สำรวจหนังเด่นจากคานส์ 2014

สำรวจหนังเด่นจากคานส์ 2014

รายงานพิเศษจากฝรั่งเศส

ผู้สื่อข่าวพิเศษเซ็คชั่นจุดประกาย ลงทะเบียนร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ เพื่อรายงานภาพรวมของสายหนังต่างๆ บนเวทีนี้อย่างเจาะลึกและมีนัยสำคัญ

ยังคงคึกคักและเนืองแน่นไปด้วยหนังเด่นจากนานาประเทศที่ได้มาร่วมฉายในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ครั้งที่ 67 ประจำปี 2014 ซึ่งจัดระหว่างวันที่ 14-25 พฤษภาคม โดยในปีนี้ก็เป็นปีที่มีเหล่าดาราเดินทางมาร่วมงานกันอย่างมากหน้าหลายตาเป็นพิเศษ โดยเฉพาะดาราจากฝั่งฮอลลีวู้ดที่สลับกันมาเดินบนพรมแดงกันไม่เว้นแต่ละวันเลยทีเดียว

น่าเสียดายที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ในปีนี้ เป็นปีที่ไม่มีหนังไทยได้รับคัดเลือกให้ร่วมฉายในสายใด ๆ เลยแม้แต่เรื่องเดียว มีเฉพาะการไปร่วมฉายในตลาดหนัง Marche du Film ให้ผู้จัดจำหน่ายจากประเทศต่าง ๆ ได้ชมเท่านั้น ซึ่งไม่ถือว่าเป็นการฉายอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด

แต่ถึงแม้จะไม่มีหนังไทยร่วมฉาย โปรแกรมของเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปีนี้ก็ยังอุดมไปด้วยความหลากหลาย มีทั้งหนังดังจากฝั่งฮอลลีวู้ดที่รวมดาราเด่น ๆ ไว้มากมาย ไปจนถึงหนังเล็ก ๆ จากประเทศห่างไกลที่หลาย ๆ คนอาจไม่เคยรู้จักมาก่อน โดยจะมีการจัดแบ่งหนังออกเป็นกลุ่มสายเพื่อแยกฉายในโรงต่าง ๆ ซึ่งกระจายตัวไปทั่วเมืองคานส์

กลุ่มหนังที่ได้รับความสำคัญจากทางเทศกาลมากที่สุด คือ หนังสายประกวดหลัก จำนวน 18 เรื่องที่จะมีสิทธิ์เข้าชิงรางวัลยิ่งใหญ่แห่งวงการหนังนานาชาติอย่าง ‘ปาล์มทองคำ’ ซึ่งหนังทุกเรื่องในสายประกวด จะได้ฉายรอบกาล่าอย่างเป็นทางการพร้อมการปรากฏตัวของผู้กำกับ ดารา และเหล่าทีมงาน ณ โรง Grand Theatre Lumiere (ซึ่งผู้ชมทุกท่านจะต้องสวมสูททักซิโดหรือชุดราตรีเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าไปในโรงได้) ขนาดประมาณ 2,300 ที่นั่ง ทั้งยังเป็นที่จัดฉายหนังนอกสายประกวด อาทิ หนังเปิดเทศกาล หนังรอบมิดไนท์ อีกด้วย

นอกจากนี้จะมี หนังสายรองกลุ่ม Un Certain Regard ซึ่งเป็นการรวบรวมหนังฟอร์มเล็กจากนานาประเทศที่มีความน่าสนใจ แต่อาจยังไม่โดดเด่นถึงขั้นได้ร่วมประกวดในสายหลัก มาฉายเพื่อชิงรางวัลกันเองในสายรองนี้ด้วย โดยมีโรงหนัง Debussy จุประมาณ 1,600 ที่นั่ง ซึ่งตั้งอยู่เคียงข้างกับโรง Grand Theatre Lumiere เป็นสถานที่หลักในการจัดฉายหนังสาย Un Certain Regard

