ของป่า ค้าไม่ผิด?

รู้หรือไม่ ไทยเราเคยรวยเพราะของป่า และก็รวยได้อีกเพราะของป่า
"ของป่า" อาจจะดูไกลตัว แถมยังใกล้คุกใกล้ตารางสำหรับคนยุคนี้ แต่ย้อนกลับไปเกือบ 2,000 ปีที่แล้วในสมัยอยุธยา "ของป่า" กลับเป็นขุมทรัพย์ที่หาได้ทั่วไป กล่าวได้เลยว่า "อยุธยารุ่งเรืองได้เพราะของป่า
ฟังดูเหมือนไม่น่าเชื่อ แต่พอได้เห็นข้อมูลที่ทางมิวเซียมสยามรวบรวมไว้ในนิทรรศการ "ค้าของป่า" แล้วเป็นอย่างนั้นจริงๆ
ใครจะรู้บ้างว่า ครั้งหนึ่งในรัชสมัยของพระเจ้าปราสาททองเคยส่งหนังกวางให้ญี่ปุ่น ถึง 103,480 ผืนต่อปี รัชสมัยพระนารายณ์ ปีพ.ศ. 2204 ช้างสยาม 100 เชือกถูกส่งออกจากเมืองท่ามะริดเพื่อไปเป็นช้างศึกที่อินเดีย
แม้กระทั่งพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ยังเคยสั่งซื้อไม้ฝางไทยไปผสมขี้ผึ้งเพื่อทำเครื่องสำอางและย้อมผ้า
ของป่าเอ็กซ์ปอร์ต
"ของป่า" ที่พูดถึงภายในตัวนิทรรศการไม่ใช่นอแรด เขากวาง หนังเสือ หรืออะไรที่ต้องฆ่าสัตว์เพื่อแลกมาอย่างที่เข้าใจกัน แต่เป็นผลิตผลที่ออกมาจากป่าอย่างไม้ฝาง ไม้หอม ช้าง กวาง ซึ่งเป็นของ “ฟรี” ที่มีอยู่ทั่วไป โดยชาวสยามไม่ต้องลงทุน (แต่ลงแรง)
"ป่า" กลางแจ้งขนาดย่อมถูกสร้างขึ้นไว้ด้านนอกของอาคารมิวเซียมสยาม ในนิทรรศการ "ค้าของป่า" ถอดรหัสอยุธยาโมเดล ต้นแบบธุรกิจสร้างกำไร จากความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ จัดโดยสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ แบ่งเป็น 2 ส่วนหลักคือ เรื่องราวของ “ของป่า” ที่รุ่งเรืองในสมัยอยุธยา และ “ของป่า” ที่อยู่รอบตัวเรา
ป่าแห่งนี้ได้จัดแสดงภาพรวมต้นแบบการทำธุรกิจค้าของป่าจนเป็นที่หมายตาจากหลายชาติเข้ามาแวะเวียนแลกเปลี่ยนสินค้าจากทุกสารทิศ
..ช้างจำลองขนาดตัวเท่าของจริงทำขึ้นจากผ้า ยืนประจำที่โซนด้านหน้านิทรรศการเพื่อเล่าถึงประวัติศาสตร์ว่า ครั้งหนึ่งสยามเคยส่งช้างที่ฝึกโดยไพร่พลชาวสยามไปเป็นช้างศึกของอินเดียเพื่อแลกกับผ้าฝ้ายลายพิมพ์จากชายฝั่งโคโรมันเดล ประเทศอินเดีย
..หุ่นกวางสีเหลืองฝูงหนึ่งจำลองขึ้นในลักษณะกระดาษพับออริงามิของญี่ปุ่นสวมเครื่องประดับที่เป็นชิ้นส่วนจากเสื้อเกราะยืนเรียงกันเพื่อแสดงสัญลักษณ์ว่า สยามเคยส่งหนังกวางไปญี่ปุ่นเพื่อทำเป็นชุดศึก
..ชุดกิโมโนสีแดงแขวนอยู่ใต้ต้นฝาง บ่งบอกว่า ไม้ฝางจำนวนมากเคยถูกส่งจากสยามไปยังญี่ปุ่นเพื่อใช้ย้อมผ้า
