เศกพล อุ่นสำราญ การเดินทางของแซ็กสำเนียงสยาม

สำหรับเขา แซ็กโซโฟนและดนตรี คือชีวิต และคือที่สุดของทุกสิ่งทุกอย่าง ตราบที่เขาสามารถทุ่มเทให้แก่บ้านเกิดเมืองนอน
นับตั้งแต่ทำโครงการดนตรี Sound of Siam ร่วมกับเพื่อนพ้องน้องพี่ระดับยอดฝีมือในวงการ ไม่ว่าจะเป็น โซ่ แมนลักษณ์ ทุมกานนท์ แห่งวง 'อีทีซี' หรือ ดั๊ก สุทธิพงษ์ ปานคง แห่ง 'อินฟินิตี' ดูเหมือนนักแซ็กโซโฟนหนุ่มคนนี้กำลังสร้างความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญที่น่าจับตา ในการนำพาดนตรีแจ๊สสำเนียงไทยก้าวไกลออกไปในต่างแดน ผ่านการสร้างสรรค์อย่างมีนัยสำคัญ
ด้วยตารางงานที่แน่นขนัด ทำให้ เศกพล อุ่นสำราญ หรือ โก้ มิสเตอร์แซ็กแมน นัดพบกับ "จุดประกาย ทอล์ค" ในยามเที่ยงคืน ณ สนามบินสุวรรณภูมิ ระหว่างรอขึ้นเครื่องเพื่อเดินทางไปแสดงดนตรีที่ประเทศเนเธอร์แลนด์
หลายบทตอนของการสนทนาในครั้งนี้ เลื่อนไหลไปในมิติของแวดวงสังคมดนตรี ที่เขาสัมผัสและมีส่วนเกี่ยวข้อง บางครั้งคราวข้ามไปถึงแง่มุมของธุรกิจและชีวิตส่วนตัวของหนุ่มใหญ่คนนี้ ที่ยังเปี่ยมด้วยกำลังวังชาเต็มที่กับการได้อยู่กับงานที่เขารัก
ระยะนี้เดินทางบ่อยแค่ไหน
บ่อยแค่ไหน (ทวนคำถาม) โห ต้องบอกว่าทุกเดือน อย่างเดือนนี้ (พฤษภาคม) เบลเยี่ยมเสร็จกลับมา ก็ไปไต้หวัน ไต้หวันเสร็จกลับมา European Tour พอเสร็จก็ 10 วันที่แล้ว ก็มาถึงฮอลแลนด์ อยู่เมืองไทย 4-5 วันแล้วไปต่อ ชีวิตช่วงหลังตั้งแต่ปี 2008 เป็นแบบนี้ตลอด
ทำไมเป็นแบบนี้ตลอด ช่วยอธิบาย
ช่วงก่อนหน้านี้ คือจริงๆ ผมไปเมืองนอก ไปเล่นดนตรีต่างประเทศครั้งแรกคือปี 1992 ตอนนั้นอายุ 19 ปี ไปญี่ปุ่น แล้วก็ไปประมาณปีละครั้งเป็นอย่างมาก จนกระทั่งเริ่มมาปี 2008 เป็นต้นมา ก็มีวงดนตรีวงหนึ่ง Unit Asia วงนี้ผมว่ามันเป็นโมเดลของการทำทัวร์คอนเสิร์ต ไม่ว่าจะเป็นแจ๊สหรือว่าอะไรก็ตาม ผมเริ่มทัวร์กับ Unit Asia เป็น Asian Tour เสร็จแล้วไป Middle East Tour เสร็จแล้วไป European Tour กลับมา Asian Tour ไป Japan Tour ซึ่งก็คือทั่วเกาะญี่ปุ่น เจแปนเสร็จกลับมา Asian Tour อีก กลับมา European Tour อีก ไปจบกันปีที่แล้วที่ยุโรป นั่นคือครั้งสุดท้ายที่เราไปกัน
รวมทั้งหมดกี่โชว์
สำหรับ Unit Asia ไม่ต่ำกว่า 20 โชว์ครับ ในช่วงเวลา 3-4 ปี มันเลยทำให้ผมได้ศึกษาวิธีการทำ On Tour ว่าต้องใช้องค์ประกอบอะไรบ้าง
ส่วนใหญ่ ได้รับเชิญไปเล่น หรือเราต้องไปหางานเอง
ตอนนี้ยังโชคดีอยู่ ที่มันเป็นการรับเชิญไปเล่น ยังไม่ถึงกลับอยู่ในเครือข่ายของ agent หางาน ซึ่งเราเองยังไม่รู้ว่า การอยู่ในเครือข่ายของ Agent หางานมันจะดีหรือเปล่า เราไม่รู้ เพียงแต่เราไปเล่นที่หนึ่ง อีกหน่วยงานหนึ่งก็เริ่ม invite เราต่อแล้ว