สำหรับหนังส่วนตัวหรือ หนังสารคดีในสาย Special Screening ก็จะปักหลักฉายกันที่ Salle Soixantieme ขนาด 400 ที่นั่งด้านหลังโรง Grand Theatre Lumiere ในขณะที่โรงเล็กลงมาหน่อยอย่างโรง Salle Bunuel ก็จะเน้นฉายหนังเก่าในสาย Cannes Classics เป็นหลัก โปรแกรมของเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์แต่ละปีจึงมีหนังฉายพร้อม ๆ กันให้เลือกดูอย่างมากมาย ชนิดที่ต่อให้ดูกันตลอดวันตลอดคืน อย่างไรก็ยังไม่สามารถตามเก็บทุก ๆ เรื่องได้หมด

อย่างไรก็ดี หนังเด่น 2 สายที่ผู้ชมส่วนใหญ่จะไม่พลาดกัน คือหนังสายประกวดหลักและหนังสาย Un Certain Regard ซึ่งมีการตัดสินให้รางวัลกัน โดยในแต่ละปีก็จะมีหนังยาวฉายใน 2 สายนี้ สายละประมาณ 20 เรื่อง ซึ่งหลังจากที่ได้ติดตามดูหนังในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ครั้งที่ 67 ประจำปี ค.ศ. 2014 มาได้ประมาณ 4-5 วัน ผู้เขียนพบว่าหนังที่เลือกมาฉายในเทศกาลมีเนื้อหาที่ค่อนข้างจะหลากหลาย แต่ยังพอจะสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่ม ๆ ได้ว่า คานส์สนใจหนังประมาณไหนอย่างไร

กลุ่มหนังชีวประวัติบุคคลสำคัญ

กลุ่มที่มีให้เห็นหลายเรื่องก็คือ กลุ่มหนังชีวประวัติบุคคลสำคัญ ซึ่งก็มีมาฉายที่เทศกาลแห่งนี้อยู่เสมอ ๆ โดยในปีนี้ทางเทศกาลประเดิมกันด้วยหนังเปิดอย่าง Grace of Monaco ของผู้กำกับ Olivier Dahan จากฝรั่งเศส ที่ได้ Nicole Kidman มารับบทเป็นนักแสดงสาว Grace Kelly ช่วงหลังจากที่เธอได้พบกับเจ้าชาย Rainer แห่งโมนาโกที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี ค.ศ. 1956 และได้เสกสมรสกับพระองค์ในเวลาต่อมา

หนังได้ถ่ายทอดให้เห็นอย่างละเอียดเลยว่า เจ้าหญิง Grace แห่งโมนาโกผู้นี้จะต้องพบเจอมรสุมใดบ้าง หลังการตัดสินใจหันหลังให้วงการบันเทิงเพื่อเริ่มต้นชีวิตคู่ และชีวิตที่แลดูสวยหรูราวดั่งเทพนิยายนั้น มันมีความเจ็บปวดขมขื่นอะไร ที่เธอจะต้องเสียน้ำตาให้บ้าง ชนิดที่คนดูอาจจะต้องคิดทบทวนอีกครั้งว่า ถ้าเลือกได้จะอยากมีชีวิตเช่นเธอจริงไหม หากความสะดวกสบายอะไรต่าง ๆ จะต้องแลกด้วยแรงกดดันทางอารมณ์อันมหาศาลที่เธอต้องพบเจอ

