ฉากชีวิตก่อนมิดไนท์

ผู้คนในมหานครที่ไม่เคยหลับใหล ต้องปรับตัวกันอย่างไรในสภาวการณ์ 'เคอร์ฟิว'
เคอร์ฟิวประกาศวันแรก 24 พฤษภาคม 2557 ห้ามออกจากบ้านเวลา 22.00-05.00 น. หลายคนรีบปรับตัวคำนวนเส้นทางการกลับบ้าน ห้างร้านต่างๆ ปิดเร็วขึ้น หลังจากนั้นบรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลง เมื่อคณะคสชมีประกาศอีกครั้งให้เคอร์ฟิวเลื่อนเวลาออกไปอีกเป็น 00.01-04.00 น. แม้บรรยากาศจะผ่อนคลายไปบ้างแล้ว ทว่าคำว่า เคอร์ฟิว ก็มีผลต่อความรู้สึกและการดำเนินชีวิตของคนจำนวนหนึ่งอยู่ดี
นักข่าวสาวมือใหม่เผยประสบการณ์วันแรกหลังประกาศเคอร์ฟิวว่า หัวหน้าสั่งให้รีบกลับบ้านตั้งแต่เวลาทุ่มกว่าๆ วันต่อมาสำนักพิมพ์ออกใบรับรองขอกลับบ้านดึกไว้ให้พนักงานเพื่อแสดงต่อเจ้าหน้าที่ พอเคอร์ฟิวเลื่อนเวลา จึงกลับบ้านตามปกติก็คือไม่เกิน 4 ทุ่ม ผลกระทบมีบ้างเพราะงานอีเวนท์และคอนเสิร์ตต่างๆ ยกเลิก และมีอุปสรรคบ้างเวลาไปทำข่าวในย่านที่มีคนประท้วงต่อต้านการรัฐประหาร ที่ผ่านมาก็คือบริเวณแมคโดนัลด์ อัมรินทร์พลาซ่า ถือเป็นจุดเสี่ยงที่หัวหน้างานสั่งให้หลีกเลี่ยง อย่างอื่นแทบไม่มีปัญหา
ต่างจาก ชยุตรา สุทธิลักษณ์ พยาบาลสาวที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ซึ่งเป็นโรงพยาบาลทหาร เธอว่านอกจากจะให้บริการแก่ประชาชนแบบสถานพยาบาลทั่วไปแล้ว ต้องอยู่ในระบบระเบียบทหาร ต้องออกไปปฏิบัติภารกิจพิเศษหากมีคำสั่ง ในภาวะแบบนี้ก็ยังทำงานกันตามปกติ
"เรามีการประชุมวางแผนรับผู้ป่วย มีการรายงานตัว สแตนบาย คนทั่วไปช่วงเคอร์ฟิวอาจจะออกไปไหนมาไหนไม่สะดวก ไม่ค่อยมีรถ แต่ว่าเราทำงานกันตามปกติไม่มีผลกระทบอะไร บางวันเข้าเวรเช้า บางวันเข้าบ่าย บางทีเขาเวรเช้าแล้วก็เข้าเวรดึกอีกรอบ เวรเช้าเช่นเข้า 06.30-16.00 น. ประมาณ 8 ชั่วโมง เวรดึกประมาณ 23.30-08.00 น. ไม่มีผลกระทบเรื่องการเดินทาง เพราะหอพักอยู่ภายในโรงพยาบาล คิดว่าพยาบาลที่ทำงานโรงพยาบาลเอกชนก็คงไม่มีผลกระทบเช่นเดียวกัน แต่ถึงอย่างไรเราก็คงไม่อยากให้สถานการณ์บ้านเมืองเป็นแบบนี้ อยากให้ทุกอย่างเป็นปกติโดยเร็ว ทุกคนจะได้ดำเนินชีวิตเป็นปกติไม่มีการจำกัดเวลาเข้าออก ส่วนตัวแล้วอยากให้คนไทยรักและสามัคคีกัน เลิกมีความขัดแย้งต่อกันค่ะ"
นักท่องเที่ยวหาย กำไรหด
มูนีล ชีค (Muneer Sheikh) พ่อค้าชาวอินเดีย ซึ่งมีร้านค้าอยู่ที่ เอเซียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ แสดงความคิดเห็นว่า