ส่วนใหญ่เป็นหน่วยงานไหนที่เชิญไปแสดง
ส่วนใหญ่มันมาคละๆ กัน อย่างของเบลเยียมที่เราเพิ่งกลับมา นักเปียโนที่เป็นสายโมเดิร์นแจ๊สที่ดังที่สุด Jef Neve ก็เอามาเล่นที่เมืองไทย สถานทูตเบลเยียมก็บอกว่า ไม่รู้จักใครนอกจากที่เป่าแซ็กโซโฟน นอกจาก โก้ มิสเตอร์แซ็กแมน เราไม่เคยรู้จักกัน เราก็เข้าไปแจมกับเขาในคอนเสิร์ต คือแบบว่ากระโดดขึ้นไปแจมเลย เพราะฉะนั้น มันก็เลยเป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์ หลังจากที่เขากลับไป เลยให้เรากลับไปที่เมืองเบลเยียมของเขา ภายใต้การร่วมมือร่วมใจ ซึ่งน่าจะเป็นเทศบาลเมืองเบลเยียมนะครับ ชื่อเมือง Leuven ก็แจ้งไปยังสถานทูตไทยว่าจะมีนักแซ็กโซโฟนชาวไทย ชื่อ โก้ มิสเตอร์แซ็กแมน ท่านทูตไทยก็เตรียมขนพรรคพวกมาเชียร์พวกเรา
อันนี้คือบรรยากาศของการออกไปทัวร์แต่ละครั้ง คือรูปแบบหนึ่ง ไปกับทางสถานทูต รู้จักบอกกันปากต่อปาก หลังจากเราเล่นที่ Leuven เสร็จท่านทูตก็เชิญ Jef Neve กับโก้ กลับมาเล่น Duet คอนเสิร์ตที่มันแยกต่างหากให้กับสถานทูตได้ชม ในหลายครั้งไปกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ซึ่งผมคิดว่าหัวใจของ ททท. เราได้ยินททท. มาตั้งแต่เด็กๆ แล้วก็รู้ว่าเขาทำโปรโมทการท่องเที่ยว แต่หัวใจของเขาเลยมันล้ำลึกมากนะครับ ผมได้เจอตั้งแต่ท่านประธานบอร์ด ท่านผู้ว่าการท่องเที่ยวฯ ท่านรองต่างๆ แล้วก็ได้คุย ได้เห็นความตั้งใจที่จะเผยแพร่วัฒนธรรมหรือดนตรี หรือว่าสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองไทย หลังจากเราเดินทางกับ ททท.เรื่อยๆ เรายิ่งอิน มันก็อยากที่จะเล่าเรื่องเมืองไทยต่อ
ที่ไปเนเธอร์แลนด์ นี่งานอะไร
ชื่อว่า Amersfoort Jazz Festival ผมไปเป็นครั้งที่ 3 แล้วครับ เป็นเมืองเล็กๆ ที่จัดแจ๊สได้ตอบโจทย์มากเลย บางครั้งผมก็ไปกับแบนด์ บางครั้งก็ไปคนเดียว ตอนนี้ ผมก็มี 2 แบนด์หลักครับ คือ วงของ โก้ ในรูปแบบต่างๆ ทั้งฟิวชั่น ทั้งควอร์เทท กับ Sound of Siam ที่เราหมายมั่นปั้นมือว่า วงนี้จะเป็นวงที่ทำให้โลกหันมามองเมืองไทย
อย่างรอบนี้ที่ Amersfoort เขาจัดมาให้ผมร่วมกับ Big Band ที่ดังที่สุดวงหนึ่งของเนเธอร์แลนด์ คือเป็นวงที่ออกทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น Michael Brecker ; Randy Brecker ; Ernie Watts ล้วนแล้วแต่โซโลมากับวงนี้ ผมก็ได้รับเกียรติให้ไปอีกหนึ่ง soloist ในคอนเสิร์ต Big Band ไปทีหนึ่งก็มีหลายๆ อย่างรออยู่เลย ไปอัดเสียงอะไรด้วยครับ
ยากแค่ไหนกว่าจะเป็นที่ยอมรับ