Nicole Kidman เล่นเป็น Grace Kelly ในหนังเรื่องนี้ ด้วยบุคลิกที่ออกจะแตกต่างจาก Grace Kelly ตัวจริงที่เราอาจจะเคยเห็นผ่านสื่อต่าง ๆ โดยเฉพาะในมุมที่เด็ดเดี่ยวแข็งกร้าวและกล้าแสดงความคิดเห็น ซึ่งผู้ชมที่คุ้นเคยกับภาพจำอันสวยหวานของ Grace Kelly อาจไม่พอใจนัก แต่ก็ต้องยอมรับเหมือนกันว่า การตีความบทบาทของ Nicole Kidman ออกมาเช่นนี้ นับเป็นการรับใช้เรื่องราวที่จงใจจะถ่ายทอดความเป็นไปอีกด้านออกมาได้ดี โดยที่บางครั้งนักแสดงก็ไม่จำเป็นต้องเล่นให้เหมือนตัวจริงแบบเป๊ะ ๆ เสมอไป ซึ่งนักแสดงนำ Nicole Kidman รวมถึง Tim Roth ผู้รับบทเป็นเจ้าชาย Rainer ก็ได้ควงคู่กันมาเดินพรมแดงในงานกาล่าเปิดเทศกาลกันด้วย และหนังก็มีโปรแกรมลงโรงฉายในประเทศไทยให้คอหนังได้พิสูจน์กันราวประมาณกลางเดือนมิถุนายนนี้

นอกเหนือจาก Grace of Monaco แล้ว ในสายประกวดก็มีหนังชีวประวัติบุคคลสำคัญอีก 2 เรื่องนั่นคือ Mr. Turner ของผู้กำกับ Mike Leigh จากอังกฤษ เล่าชีวิตการต่อสู้กับโชคชะตาและนานาอุปสรรคทั้งหลายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังภาพเขียนอันแหวกแนวไม่เหมือนใครของจิตรกรนามอุโฆษ J.M.W. Turner (รับบทโดย Timothy Spall ดาราขาประจำของ Mike Leigh นั่นเอง)

ถึงแม้ว่าจะเป็นหนังย้อนยุคที่มีฉากหลังเป็นบรรยากาศยุโรปในยุคคลาสสิก-โรแมนติกที่แลดูล้าสมัย แต่ผู้กำกับ Mike Leigh กลับถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้อย่างมีชีวิตชีวา โดยได้แรงหนุนจากเหล่าดาราที่เล่นกันได้เป็นธรรมชาติดีเหลือเกิน ทำให้หนังความยาว 149 นาทีเรื่องนี้แทบไม่มีช่วงน่าเบื่อเลย แถมหลาย ๆ ฉาก ก็กำกับศิลปะออกมาได้อย่างวิจิตรงดงามไม่แพ้ภาพเขียนจากยุคสมัยนั้นเลยจริง ๆ

หนังประกวดอีกเรื่องที่เล่าเรื่องราวชีวิตคนดังเช่นกันก็คือ Foxcatcher ของผู้กำกับ Bennett Miller จากสหรัฐอเมริกาเจ้าของผลงานดังอย่าง Capote (2005) และ Moneyball (2011) ก็เป็นหนังที่แฉถึงความสัมพันธ์ระหว่าง Mark Schultz นักกีฬามวยปล้ำโอลิมปิกเหรียญทองปี ค.ศ. 1988 กับ John DuPont เศรษฐีหนุ่มที่เปิดค่ายสนับสนุนนักกีฬามวยปล้ำแววดีให้มีโอกาสคว้าเหรียญทองโอลิมปิกให้ได้ ว่าอาจจะมีอะไรมากเกินกว่าการเป็นสปอนเซอร์นักกีฬาธรรมดา ๆ เสียแล้ว

ในเรื่องนี้ พระเอกหนุ่ม Channing Tatum จะต้องมารับบทเป็นนักกีฬามวยปล้ำร่างใหญ่ผู้มีจิตใจอ่อนไหว แต่ดูเหมือนบทอาจจะท้าทายเกินไปสำหรับนักแสดงหนุ่มรายนี้ การแสดงจึงอาจจะยังไม่มีความลุ่มลึกเท่าที่ควร ในขณะที่นักแสดง Steve Carrell ซึ่งเล่นเป็น John DuPont อาจจะมีชั่วโมงบินที่สูงกว่า จึงสามารถถ่ายทอดอารมณ์อันซับซ้อนภายในของตัวละครออกมาได้อย่างน่าเชื่อ แต่โดยรวม ๆ แล้วหนังออกจะมีจริตออสการ์ มากกว่าจะเป็นหนังประกวดคานส์ ค่าที่การกำกับอะไรต่าง ๆ ยังออกจะติดขนบแบบเดิม ๆ อยู่เยอะ