“ผมมาลงทุนค้าขายอยู่ที่นี่ ตามปกติร้านจะเริ่มเปิดตั้งแต่ 5 โมงเย็น สิ้นสุดที่เที่ยงคืนอยู่แล้ว ดูเหมือนจะไม่มีผลกระทบอะไร แต่เราต้องเผื่อเวลาปิดร้านและก็กลับบ้าน พอมีเคอร์ฟิวลูกค้าก็น้อยลง ทำให้ผมมาเปิดร้านสายขึ้น และปิดร้านเร็วขึ้น ปกติผมมาเปิดร้านบ่าย 3 โมง ตอนนี้เปิด 4 โมงครึ่ง เปิดไปจนถึงเที่ยงคืนถึงจะปิดร้าน ตอนนี้ 4 ทุ่มนักท่องเที่ยวก็ต้องรีบกลับที่พักแล้วเพราะพวกเขาก็ต้องเผื่อเวลาเหมือนกัน”
ชีวิตของมูนีลหลังปิดร้านก่อนหน้านี้เขาอาจจะไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ แถวนานา พอมีเคอร์ฟิวเขาก็ต้องกลับบ้าน เพื่อนๆ ที่อินเดียโทรมาถามตลอดเวลาว่ายังโอเคอยู่ไหม
“ผมก็ไม่รู้ว่าจะอีกยาวนานแค่ไหน เพิ่งมาทำธุรกิจอยู่เมืองไทย 2 ปี ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนและฮ่องกง พอสถานการณ์แบบนี้คนมาเที่ยวน้อยลง ถึงจะเลื่อนเวลาเคอร์ฟิวแต่นักท่องเที่ยวก็ยังไม่แน่ใจในความปลอดภัยเพราะมีการนำเสนอข่าวที่ประเทศเขาให้ระมัดระวังในการเดินทางมาประเทศไทยอยู่ดี ผมว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าทหารเข้ามาควบคุมสถานการณ์ แต่อยู่ที่การประกาศเคอร์ฟิวมากกว่า”
ถามหนุ่มอินเดียว่าถ้า คสช. ยังควบคุมสถานการณ์บ้านเมืองอยู่ แต่ไม่มีเคอร์ฟิวคิดว่าจะดีขึ้นไหม? เขาตอบว่านักท่องเที่ยวไม่สนใจหรอกว่าใครจะขึ้นมาบริหาร ขอเพียงให้ประเทศสงบรู้สึกปลอดภัย แค่นี้ลูกค้าก็กลับมาแล้ว
“ตอนนี้ธุรกิจไม่ดีเลย ร้านขายของก็เยอะมาก ค้าขายไม่ดีหลายร้านก็ต้องเลิกไป เพราะเคอร์ฟิวทำลายบรรยากาศ จะลองดูอีกสัก 2 เดือนถ้าไม่ดีขึ้นผมว่าจะลองไปลงทุนที่ประเทศอื่นดู อาจจะเป็นกัมพูชา หรือเวียดนาม ตอนแรกก็มองว่าเป็นสิงคโปร์เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ผมมาจากที่นั่น แต่ค่าครองชีพที่นั่นสูงเกินไป ”
มูนีล เล่าว่าที่อินเดียก็มีเคอร์ฟิว ทว่าเฉพาะพื้นที่เท่านั้น เช่นที่รัฐปัญจาบ รัฐแคชเมียร์ เพราะผู้ประท้วงต้องการแบ่งแยกดินแดน ใช้ความรุนแรงขว้างปาก้อนหิน รัฐบาลจึงประกาศเคอร์ฟิว ตั้งแต่ 08.00-20.00 น. ดังนั้นพวกเขาต้องตื่นแต่เช้า ตี 4 ถึง ตี 5 เพื่อออกจากบ้านไปทำธุระ ซื้ออาหาร ร้านรวงต่างๆ รีบเปิดให้บริการ 2-3 ชั่วโมงก่อนเวลาเคอร์ฟิว จึงไม่มีผลกระทบอะไรมาก เพราะเวลากลางคืนปกติแล้วก็ไม่มีใครออกจากบ้าน ต่างจากเมืองไทยที่มีชีวิต Night Life มากกว่า
