว่า แทนที่เกษตรกรจะแปรรูปถั่วลิสง ทำเป็นถั่วตัดธรรมดาๆ ก็เอามาแต่งงานกับแมคคาเดเมียหรือเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ กลายเป็นถั่วตัดเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ เพิ่มมูลค่าอีกเท่าตัว
"เราก็เอากระบวนการแบบนี้ใส่เข้าไป ให้เกิดความหลากหลาย พวกเขาได้เรียนรู้ที่จะสร้างรายได้ในชุมชน เมื่อพ่อแม่ความเป็นอยู่ดีขึ้น ลูกๆ ก็อยากกลับบ้าน เพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงในชุมชน "
ดร.เฉลิมพล บอกว่า นี่คือกระบวนการมินิเอ็มบีเอฉบับง่าย นวัตกรรมไม่ต้องซับซ้อน ต้องหาให้ได้ว่า ช่องว่างตรงไหนที่คนอื่นไม่ทำ เราก็ทำ
"เราเคยชวนเกษตรกรคิดว่าจะทำอะไรออกมาขาย ชวนไปขายของ แล้วขายให้ดู ตลาดท้องถิ่นนี่แหละมั่นคง เพราะเป็นตลาดเพื่อนบ้าน หลักสำคัญของการสร้างรายได้คือ คิดให้เป็น พัฒนาด้วยตัวเอง ยกระดับการผลิต ยอมรับเทคโนโลยี แล้วหันมาทำการเกษตรแบบปราณีตที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า โดยใช้ฐานการเรียนรู้ตลอดชีวิต"
..................
ดินเค็มเพราะชั้นหิน
ดินเค็ม เกิดจากการมีชั้นหินเกลือขนาดใหญ่อยู่ใต้พื้นดิน ซึ่งพื้นที่ประมาณหนึ่งในสามของอีสาน มีดินเค็มมากกว่า 17 ล้านไร่
เนื่องจากภาคอีสานมีแอ่งชั้นดินเค็ม คือ แอ่งสกลนคร และแอ่งนครราชสีมา ซึ่งผลิตเกลือสินเธาว์มานานกว่าพันปี สมัยก่อนก็สร้างรายได้ให้ประชาชน
แต่ในยุคนี้น้ำเกลือที่สูบจากใต้ดิน ไม่เค็มพอที่จะทำนาเกลือ และดินก็เค็มเกินกว่าจะปลูกทำนาข้าว
จึงไม่แปลกที่ประชาชนตกอยู่ในความยากจน แม้รัฐจะเข้ามาสนับสนุนให้ปลูกกระถินออสเตรเลียและหญ้าดิกซี่ เพื่อลดการแพร่กระจายดินเค็ม แต่แก้ปัญหาได้ระดับหนึ่ง ยังไม่สามารถปลูกพืชเศรษฐกิจได้