ข้ามมาที่หนังสาย Un Certain Regard ก็มีงานพีเรียดที่เล่าเรื่องราวชีวิตของกวีหนุ่มชาวเยอรมัน Heinrich von Kleist เรื่อง Amour Fou โดยผู้กำกับหญิงจากออสเตรีย Jessica Hausner โดยเฉพาะในช่วงท้าย ๆ ของชีวิตที่ Heinrich von Kleist ต้องหัวใจสลายกับความรักและตัดสินใจยิงตัวตายไปพร้อมกับ Henreitte Vogel สตรีที่กำลังเผชิญหน้ากับโรคร้าย เมื่อปี ค.ศ.1811

หนังเล่าเรื่องด้วยฉาก indoor ภายในบ้านเป็นส่วนใหญ่แต่ก็สร้างความโดดเด่นได้ด้วยการจัดองค์ประกอบภาพที่แปลกตาตลอดทั้งเรื่อง นับเป็นงานพีเรียดทุนต่ำที่ทำออกมาได้มีความเป็นตัวของตัวเองที่น่าสนใจดี แม้ว่าหนังอาจไม่ได้มีรายละเอียดด้านอารมณ์ความรู้สึกของ Heinrich von Kleist ให้ได้พิเคราะห์กันมากนัก


ประเด็นด้านสื่อและวงการมายา

ประเด็นที่มีการพาดพิงถึงอยู่มากในเทศกาลภาพยนตร์คานส์ปีนี้ก็คือประเด็นเกี่ยวกับสื่อและวงการมายา ที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือหนังประกวดจากแคนาดาเรื่อง Maps to the Stars ของผู้กำกับ David Cronenberg ที่จิกกัดความโสมมเบื้องหลังวงการ Hollywood ออกมาได้อย่างเจ็บแสบและประหลาดพิสดารไปในเวลาเดียวกัน โดยจะจับเรื่องราวไปที่ Havana Segrand (รับบทโดย Julianne Moore) นักแสดงสาวรุ่นใหญ่ที่เริ่มจะต้องใช้มารยางอนง้อเพื่อหางาน ซึ่งได้ว่าจ้างเด็กสาวนาม Agatha (รับบทโดย Mia Wasikowska) มาเป็นผู้ช่วย โดยไม่รู้ว่าสาวน้อยปริศนารายนี้มีความเกี่ยวพันกับครอบครัว Weiss (ซึ่งได้ John Cusack มาจับคู่เป็นสามี-ภรรยากับ Olivia Williams) ที่มีบุตรเป็นดาราเด็กหนุ่มวัยเข้าไคลเป็นผู้หาเงินหลัก ก่อนที่ความลับอันหนักหน่วงของครอบครัวนี้จะถูกเปิดเผย

หนังมีรายละเอียดที่เจาะจ้วงและแดกดันความป่าเถื่อนจอมปลอมของวงการฮอลลีวู้ดให้ได้ฮากันในหลาย ๆ ฉาก โดยเฉพาะฉากที่ดาราหนุ่ม Robert Pattinson ซึ่งเล่นเป็นโชเฟอร์หนุ่มในหนังเรื่องนี้จะได้รับบทเป็นตัวประกอบในหนังไซไฟ!

หนังประกวดอีกเรื่องที่เล่าถึงวงการบันเทิงเช่นกัน ก็คือ The Wonder ของผู้กำกับหญิง Alice Rohrwacher จากอิตาลี ที่พาผู้ชมไปทำความรู้จักกับครอบครัวกสิกรเลี้ยงผึ้ง ณ ชนบทห่างไกลที่มีเคล็ดลับในการผลิตน้ำผึ้ง โดยไม่ใช่สารเคมีหรือวิธีการแปลกปลอมใด ๆ มาเจือปน จนทำให้ครอบครัวนี้มีโอกาสได้เข้าแข่งขันในรายการทีวีเพื่อประกวดหาครอบครัวกสิกรดีเด่น โดยมีดาราดังอย่าง Monica Belucci เป็นพิธีกร