อยู่เมืองไทยเราง่าย ความยากของมันคือ ไม่มีคนรู้จัก เริ่มจากศูนย์ แล้วได้โอกาส การขึ้นมาอยู่ตรงนั้น ผมมี พี่วิชาติ (จิราธิยุต) เป็นคนแนะนำให้ผม เหมือนมีโค้ชครับ คือมันมีเวลาไม่มากบนเวที ที่จะประกาศให้โลกได้รู้ อย่าง Saxophone Summit มันคือการปล่อยตัวเอารถแรงๆ เอาม้าแข่ง ยิงปืนโป้งเดียว มันจะวิ่งกันแบบ ใครเป๋ หัวทิ่ม ขาหักเลยนะ แต่ถ้าใครวิ่งสู้กับเขาได้ คนก็จะจดจำ คือเราต้องพร้อมตั้งแต่ตัวเรา ผมโชคดีอย่างหนึ่งที่มีโอกาสได้เล่นดนตรีเยอะ ได้แจมกับนักดนตรีเก่งๆ เยอะ ได้เรียนรู้แจ๊สตั้งแต่อายุ 15 มันมีเพลงฝังหัวมาตั้งแต่เด็กๆ เป็นความโชคดีที่เราเรียนเพลงพระราชนิพนธ์ เรียนเพลงสแตนดาร์ดแจ๊ส พอเขาเรียกเพลง อย่างน้อยมันต้องคุ้น
มาตรฐานของเรากับเขา แตกต่างกันอย่างไร
ผมตอบง่ายๆ เลยครับว่า เขาเอาจริงทุกแขนง ผู้จัดเอาจริง สปอนเซอร์เอาจริง แมนเนจเมนต์เอาจริง เอาแค่คนมารับเราที่สนามบิน หรือว่าคนส่งอีเมลหาเราในแต่ละครั้งก็จริงจัง นักดนตรีเอาจริง ส่งโน้ต ส่งเพลงให้ฟัง คือทุกฝ่ายเอาจริง เด็กเครื่องเอาจริง บ้านเราก็คือเด็กขนเครื่อง แต่ที่โน่น เป็น technician ส่วน lighting เขาเอาตาย เข้ามาอัดสกอร์ มันเป็นการเตรียมการที่แยบยล ซึ่งถามว่าบ้านเราทำอย่างนั้นไหม บ้านเราก็ไม่ได้ทำอยู่แล้ว
ผมมองในสโคปที่เล็กลงมา อย่าง Unit Asia เกิดจากการตั้งโปรเจ็กต์รวมนักดนตรีดาวเด่นในเอเชีย การพูดคุยกับหน่วยสนับสนุน คือ มูลนิธิญี่ปุ่น การพูดคุยกับสถานทูตในแต่ละประเทศที่เราไป การวางแผน Road Show การวางกองกำลัง Lighting Engineer ; Sound Engineer ; เด็กเครื่องที่จะไป แบนด์เมเนเจอร์ คน 10 คน เดินทางทั่วโลก เป๊ะมาก ญี่ปุ่นทำงานแบบแม่นยำสุดๆ ของเราคงต้องจริงจังกว่านี้ มันคงต้องเริ่มตั้งแต่คนปั้นโปรเจ็กท์ งานที่แล้วมันเละตรงไหน ใครจะเป็นสปอนเซอร์ หลายครั้งที่บ้านเราไม่ต่อเนื่องคงเป็นเรื่องนี้ บริหารจัดการไม่ต่อเนื่อง สปอนเซอร์ไม่ต่อเนื่อง
จริงๆ มันก็ไม่ต้องใช้เงินเยอะ อย่างผมไป Penang Jazz ปีแรก ผมว่างานมันเล็กนะ ทุกอย่างออร์แกไนซ์อยู่ในโรงแรมเดียว ผู้จัดบอกว่า นี่คือ Poor Man Jazz Festival นี่คือแจ๊สของคนจนๆ เราก็ลองทำดู ก็ไม่ได้ใช้ตังค์เยอะ ใช้การร่วมมือร่วมใจ การวางแผนที่ถูกต้อง การโปรโมทที่แยบยล
ผ่านมาเยอะขนาดนี้ กลับมาดูวงการดนตรีบ้านเราเป็นอย่างไร
ผมคิดมากนะเรื่องนี้ หนึ่งล่ะ-มหาวิทยาลัยที่เปิดสอนดนตรี เกิดขึ้นเยอะ เข้าปี 1 มันหอมหวานมาก ผมเรียกน้องๆ ที่จะเข้าปี 1 มานั่งคุยว่า อีก 4 ปี คุณจะเจออะไร จบไปจะเป็นอย่างไร ชีวิตจะเป็นอย่างไร เขาจะเตรียมตัว เพราะอย่าคิดว่า มันสวยหรู หอมหวาน เพลิดเพลิน จนลืมว่าในความที่เป็นมืออาชีพ ต้องทำอย่างไรบ้าง ในท้ายที่สุด มันก็จะมาจบปริญญาตรี บางคนจบ ป.ตรีแล้ว ก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อ ก็ต่อโท ต่อเอกไป ก็จะมากองรวมๆ กัน แล้วก็ไม่มีงานทำ