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เคอร์ฟิว
อีกทัศนะหนึ่งจาก เนเน่ พนักงานสาวร้านอาหารญี่ปุ่นในแหล่งท่องเที่ยวย่านดัง ซึ่งเปิดให้บริการตั้งแต่ 17.00-00.00 น. เธอว่าปัญหาทุกวันนี้ไม่ได้อยู่ที่เคอร์ฟิว ทว่าอยู่ที่คนไทยไม่รักประเทศ ขัดแย้งกันเอง ทุกครั้งที่มีการประท้วงต่างๆ ไม่ว่าสีไหน คนไทยเองจิตใจไม่เป็นสุข ภาพลักษณ์ของประเทศโดยรวมดูแย่ลง นักท่องเที่ยวก็เริ่มลดลงตั้งแต่มีการประท้วงเกิดขึ้นอยู่แล้ว
ก่อนอื่นเธอออกตัวว่าไม่ได้เป็นคนเที่ยวกลางคืน พอเลิกงานก็กลับบ้านอาบน้ำนอนเลย พอมีเคอร์ฟิวเจ้าของร้านก็ขยับเวลาเลิกงานให้พนักงานกลับบ้านสะดวกอยู่แล้ว เช่นเคอร์ฟิวครั้งแรก 4 ทุ่มเจ้านายก็ให้กลับบ้าน 3 ทุ่ม ตอนนี้ขยับเวลาเคอร์ฟิวเป็นเที่ยงคืน เจ้านายก็ขยับเวลาให้เลิก 4 ทุ่ม ทว่าความเปลี่ยนแปลงก็คือลูกค้าเผื่อเวลากลับบ้านเร็วขึ้น ประมาณ 2 ทุ่ม ลูกค้าก็จะออกจากร้านหมดแล้ว ดังนั้นร้านอาหารที่เธอทำงานจึงมีเวลาขายแค่ 5 โมงถึง 2 ทุ่ม คนที่เดือดร้อนน่าจะเป็นเจ้าของร้านมากกว่าลูกจ้างอย่างเธอ
“ปกติไม่มีเคอร์ฟิว 3 ทุ่มลูกค้าก็หมดแล้วค่ะ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการประกาศยึดอำนาจ รัฐประหาร หรือเคอร์ฟิวแต่อย่างใด นี่ความคิดส่วนตัวนะคะว่า ตั้งแต่มีเรื่องประท้วงกันไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ทั้งสีเหลือง สีแดง ทั้งเสื้อขาวจุดเทียน ไม่จุดเทียน ดูแล้วมันก็น่าปวดหัว แถมยังมีระเบิดเอ็ม 79 อีก ถ้าเราเป็นนักท่องเที่ยวก็คงไม่อยากมาจริงไหม ไม่ต้องอะไรมากหรอก ขนาดเราเป็นคนไทยแท้ๆ ให้ไปเที่ยว 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เรายังไม่อยากไปเลย คิดแล้วก็กลุ้มใจ คือ...เราไม่ต้องไปไหนกันแล้ว เรารบกันเองอยู่นี่แหละ ประเทศอื่นเขาเตรียมตัวเข้าอาเซียน ปี 2015 เราไม่ต้องไปไหนแล้ว เราจะเอาอะไรไปสู้กับเขา ขนาดเรายังเข้ากันเองไม่ได้ ”
สาวนักเสิร์ฟทิ้งท้ายอย่างอ่อนใจว่า ตั้งแต่เกิดมาเธอก็พบว่าเมืองไทยนั้นมีระบบอุปถัมภ์ มีการเล่นพรรคเล่นพวก โกง คอรัปชั่น อยู่ในสายเลือด อยู่ในดีเอ็นเอคนไทยเลยก็ว่าได้ ปัญหานี้ไม่รู้จะแก้ยังไงจนเธอถอดใจคิดว่าคงแก้ไม่ได้แล้ว ถ้าคนไทยไม่รอเวลาให้ผู้บริหารประเทศ บริหารจนครบวาระ ใครขึ้นมาก็ประท้วงๆ แบบนี้ประเทศจะเดินต่อไปได้อย่างไร เงินภาษีของประชาชนก็สูญไปเปล่าๆ ต่อไปนี้หากประเทศมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ก็หวังว่าจะมีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น เธอคิดว่ายามนี้คนไทยเราต้องรักกันให้ได้