หนังแสดงให้เห็นการปะทะกันระหว่างขั้วคู่ตรงข้ามของความบริสุทธิ์เป็นธรรมชาติของชีวิตผู้คนที่ทำงานอยู่ในนาไร่ กับความ ‘ไม่มีอะไรจริง’ ของวงการบันเทิงได้อย่างน่ารักน่าชัง แม้ว่าหนังอาจจะยังขบประเด็นต่าง ๆ ได้อย่างครึ่ง ๆ กลาง ๆ ก็ตามที

ส่วนหนังสาย Un Certain Regard ก็มีเรื่อง Xenia ของผู้กำกับ Panos H. Koutras จากกรีซ ซึ่งเล่าเรื่องราวการออกตามหาพ่อที่ทิ้งพวกเขาไปของพี่น้องสองหนุ่มต่างบุคลิก หลังจากมารดาชาวแอลเบเนียของพวกเขาสิ้นลม ก็มีการอ้างถึงรายการประกวดร้องเพลงทางโทรทัศน์ชื่อ Greek Star ซึ่งคล้ายเป็นเวทีที่แสดงให้เห็นว่าลูกชายคนพี่มีสายเลือดเป็นนักร้องนักดนตรีที่มีพรสวรรค์ไม่แพ้มารดาของเขาเลย

หนังแนว western มาแรง

แต่ตระกูลหนังที่ดูจะได้รับการตอบรับจากคานส์มากที่สุดในปีนี้ เห็นจะเป็นงานแนว Western ที่มีมาให้ดูกันมากมายหลายเรื่อง นำทีมโดยหนังสายประกวดเรื่อง The Homesman ของผู้กำกับ Tommy Lee Jones จากสหรัฐอเมริกา ที่ดัดแปลงเรื่องราวมาจากนิยายชื่อเดียวกันของ Glendon Swarthout ซึ่งก็นับเป็นงาน Western แนว feminist ที่ไม่ค่อยจะมีให้ดูสักเท่าไหร่ เพราะหนัง Western ส่วนใหญ่มักจะเล่าถึงความกล้าหาญและการผจญภัยของผู้ชาย แต่ในเรื่องนี้ตัวละครนำอย่าง George Briggs (รับบทโดย Tommy Lee Jones เอง) มีหน้าที่ต้องนำพาสตรีเสียสติสามรายข้ามรัฐไปพำนักรักษาตัว ณ เมืองห่างไกล ร่วมกับ Mary Bee Cuddy (รับบทโดย Hilary Swank) สตรีสติดีที่รับงานมาอีกต่อหนึ่ง โดยในระหว่างการเดินทางเราจะได้ทราบเหตุผลเบื้องหลังว่าชีวิตของสตรีในท้องถิ่นแห่งความกันดารแห่งนี้มีอะไรที่พวกเธอต้องเผชิญบ้าง และบางครั้งชะตากรรมมันก็อาจจะหนักเกินทนจนต้องเสียสติกันไปได้ง่าย ๆ เลยเหมือนกัน!

สำหรับหนัง Western ที่ฉายในรอบ Midnight อย่างเรื่อง The Salvation ก็น่าจะเป็นข้อพิสูจน์อันดีว่างานตระกูลนี้ ไม่ได้มีแต่เฉพาะอเมริกาประเทศเดียวที่ทำออกมาได้ เพราะผู้กำกับ Kristen Levring จากเดนมาร์ก ก็ใช้สูตรสำเร็จของงานตระกูลมาเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการตามล่าล้างแค้นของหนุ่มแดนิช ที่ถูกอันธพาลท้องถิ่นสังหารภรรยาและลูกชายไปแบบต่อหน้าต่อตา ด้วยลีลาการกำกับแบบยุโรปที่ทำให้หนัง plot ธรรมดา ๆ เรื่องนี้มีบรรยากาศที่แตกต่างไปได้อย่างน่าสนใจ