ที่ว่าไม่มีงานทำ มากน้อยแค่ไหน
ผมว่าเยอะมากเลยครับ อย่างผมมองนักแซ็กโซโฟนตอนนี้ รุ่นหลังสุดที่ออกมาแล้วพอจะมีงานทำบ้าง มีงานทำ ก็ครูใหญ่ที่โรงเรียนแซ็กโซไซตี้ อาจารย์น้อบแน้บ (กรนนท์ อดิพัฒน์) ก็น่าจะเป็นรุ่นหลังของมหิดลที่มีงานทำ จบมาหลายปีแล้วนะ แล้วที่เหลือแถวนั้น ไปอยู่ไหน ผมก็ถามน้อบแน้บว่าไปอยู่ไหนกัน ก็บอกว่า ไปสอนวงโย(ธวาทิต)บ้าง ไปทำอาชีพอื่นเลยบ้าง ช่วยธุรกิจที่บ้าน ขายของ เพราะ 4 ปีที่เรียนอยู่ก็ไม่ได้กระหาย ที่จะออกไปเป็นมืออาชีพ แต่พอจบ มันตั้งหลักไม่ทัน แล้วมันก็เลยทับถมไปทีละปี
หรือเป็นเพราะพื้นที่ในการแสดงออกของเรามีน้อยกว่าต่างประเทศ ?
ผมว่าก่อนที่จะโทษคนอื่น ควรมองดูตัวเองก่อน เรียนแล้วกลับหอ เรียนแล้วก็เล่นเกม เล่นเฟซบุ๊ค ผมก็คุยกับเด็กๆ ตลอด พยายามไม่ตกรุ่น พยายามเป็นเพื่อนเขา
ปัญหาอยู่ที่เรื่องวินัยนักดนตรี มากกว่าอุตสาหกรรม ?
โดยตัวอุตสาหกรรมเอง ผมว่ามันมีปัญหาอยู่แล้วครับ แต่ถ้านักดนตรีเก่งขึ้น แล้วก็สร้างงาน ผมจะเน้นมากว่า ต้องสร้างงาน สร้างตัวเองขึ้นมา สร้างดนตรีของตัวเองขึ้นมา เร็วๆ นี้ เห็นแก๊ง(นักดนตรี)คลาสสิก พวกไวโอลิน ผมว่าก็ดีนะ เห็นว่าพวกเขากำลังเอาดนตรีไปหาคน ก็อยากให้แจ๊สเป็นแบบนั้นเหมือนกัน อยากให้นักดนตรีแขนงอื่นๆ อยากที่จะเป็นอย่างนั้น อยากที่จะเผยแพร่ดนตรีของตัวเอง อยากสร้างโลกให้มันมีดนตรี มันเหมือนจับมือกัน
หลังจากคุณ คิดว่าจะมีใครอีกไหมที่พอออกไปสร้างชื่อเสียงนอกประเทศ
ผมว่าตอนนี้คนเก่งมีเยอะนะ แน่นอนที่สุดมินท์ (ภาสกร โมะศิลปิน ผู้คว้ารางวัลคมชัดลึกอวอร์ดปีล่าสุด) เป็นคนหนึ่งที่ผมคิดว่า เขาไปได้แน่ แต่ว่าจะไปอยู่ส่วนไหนของดนตรี ถ้าไปแจ๊ส ไปได้แน่ อาจารย์อาร์ม (อานนท์ เฟื่องฟู) ที่โรงเรียนผม เป่าเก่งมาก พยายามลุ้นให้เขาแต่งเพลงเอง อย่างเร็วๆ นี้ ผมกำลังจะคุยกับมาร์ค ติดที่ว่ามันยังไม่เจอหน้ากัน ผมว่าคนนี้ก็เป็นคนหนึ่งที่น่าทึ่ง อาจารย์น้อบแน้บเองเป่าเก่ง ก็ลุ้นให้แต่งเพลง ลุ้นให้ออกงานของตัวเอง ในท้ายที่สุด ถ้าเป็นนักแซ็กโซโฟนแล้วออกไปนอกประเทศ แล้วบอกว่าผมเป็นนักแซ็กโซโฟนครับ แล้วไม่มีผลงานเลย ไม่มีซีดีให้เขาได้ฟัง ไม่มีนามบัตร มันไปไม่เป็นเหมือนกันนะ แล้วเขาจะรู้จักเราได้อย่างไร
อย่างทำโปรเจ็กท์ Sound of siam คุณคาดหวังอะไร
ผมไม่คาดหวังยอดขายเลย คาดหวังว่าให้วงมันเกิด ให้เพลงทุกเพลงที่เราแต่งออกไป ให้ไปเตะหูคนที่อยู่นอกเมืองไทย ให้เขาได้หันมามอง เมืองไทยมีแจ๊ส มีดนตรีดีๆ และมีสถานที่ท่องเที่ยวแบบเหลือเชื่อ ให้เขามาเที่ยวเมืองไทย ให้เขาเห็นความน่ารักของคนไทย