เหยี่ยวราตรีต้องปรับตัว
เวลาเคอร์ฟิวน่าจะเกี่ยวข้องกับผู้ที่ใช้ชีวิตกลางคืนโดยตรง โดยเฉพาะสิงห์นักเที่ยวเหยี่ยวราตรีที่อาทิตย์หนึ่งต้องสังสรรค์ 3 วันเป็นอย่างต่ำ กิตติลาภ ณ ประดิษฐ์ สารภาพว่าเมื่อก่อนเขามีอิสระเสรีเที่ยวที่ไหน กลับเมื่อไหร่ก็ได้ทว่าวันนี้ต้องปรับตัว
“ตอนประกาศเคอร์ฟิวครั้งแรก ห้ามออกจากบ้านเวลา 4 ทุ่มนี่ลำบากสุดๆ พอปรับเวลาเป็นเที่ยงคืนค่อยยังชั่ว ก็ต้องไปหาร้านว่ามีร้านไหนเปิดบริการถึงเที่ยงคืนบ้าง ส่วนมากผมกับเพื่อนก็จะนั่งร้านเหล้า หรือผับต่างๆ ทุกศุกร์-เสาร์ อาทิตย์ละ 3-4 ครั้ง ถ้าลำบากสุดๆ ก็ใช้วิธีซื้อไปกินที่บ้านเพื่อนคนใดคนหนึ่ง ผมเที่ยวแบบนี้มาตั้งแต่อายุ 22 ตอนนี้ 32 แล้ว แต่ตอนนี้เราก็ต้องให้ความร่วมมือกับทหารแม้เวลาสังสรรค์เราจะเหลือน้อยลงแต่ชาติสำคัญกว่า”
หนุ่มนักเที่ยวมองถึงผลดีว่า ประหยัดเงินค่าเหล้าไปมาก ทว่าข้อเสียคือไม่ได้สังสรรค์กับเพื่อนๆ บ่อยเท่าที่ควรเท่านั้นเอง ซึ่งเขาก็ปรับตัวได้
“ผมคิดว่าเหตุการณ์นี้ถ้าอยู่ต่ออีก 1-2 เดือนยังพอรับได้ ถ้ายืดเยื้อนานกว่านี้อาจจะไม่ดี เพราะสิทธิเสรีภาพของเราหายไปนานๆ อาจจะสร้างความอึดอัด ผมว่าเกิดเหตุการณ์นี้ก็ดีนะครับคนไทยจะได้เลิกทะเลาะกันซะที ทุกวันนี้เราเหมือนมองกันคนละมุม ก็เหมือนครอบครัวพี่น้องที่ทะเลาะกันเพราะมีความเห็นที่ต่างกัน ต่างก็คิดว่าตัวเองถูก ประเทศไทยต่อจากนี้ผมก็หวังว่าคนไทยจะกลับมารักกันเหมือนเดิม ไม่มีคำว่าเสื้อเหลือง เสื้อแดง น่าจะพอได้แล้ว เปิดทีวีเจอข่าวประท้วงทุกวัน เหมือนครอบครัวไม่สงบสุขทะเลาะกันเอง บ้านผมก็มีปัญหานี้คนในบ้านเห็นไม่เหมือนกันเราก็เลยไม่พูดเรื่องการเมืองในบ้าน แต่ก็มีแซวกันขำๆ เพราะบ้านผมไม่หัวรุนแรงขนาดนั้น”
เหยี่ยวราตรีรายนี้ มีความหวังว่าอนาคตประเทศไทยต่อไปอยากให้คนไทยลืมเรื่องสีเรื่องฝ่ายแล้วหันมาเริ่มต้นกันใหม่ เขาเชื่อว่าความจริงแล้วคนไทยรักกัน โดยไม่ต้องย้อนอดีตไปไกลถึง 100 ปี ดูแค่เหตุการณ์น้ำท่วมปี 2547 ทุกคนเป็นฮีโร่ของกันและกัน ยามที่มีความทุกข์มากๆ เพื่อนบ้านไม่เคยคุยกันมาก่อน หันหน้ามาเอื้ออาทรแก่กัน ต่อให้น้ำท่วมลำบากแค่ไหนแต่เรามองเห็นน้ำใจคนไทยด้วยกัน