ส่วนในสาย Un Certain Regard ก็มีหนังคาวบอย arthouse เรื่อง Jauja ของผู้กำกับ Lisandro Alonso จากอาร์เจนตินา ร่วมฉายด้วย โดยได้เล่าเรื่องราวของคุณพ่อที่ต้องออกเดินทางฝ่าป่าดงเพื่อตามหาบุตรสาวที่หายตัวไป หนังเรื่องนี้นำเสนอด้วยลีลาหนังศิลปะที่เนิบช้า ก่อนจะหักมุมตลบเรื่องราวอย่างชวนให้สงสัยว่า ฉากสุดท้ายที่หนังนำเสนอนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องราวทั้งหมดอย่างไร นับเป็นงาน Western ที่แสนจะแปลกลิ้นเหมาะสำหรับผู้ชมที่นิยมรสชาติอะไรใหม่ ๆ ได้เป็นอย่างดี

สำรวจชีวิตร่วมสมัย

ส่วนกลุ่มหนังที่ขาดไม่ได้เลยในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์แต่ละปี ก็คือหนังที่มุ่งสำรวจสภาพชีวิตผู้คนร่วมสมัยว่า มีรายละเอียดที่ดำเนินไปอย่างไรกันบ้าง โดยเรื่องที่แรงมากที่สุดเรื่องหนึ่งก็คือหนังประกวดเรื่อง Timbuktu ของผู้กำกับ Abderrahmane Sissako จากมอริเทเนีย เล่าสถานการณ์ความอึดอัดของผู้คนในประเทศมาลี ที่กลุ่มมุสลิม fundamentalist ออกกฎระเบียบต่าง ๆ จำกัดเสรีภาพผู้คน ไม่ว่าจะเป็นการที่สุภาพสตรีจะต้องสวมทั้งผ้าคลุมฮิญาบรวมทั้งถุงมือ ทำให้แม้แต่แม่ค้าขายปลา ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ ห้ามเล่นดนตรี ห้ามร้องเพลง ห้ามเล่นฟุตบอล ห้ามแสดงความรักกันก่อนแต่งงาน หรือห้ามทำอะไรตามอย่างวัฒนธรรมตะวันตก มิเช่นนั้นจะได้รับโทษอย่างรุนแรง

หนังก็หยิบเอาประเด็นเหล่านี้มานำเสนอได้อย่างชวนหดหู่ โดยเฉพาะการลงโทษด้วยการจับฝังดินแล้วปาหัวกันด้วยหินให้สิ้นลมกันด้วยความทรมาน ซึ่งผู้กำกับก็ได้ให้การเอาไว้ใน press kit ด้วยว่า ทุกสิ่งที่เขาเล่ามีที่มาจากสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริง ๆ

ข้างฝ่ายผู้กำกับ Atom Egoyan จากแคนาดาก็กลับมาเยือนเทศกาลคานส์อีกครั้งกับหนังประกวดเรื่อง The Captive ที่เล่าเรื่องราวร่วมสมัยเกี่ยวกับการลักพาตัวเด็กหญิงวัย 8 ขวบจากรถกะบะในขณะที่พ่อของเธอลงจากรถไปซื้อขนมพาย ซึ่งจะโยงใยไปสู่การค้าประเวณีเด็กผ่านทางเว็บไซต์สุดลับสำหรับบุรุษที่นิยมมีเพศสัมพันธ์กับเด็กหญิงก่อนวัยเจริญพันธุ์ ซึ่งผู้กำกับ Atom Egoyan ก็เล่าเรื่องราวออกมาได้จริงจนน่าใจหาย โดยเฉพาะในฉากที่พ่อและแม่ของเด็กจะต้องร้องห่มร้องไห้เจียนตายเมื่อทราบว่าบุตรสาวหายตัวไป และต้องแกะรอยเอาว่าพวกเธออยู่ไหนผ่านทางเว็บไซต์ลามก!