ใน AEC มองกันว่าวงการแจ๊สไทยเราเก่งกว่าประเทศอื่นๆ เป็นสถานะที่น่าดีใจหรือน่าเสียใจ
คือภูมิใจได้นะ ที่เขาชม อย่างผมมีความสุขที่มีวงแจ๊สลาวเกิดขึ้น (Banana Grooves) มันได้สานความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ที่ได้มาเจอกัน มาคุย แลกเปลี่ยน ผมว่าตัว event จะเป็นตัวที่ดึงภาพให้มันชัดเจนขึ้น ผมแอบคิดคอนเซ็ปต์ไว้ชื่อว่า AEC The Miracle of Jazz ยังไม่ได้ขายที่้ไหนนะ ยังไม่ได้ไปติดต่อสปอนเซอร์ ผมมั่นใจว่าถ้ามันเกิดขึ้น จะเห็นวง Big Band ของมหิดล featuring นักร้องจากเวียดนาม เขมร Big Band ของ ม.รังสิต featuring นักเปียโนอินโดนีเซีย ผมวาดฝันไว้ นั่งทำทั้งวันเลยนะ เขียนกระดาษแผ่นใหญ่ๆ จินตนาการไปเรื่อย แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรต่อ นี่คือความฝันของผม
คุณหาพลังหาแรงบันดาลใจจากไหน
ผมว่ามันเกิดขึ้นทุกๆ ครั้งที่เดินทาง ผมชอบการเดินทาง เพราะว่าหนึ่งผมได้อยู่คนเดียว ผมมีเวลาได้นั่งคิด จินตนาการ อย่างใน iPad ผม จะมีทำนองเพลงอยู่เยอะมากเลย ว่างๆ ก็จะมานั่งเขียน แล้วก็อัดเสียง ถึงเวลาก็เอามาแต่งเพลง พอได้เห็นการเล่นของหลายๆ คนในโลกนี้ ผมก็จะกลับมาเล่าให้เด็กฟัง บางทีเขียนเล่าในเว็บไซต์แซ็กโซไซตี้บ้าง บางทีก็ไม่มีคนอ่าน แต่อย่างน้อยที่สุด เราก็ได้เล่าให้ฟัง คือการเดินทางของผม มันให้แรงบันดาลใจ ทำให้ได้คิดอ่าน
ไม่เคยเบื่อสนามบิน ไม่เบื่อบรรยากาศการรอเครื่อง?
จริงๆ เหนื่อยนะ และการไปในแต่ละที่ เล่นกับนักดนตรีเก่งๆ ถามว่า ผมนอนหลับไหม ผมนอนไม่ค่อยหลับเลย คือต้องทำการบ้าน ต้องเช็คตลอดว่า เพลงพรุ่งนี้ จะเจอเพลงอะไรบ้าง แล้วคีย์ก็ยาก เพลงก็ไม่เคยฟัง นักดนตรีโคตรเก่ง ใครเป็นใครบ้าง ผมต้องเช็คตลอดเวลา จำได้ผมไปอยู่อพาร์ทเมนท์ (ที่โคเปนเฮเกน) กับพี่วิชาติ พี่วิชาติบอกว่า ไม่นอนเหรอ ทำอะไรอยู่ แกก็ลงมาดู มานั่งคุยว่า อยากไปเล่าให้เด็กไทยฟังว่า พี่โก้ก็มีความหวาดหวั่น ไม่ใช่จะออกไปแล้วว่าเจ๋ง ต้องทำการบ้านอย่างหนัก ยอมที่จะนอนน้อยหน่อย เพื่อว่าจะให้พรุ่งนี้ไม่พลาด
ยังมีโอกาสพลาดไหม
คือทุกเวทีจะมีจุดเล็กจุดน้อย แต่ผมไม่มองว่าเป็นจุดพลาด มันเหมือนต่อยมวย มันก็จะมีเจ็บบ้าง แต่เราประคองบางจุดมันยากจริง บางทีนักดนตรี อย่าง Saxophone Summit ตัวที่เป่ามาก่อนเรา เป่าแบบสุดยอด เราต้องหาทาง หาวิธีการ ถ้าเพลงนี้ต่อยไฟลท์เตอร์ไม่ได้ เราก็ไปอีกแบบหนึ่ง อันนี้มันเป็นเกมส์ ชั่วโมงบินมันสอนเรา
ถ้าเราจะมีคนแบบโก้ คนๆ นั้นต้องหาชั่วโมงบิน?