ลองจินตนาการดูว่า สยามสามารถส่งช้าง กวาง ไม้ฝางถึงขนาดทำรายได้มากมาย สยามสมัยนั้นจะมีของป่าเหล่านี้อุดมสมบูรณ์ขนาดไหน
พาฉัตร ทิพทัส นักจัดการความรู้อาวุโส มิวเซียมสยาม ผู้สร้างป่าแห่งนี้เล่าว่า เขาอยากให้สถานที่เรียนรู้แห่งนี้เป็น wonderland ที่ผู้ชมต้องตีความเอาเอง
“เราทำเป็นสวนที่สามารถส่งสารที่เราต้องการพูดได้ บางที่ที่เขาจัดสวนพฤกษศาสตร์ แต่เขาจัดนิทรรศการในอินดอร์แยกกัน มันโยงกันลำบาก ถ้าเรารวมอยู่ในที่เดียวกันเลย เล่าแบบโป๊ะแตก เล่าแบบเด็กเล่า ไม่จำเป็นต้องเป็นสวนพฤกษศาสตร์ในขนบ แต่มีช้าง มีกวาง มีอะไรที่มันการ์ตูนมากๆ เอาเรื่องราวเหล่านี้มาตีเป็นตัวละคร เล่าไปพร้อมกับต้นไม้ จะสนุกกว่า”
(ของ)ป่าอยู่รอบตัวเรา
นอกจากนี้ นิทรรศการยังเล่าเรื่อง “ของป่า” ที่อยู่ใกล้ตัวสุดๆ แต่เรากลับไม่เคยรู้ หรือสนใจที่จะรู้จักสิ่งเหล่านี้สักเท่าไรนัก..
ยกตัวอย่างไม้ที่เราได้กลิ่นเป็นประจำยามทานอาหาร ไม่ว่าจะเป็น "สามเกลอ" เพื่อนคู่ซี้ที่ไม่เคยจากกันไปไหนอย่าง รากผักชี-กระเทียม-พริกไทย หรืออบเชยและโป๊ยกั้กที่เป็นเครื่องเทศในเมนูประจำบ้านอย่างพะโล้
..ไม้ขายรสเหล่านี้ถูกซ่อนไว้ในฝาชีรูปต่างๆ ให้ผู้ชมเข้าไปสูดกลิ่นด้วยตัวเอง และเพื่อที่จะเรียนรู้ว่า แท้จริงแล้วก็คือ "ของป่า"
"คิดว่า จะเอาเครื่องเทศมาจัดเรียงยังไงเพื่อสื่อความหมาย เราจึงทำซุ้มฝาชีครอบไว้ เพื่อให้เห็นว่า ต้นไม้แต่ละต้นมีโปรดักต์เป็นเครื่องเทศอะไรบ้าง ในฝาชีรูปทรงต่างๆ ที่สอดคล้องกับอาหารประจำชาติ คือเราต้องเอาเนื้อหาพวกนี้มาตีความ มาบวกกับต้นไม้ แล้วมันจะออกมาเป็นรูปทางกายภาพอะไรบ้าง” พาฉัตรเล่าถึงโซน "ค้าไม้ ขายรส"
กลิ่นจากไม้ไม่ได้เพียงนำไปขายรสได้เท่านั้น แต่ยังขายกลิ่นหอมๆ ที่สร้างกำไรได้มากมาย แต่กว่าจะออกมาเป็นกลิ่นที่หอมถูกใจได้ ต้นไม้เหล่านี้ต้องผ่านความกระบวนการแปลกๆ มาก่อน อย่างต้นกฤษณาต้องมีเชื้อราเกิดขึ้นก่อนจึงจะได้กลิ่นหอม หรือต้นจันทน์ที่จะต้องตายขณะ "ยืนต้น" เท่านั้นจึงจะหอม
ต้นไม้ในโซนค้าไม้ ขายกลิ่นนี้จะปลูกล้อมรอบสถาปัตยกรรมที่จำลองขึ้นว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ให้เห็นว่าเครื่องหอมทั้งหลายนั้นเข้าไปเกี่ยวข้องกับความเชื่อ หรือเครื่องบูชาต่างๆ มากมาย เช่น ธูป หรือกำยานสำเร็จ