หนังประกวดร่วมสมัยอีกเรื่องที่ดูจะได้รับเสียงตอบรับจากผู้ชมอย่างดีอีกเรื่องก็คือ Wild Tales ของผู้กำกับ Damian Szifron จากอาร์เจนตินา ซึ่งมาในลีลาเรื่องสั้น 6 เรื่องเกี่ยวกับอัตตาและการพยาบาทอาฆาตแค้น ที่ทำให้เห็นได้อย่างน่าตกใจว่า บางครั้งความศิวิไลซ์ในยุคสมัยปัจจุบันก็อาจไม่ได้ทำให้มนุษย์หลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นในความหยิ่งทะนงของตน ดังจะเห็นได้จากเรื่องของนักบินที่ลวงให้ผู้คนที่เคยทำร้ายเขามาอยู่ในเที่ยวบินเดียวกัน

เรื่องของความพยาบาทครั้งหลังของสาวเสิร์ฟกับนักกฎหมายหนุ่ม เรื่องการดูหมิ่นกันของนักขับตีนผีหนุ่มต่างชนชั้น เรื่องการพิทักษ์ศักดิ์ศรีของวิศวกรผู้ที่ถูกปรักปรำโดยไม่ได้ทำผิด แม้จะเป็นเพียงเรื่องการจอดรถผิดที่ การติดสินบนให้แพะรับบาปของบุตรชายเศรษฐีที่ไปขับรถชนแม่ลูกอ่อนตาย และเรื่องราวการนอกใจของคู่บ่าวสาวในงานแต่งงาน ซึ่งผู้กำกับก็เล่าเรื่องราวออกมาได้อย่างตลก สนุก และแสบไปในเวลาเดียว เรียกเสียงหัวเราะฮือฮาจากผู้ชมจนกลายเป็นหนังประกวดที่สนุกมากที่สุดเรื่องหนึ่งประจำเทศกาลกันเลยทีเดียว

ส่วนหนังสาย Un Certain Regard ก็ยังมีหนังเรื่อง Run ของผู้กำกับหน้าใหม่ Philipp Lacote เล่าเรื่องราวความเป็นมาเป็นไปของเด็กหนุ่มผิวดำชื่อ Run ที่สุดท้ายได้กลายมาเป็นมือสังหารนายกรัฐมนตรีแห่งไอโวรีโคสต์ หนังนำเสนอได้อย่างสมจริงและเป็นธรรมชาติ สะท้อนความจริงอันน่าตกใจว่าบางครั้งผู้ที่ก่อเหตุการณ์ทางการเมืองครั้งใหญ่ก็อาจไม่ได้มีอุดมการณ์ทางการเมืองอะไรใด ๆ หากกลับต้องตกกระไดพลอยโจนอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่

0 0 0 0 0

สิ่งที่น่าสังเกตอีกอย่างก็คือเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปีนี้มีหนังเกี่ยวกับคู่รักชายหญิงให้ได้ดูกันมากเป็นพิเศษ ซึ่งแต่ละเรื่องก็มีเนื้อหาและแนวทางที่แตกต่างกันออกไปจากหนังรักสูตรสำเร็จแบบเดิม ๆ ทั้งหลายได้อย่างน่าติดตาม

เริ่มตั้งแต่คู่รักรุ่นใหญ่ในหนังประกวดเรื่อง Winter Sleep ของผู้กำกับ Nuri Bilge Ceylan จากตุรกีที่กลายเป็นหนังประกวดที่ยาวที่สุดในเทศกาลที่ 196 นาที หนังเล่าเรื่องราวรักร้าวของอดีตนักแสดงหนุ่มใหญ่ที่ผันตัวมาทำธุรกิจหลากหลายรวมถึงการเปิดโรงแรม ณ ชนบทห่างไกลให้นักท่องเที่ยวได้ผ่อนพัก กับภรรยาวัยสาวของเขาที่พยายามจะทำตัวขบถ หนังทิ้งเวลายาวนานเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ชมได้ทำความรู้จักตัวละครผ่านบทสนทนา ด้วยเนื้อหาและประเด็นสัพเพเหระก่อนที่จะขมวดเรื่องราวทั้งหมดอย่างคมคายในตอนท้าย