ครับ ซึ่งมันสอนไม่ได้ มันได้แค่เล่าให้ฟัง แต่คุณต้องออกไปเจอเอง ไปเจ็บเอง ผมคิดว่านักดนตรีไทยฟังน้อย ไม่ได้หมายความว่าฟังเพลงน้อยนะ แต่ฟังคนอื่นเล่นน้อย มันต้องวางแผนดีๆ เราต้องฟังกันและกันมากขึ้น เพราะฉะนั้น วงแจ๊สที่มาเล่นอยู่ตามที่ต่างๆ หลายๆ คนถึงบอกว่าฟังแล้วมั่ว เหมือนต่างคนต่างคุย เจอแบบนี้เยอะมาก บางคน เราไม่รู้จัก ไม่รู้จะบอกอย่างไร แต่ถ้าเด็กเรา เราบอกเลย ผมอินบล็อกไปหาเลยว่า วันนี้พลาดตรงนี้
ถ้าต้องไปถ่ายทอดวิชาให้เด็กๆ จะพูดเรื่องอะไรบ้าง
คงจะพูดหลายเรื่อง เรื่องการเล่นต้องพูดอยู่แล้ว เรื่องการทำวง เล่นอย่างไรให้ดี ให้ถูกใจกันและกันในวงก่อน ผมว่าในระหว่างที่อีกคนเป่าไม่รู้เรื่อง มือกีตาร์คงจะหมั่นไส้เหมือนกัน คือทำอย่างไรก็ได้ ให้วงมันพอใจกันและกัน วางโพสิชั่นให้เป็น เล่นให้เก่ง ทำตัวเองให้พร้อม ถ้ามองอย่างมืออาชีพ ทำอย่างไรให้เขาอยากซื้องานของเรา ทำอย่างไรให้ดนตรีเรามันโดนใจเขา ไม่ว่าจะเป็นแจ๊สรูปแบบไหนก็ตาม ผมว่ามันมีวิธี
อะไรคือความสมดุลของการตัดสินใจรับงานกับค่าจ้าง
เรื่องนี้เจอบ่อยเหมือนกัน อย่างหลังสุด เจอเขาโทรมาถาม พี่โก้อัดเสียงราคาเท่าไหร่ อย่างทุกวันนี้ ผมไม่อัดเสียงแล้ว มันเป็นเวลาของน้องๆ รุ่นหลังที่จะทำ มันไม่ใช่เวลาของผม แต่ละคนต้องรู้กำลังของตัวเองด้วย รู้จักตัวเองให้มาก (มีเสียงข้างๆ เสริมว่า หากโก้รับงานอัดเสียง เด็กคนอื่นๆ ก็จะไม่มีโอกาสได้งาน) ผมเล่นได้ขนาดนี้แล้ว หางานได้แบบนี้ คงไม่ไปรับงานราคาเดียวกับน้องๆ ที่กำลังก้าวขึ้นมา ก็ต้องปล่อยให้น้องๆ รับงานนี้ไป
กับเด็กรุ่นหลัง ต้องทำอย่างไรให้รู้ว่าอะไรคือจุดที่เหมาะสมกับเขา?
เมื่อใดก็ตามที่เขาสร้างดนตรีของเขา สร้างวงมา มันควรจะมีมาตรฐาน ผมเช็คราคาให้เด็ก ว่าวงลักษณะนี้รับเท่าไหร่ มันคงต้องดูความเหมาะสมของตลาดด้วย
ชีวิตมาถึงวันนี้ คงไม่ใช่ความบังเอิญ?