ใกล้ๆ กันเป็นโซนค้าไม้ ขายยา มีสมุนไพรชื่อไม่คุ้นหูหลายชนิดบรรจุอยู่ในขวดตามส่วนประกอบของยานั้นๆ อย่าง “ยาหอม” ที่มีส่วนประกอบของสมุนไพรถึง 50 ชนิด เช่น โกษฐ์พุงปลา โกษฐ์น้ำเต้า เทียนดำ เทียนขาว รากไคร้เครือ เถามวกแดง เปลือกชะลูด ฝางเสน ฯลฯ หรือ “จันทน์ลีลา” ก็มีสมุนไพร 8 ชนิดรวมกันอยู่
"ไม้ขายยา เราจะเล่าผ่านอาศรมฤาษี เราตีความว่า ต้นไม้เหล่านี้ก็จะเป็นแปลงทดลองของฤาษีที่จะนำยาพวกนี้เข้าไปลงในผืนโลก เราแยกสมุนไพรตามการบรรเทาโรค ฉะนั้นเราก็ต้องมานั่งดูว่า จะแยกออกมาได้กี่ประเภท เป็นซุ้มที่เล่าเรื่องระบบหายใจ ระบบทางเดินปัสสาวะ เรื่องประจำเดือน แล้วก็เอาต้นไม้ที่เป็นสมุนไพรที่เกี่ยวกับแต่ละโรคมา" พาฉัตรเสริมด้วยว่า จากการศึกษาต้นสมุนไพรเหล่านี้ทำให้เขาค้นพบว่า สมุนไพรหลายชนิดที่เราคุ้นหูแต่เรากลับไม่เคยเห็นต้นจริงๆ เลย
"มะแว้ง ที่เราคุ้นๆ ชื่อ พอมาดูต้นก็คล้ายต้นมะเขือ ชะเอมเทศที่มีส่วนผสมในยาอมหลายชนิด เพิ่งมาเห็นว่า จริงๆ ที่เราใช้เป็นลำต้นใต้ดินที่ต้องฝานมา เวลาเรากินน้ำเก๊กฮวย เขาจะใส่ชะเอมเทศลงไปด้วยจะได้ชุ่มคอ"
.. นั่นหมายความว่า ของพวกนี้มันมีอยู่ โดยที่เราไม่รู้
สีสันของสมุนไพรบางชนิดยังนำมาใช้เป็นสีย้อมผ้าได้ด้วย สีธรรมชาติเกิดขึ้นได้ทั้งจาก ราก-ลูก-เปลือก-แก่น-ดอก-ใบ ของต้นไม้ได้ทั้งนั้น โซนค้าไม้ ขายสีจึงเสนอไอเดียการนำเสื้อยืดย้อมสีต่างๆ มาตากโชว์สีให้เห็น พร้อมข้อความบ่งบอกต้นตอของสี
สีที่ได้จากสมุนไพรที่ใกล้ตัวที่สุดคงจะเป็นขนุนที่ให้สีเหลือง แต่ต้องย้อมจากแก่นขนุนไม่ใช่จากลูกขนุนที่เราทานกัน หรือสีแดงที่ได้จาก ครั่ง ก็เป็นยางของเพลี้ยชนิดหนึ่งที่ขับออกมาเพื่อสร้างรังห่อหุ้มตัว ต้องสัมผัสกับอากาศก่อนจึงจะแข็งตัวเป็นก้อนและนำไปใช้ย้อมสีได้
ของป่าทำเงิน
ป่าแห่งนี้ไม่ได้เพียงแสดงให้เห็นอดีตที่เคยรุ่งเรืองเพราะการค้าของป่าและของป่าที่อยู่ในชีวิตประจำวันเพียงเท่านั้น แต่ยังชวนให้นึกถึงการต่อยอดจากของเหล่านี้ด้วย
จากกวางป่า เราจะต่อยอดทางเศรษฐกิจอย่างไร จากการค้าช้างแบบแลกเปลี่ยนในสมัยอยุธยา ปัจจุบันจะนำมาพัฒนาเป็นระบบอย่างไร หรือแม้กระทั่งเกร็ดความรู้จากไม้ฝางที่เป็นพืชในตลาดล่างจะคิดต่อได้อย่างไร