ในขณะที่คู่รักจากหนังเรื่อง The Disappearance of Eleanor Rigby ของผู้กำกับหน้าใหม่ชาวอเมริกัน Ned Benson ที่ได้นักแสดงดัง Jessica Chastian กับ James McAvoy มารับบทเป็นคู่สามีภรรยาชาวนิวยอร์คที่ต้องเผชิญกับปัญหาไม่เข้าใจกันในทันที และต่างฝ่ายต่างต้องหาวิธีทำใจยอมรับข้อบกพร่องของกันและกันเพื่อทวงเอาคืนวันของพวกเขากลับคืนมา

ผิดกับคู่รักจากสเปนในหนังเรื่อง The Beautiful Youth ของผู้กำกับ Jaime Rosales ซึ่งเป็นคู่รักชนชั้นกรรมาชีพที่ต้องปากกัดตีนถีบพยายามทุกวิธีทางเพื่อหาเงินมาต่อชีวิตพวกเขาและลูกน้อย ไม่เว้นแม้กระทั่งการตัดสินใจยอมเล่นหนังโป๊ด้วยกันเพื่อเงิน 600 ยูโร! หนังมีลูกเล่นเชิงภาพที่ใช้ภาพดิจิตอลวิดีโอสลับกับภาพฟิล์มในฉากต่าง ๆ ได้อย่างสร้างสรรค์

แต่คู่รักที่อายุน้อยที่สุดในเทศกาลก็เป็นจะเป็นคู่รักวัยกำดัดจากหนังเรื่อง Still the Water ของผู้กำกับหญิง Naomi Kawase จากญี่ปุ่น ที่อาศัยความสัมพันธ์ของเด็กหนุ่มสาวชาวเกาะห่างไกลในญี่ปุ่นแห่งหนึ่งมาเป็นสัญลักษณ์แห่งการสืบเผ่าพงษ์พันธุ์ ในขณะที่สมาชิกรายเก่า ๆ จำต้องตายจากไปอย่างไม่อาจเลี่ยงพ้น หนังนำเสนอเนื้อหาด้วยลีลากวีที่ถกถึงประเด็นปรัชญาชีวิตและความตายได้อย่างเข้มข้นและงดงามตามขนบของหนังปาล์มทองคำของเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์กันแบบเป๊ะๆ ซึ่งก็คงต้องลุ้นกันต่อไปว่าผู้กำกับหญิงจากแดนอาทิตย์อุทัยรายนี้จะมีโอกาสคว้ารางวัลใหญ่ไปครองหรือไม่ เพราะใครต่อใครต่างก็กะเก็งกันว่าหนังน่าจะได้รางวัล

0 0 0 0 0

และนั่นเป็นภาพรวมของหนังบางส่วนที่ได้เริ่มต้นฉายในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ในช่วงสัปดาห์แรก เทศกาลครั้งนี้จะสิ้นสุดเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดยประกาศรางวัลต่าง ๆ ทั้งหมด ในวันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม (ก่อนเวลาปิดต้นฉบับ) ซึ่งพื้นที่หน้า ‘จุดประกาย’ จะได้รายงานรายละเอียดให้ทราบกันต่อไป.

..........................................................................................


เกี่ยวกับผู้เขียน : กัลปพฤกษ์ เป็นนามปากกาของนักวิชาการทางด้านคณิตศาสตร์ ซึ่งขณะนี้ใกล้จบการศึกษาระดับปริญญาเอกจากยุโรป ด้วยความรักในศาสตร์และศิลป์ของภาพยนตร์ ทำให้เขาเจียดเวลาส่วนหนึ่ง เพื่อเดินทางไปรายงานความเคลื่อนไหวชนิดติดขอบเวทีเมืองคานส์ ให้ผู้อ่านจุดประกายโดยเฉพาะ