ผมเคยฝัน แต่ไม่ได้ฝันถึงขนาดนี้ ฝันแค่อยากมีผลงานของตัวเอง อยากให้คนเอางานของเรากลับไปฟังที่บ้าน เพราะดีนะ ชอบนะ มีฝรั่งซื้อแผ่นของเราไป แล้วไปเปิดบอกว่า นี่นักแซ็กเมืองไทย คือคิดแค่ตรงนั้น มีความฝันที่จะเดินทาง แต่ก่อนผมชอบดูวิดีโอของ Branford Marsalis เขาจะขึ้นรถออกทัวร์ ผมชอบมากเลย ก็เคยคิดตั้งแต่ตอนนั้นนะว่า ถ้าเล่นแจ๊สแบบนั้น ใครจะมาดู เล่นแจ๊สอย่างทุกวันนั้น อย่างแต่ก่อน จนท้ายที่สุด European Tour เราก็ได้ไป ผมก็เล่าให้โซ่ (อีทีซี) เล่าให้พี่ดั๊ก (อินฟินิตี้) ฟัง รู้ไหมว่าตอนที่ดูวิดีโออันนี้ โคตรคิดถึงบรรยากาศนั่งรถข้ามเมือง 12-14 ชั่วโมง แล้วก็เล่น เล่นเสร็จขึ้นรถต่อไปอีกเมืองหนึ่ง มันคือความฝัน แค่จำบรรยากาศนี้ไว้นะ มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วจริงๆ แล้วเราต้องกลับไปเล่าให้เมืองไทยฟัง เล่าให้เด็กๆ ได้ฟัง
ดูเหมือนว่าตอนนี้คุณจะทัวร์ในต่างประเทศมากกว่าเมืองไทย?
เมืองไทยก็มีบ้าง ไม่เยอะมาก แต่คือในท้ายที่สุด เราก็คนไทย ผมยังอยากที่จะเอาแซ็กโซโฟนไปเป่าที่สิงห์บุรี กำแพงเพชร น่าน ไปให้คนในจังหวัดเขาได้มาฟังว่า นี่คือแซ็กโซโฟน นี่คือเครื่องดนตรีที่มีชีวิตนะ แล้วมันก็มีหลายๆ เพลงที่ฟังง่ายๆ นะ ผมว่าผมพร้อมนะ ความฝันหนึ่งที่ยังไม่สำเร็จก็คือว่า ผมอยากไป 77 จังหวัด เพราะฉะนั้น ผมก็เอาไอเดียนี้มาให้กับแซ็กโซไซตี้ เราออกทัวร์ทุกๆ ปี ปีหนึ่งประมาณ 10 กว่าจังหวัด ไม่มีใครจ้าง มีแต่เสียตังค์ อยากไป คือไปครู 4 คนแล้วก็นั่งรถตู้ไป ไหลไปเรื่อย อุดรธานี ขอนแก่น มหาสารคาม โคราช คือผมชอบเจอเด็ก อย่างไปอีสาน เด็กมันก็นั่งอีกจังหวัดหนึ่งมา เพื่อมาเจอพี่โก้ บางคน ป.5 ป.6 ครูพามา มันน่าออกไปนะ ผมไปมหาสารคามครั้งแรกจำได้เลย ยกมีสิ ใครเป็นนักแซ็กโซโฟนบ้าง ยกกันประมาณ 40 กว่าคน แล้วก็เลยถามแต่ละคน หลายคนเล่นในวงหมอลำ ผมไปหลายๆ ที่ พวกที่เป็นวงชิงช้าสวรรค์ พวกนี้เซียน เป่าเดี่ยวๆ ไม่ค่อยได้ แต่เป็นทีมสุดยอด มันเป็นความน่าทึ่ง มันเป็นประสบการณ์ที่ผมเองก็เซอร์ไพรส์ แล้วก็กลับมาในเรื่องที่ว่า เด็กกรุงเทพฯ โคตรพร้อม ดูง่ายๆ สนิทที่สุด เด็กมหาวิทยาลัย มหิดล รังสิต ศิลปากรพร้อมมาก
ทำไมชีวิตต้องทำอะไรเยอะขนาดนี้
คือจริงๆ ผมมีทีม พยายามปั้นทีมขึ้นมา ให้เขารับรู้ ในทีมผมคุยกันทุกวัน เวลาผมไม่อยู่ ต้องใช้วิธีคุยอีเมล บางทีประชุมตีสอง คุณก็ต้องมานะ มาบ้านพี่ มานั่งคุยวงการเป็นอย่างไรบ้าง อย่างวันก่อนยังคุยคุยถึงมาร์ค ทหารเรือ (นักแซ็กรุ่นใหม่คนหนึ่ง) คือห่วงมัน มันเป็นอย่างไร มันหายไปไหน เห็นบอกว่ามันไปแข่งรถ คือมันจะไปล้มที่ไหนหรือเปล่า เราจะถามกันตลอด
ธุรกิจส่วนตัวไปได้ดี?