“ประเด็นของฝางน่าสนใจ เพราะเป็นไม้ย้อมผ้าเกรดต่ำ มีวัตถุอื่นที่ให้สีที่ถาวรกว่า ฝางย้อมแล้วก็อยู่ได้ไม่นาน แต่ว่ามันราคาถูก เมื่อก่อนเลยมีการส่งออกก็ส่งเป็นล่ำเป็นสัน จุดนี้ก็น่าคิดว่าธุรกิจราคาถูกก็ทำให้เกิดกำไรได้มากมายเหมือนกัน” พาฉัตรอธิบาย
หรือแม้กระทั่งตำรับยาสมุนไพรที่ใครๆ ก็ทราบดีว่าเป็นยาชั้นยอด ยิ่งเดี๋ยวนี้ความนิยมในตัวยาสมุนไพรได้กระจายไปสู่ทุกเพศทุกวัย แต่จะมีใครรู้ช่องทางการหากำไรจากสมุนไพรเหล่านี้บ้าง ยาบางตัวมีคุณทางยาเทียบเท่ากับยาแผนปัจจุบันหรือมากกว่าด้วย อย่างยาจันทน์ลีลา ก็รักษาอาการปวด อาการไข้ได้เหมือนพาราเซตามอล สมุนไพรรางจืดที่มีสรรพคุณในการช่วยไม่ให้แอลกอฮอล์เข้าสู่สายเลือดก็พัฒนาไปทำชาแก้แฮงค์มากขึ้น
“ถามว่าตัวยาพวกนี้เป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับวงการสมุนไพรไหม ไม่เลย เป็นตัวยาที่หมอสมุนไพรไทยรู้จัก เพียงแต่ว่าบางครั้งมีการหยิบยกสมุนไพรบางตัวมาปั่นเพื่อกระแสเศรษฐกิจ บางทีฮิตเห็ดหลินจือ ก็มีเห็ดหลินจือทุกร้าน หรือฮิตกวาเครือขาว ก็มีกันทุกร้าน” ณัชชา เวชพงศา ผู้ทำธุรกิจการแปรรูปของป่ามาเป็นยารักษาโรคกล่าวไว้ในงานเสวนาเปิดตัวนิทรรศการ
ทุกวันนี้ “ป่า” ไม่ได้มีไม้อุดมสมบูรณ์เหมือนในอดีต แต่เราจะนำความรู้ในอดีตมาสร้างสรรค์สินค้าในระบบเศรษฐกิจได้อย่างไร ซึ่งณัชชาเล่าไว้อย่างน่าสนใจว่า แม้จะไม่มีป่า แต่เราก็สร้างป่าขึ้นมาได้ “การเอาธรรมชาติมาใช้เคียงคู่กับวัฒนธรรมไทยมีมาแต่ไหนแต่ไร พวกสมุนไพรอย่างฝาง ขมิ้น ปลาไหลเผือก เมื่อก่อนเป็นพืชป่าจริง แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีป่าให้หาแล้ว เป็นการนำพืชป่ามาปลูก ต่อยอดเอาเอง ปลูกเอาเลย เพราะว่าปีๆ หนึ่ง ความต้องการตลาดมีแต่จะเยอะขึ้น”
เช่นเดียวกับที่พาฉัตรเรียกป่าลักษณะนี้ว่า "ป่าประดิษฐ์"
“ปัจจุบัน เราไม่พึ่งกวางป่า เราพึ่งกวางบ้าน เราพึ่งจระเข้บ้าน อย่างตอนนี้หนังจระเข้มีราคาแพงมาก หรือน้ำผึ้งเป็นตัวอย่างที่ดีเลยว่า ยอดส่งออกเราดีมาก แต่เป็นน้ำผึ้งเลี้ยง ไม่ใช่น้ำผึ้งป่า ฉะนั้นเราทำป่ามนุษย์ประดิษฐ์ได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งป่า”
ชาวไทยแลนด์น่าจะร่ำรวยจากการรู้จักทำการค้าของป่าเหมือนชาวสยามได้ อาจจะไม่ “ฟรี” เหมือนก่อน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะพัฒนาต่อยอดเพื่อประดิษฐ์ของป่าเหล่านี้ไม่ได้