ไม่ค่อยดีครับ เหนื่อยมากเลย มันต้องมาจัดโปรแกรม หนึ่ง-ผมไม่มีลูก ไม่มีภาระอะไร กลับบ้านนอนเดี๋ยวก็ตื่นแล้ว ตื่นแล้วก็มีพลังอีก มันก็อยากทำนู่นนี่ แต่ก่อน ผมก็เคยคิดอยากเลิกทำโรงเรียน อยากจะอยู่เงียบๆ ผมมีฝันหลายอย่าง ถ้าผมรวยๆ ไม่ต้องทำอะไรมาก ผมอยากไปเป็นครูต่างจังหวัด ไม่เป็นครูกรุงเทพฯ แน่นอน โรงเรียนเล็กๆ ผมอยากปั้นพวกเด็กบ้านนอก เพราะผมเติบโตที่สัตหีบ ชลบุรี ผมรู้เลยว่า เด็กบ้านนอกขาดแคลนโอกาส ผมไปถ่ายหนังเรื่องบทเพลงของพ่อ ไปต่างจังหวัด ไปใส่ชุดข้าราชการแล้วก็ไปสอนเด็ก ผมอยากทำแบบนั้น แต่ต้องไม่มีอะไรห่วง ใช้ชีวิตแบบสบายๆ อยากจะปั้นวงของเด็กต่างจังหวัดสักวง ไม่ต้องไปประกวด
ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวัน ?
ผมอยากอยู่ในความเป็นปัจจุบัน ผมยังไปเดินห้างอยู่ ไม่อยากตกยุค เดินสยาม ฟังเพลงที่ใหม่ที่สุด แล้วก็สิ่งหนึ่งที่คิดอยู่ตลอดเวลาก็คือ เรากำลังจะตาย ปลง คือผมก็ไม่ต้องการอะไรมากมาย ผมทำความคุ้นเคยกับมัน เพราะเมื่อสัก 4-5 ปีก่อน ผมกลัวความตาย ผมกลัวว่ามันจะเจ็บหรือเปล่า จนท้ายสุดที่ว่าการที่เรากลัวความตาย เสียเวลามากเลย เพราะเดี๋ยวมันก็จะมาหาเราทุกๆ คน
(ทำอย่างไรถึงหายกลัว) ยังไงมันก็ต้องเจอ เรากลัวความตายมันน่ากลัวกว่าอีก ความตายจริงๆ อาจจะไม่น่ากลัวหรอก มันคือความสมบูรณ์แบบ มันก็ต้องจบ แล้วก็คิดถึงคำของ เจนนิเฟอร์ คิ้ม เสมอ ในหนึ่งเจเนอเรชั่น มันต้องมีหนึ่งคนที่ต้องยอม แกถามว่าเหนื่อยไหม เลิกทำไหม บางทีถ้าโก้เป็นนักดนตรี แล้วเล่นดนตรี แล้วเก็บตังค์อย่างเดียวก็รวย คือทุกวันนี้ ยังต้องเล่นดนตรีเอาเงินมาดูแลร้าน จ่ายค่าเช่า ขายแซ็กขายไม่ค่อยได้ ผมเคยขายได้ช่วงหนึ่ง แต่แซ็กมันมีตลาดอิ่มตัวอยู่ หนึ่งคนก็ไม่ได้ซื้อทุกปี คือมันอยู่ไม่ค่อยได้ ต้องใช้เงินจากการเล่นดนตรีจ่ายค่าเช่า จ่ายเงินเดือนพนักงานอยู่ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่า มันจะไหลไปได้ขนาดไหน อย่างหลังสุดจะทำคอนเสิร์ตโรงเรียน เสียไปประมาณเกือบสามแสน ขายบัตรได้ประมาณสัก 100 ใบ ใบละ 600 บาท ก็อีกล่ะ เจนนิเฟอร์ คิ้ม เสมอ ในหนึ่งเจเนอเรชั่น มันต้องมีคนหนึ่งล่ะโก้ มันต้องมีคนหนึ่งที่ต้องยอมเสียสละตรงนี้.




