เดินป่า ตามหา 'โลง'

เดินป่า ตามหา 'โลง'

ไม่ผิดหรอกครับ ผมไปเดินป่าเพื่อตามหา“โลง”มาจริงๆ

โลงที่ผมว่านี้ แบบเดียวกับที่เขาเรียกว่าโลงผีแมนนั่นเอง โลงผีแมนที่ว่าก็คือไม้ท่อนที่เอามาเจาะให้มีพื้นที่เป็นช่องตรงกลางคล้ายๆ เรือ ช่องนั้นกว้าง 1-2 ฟุต ยาวประมาณ 2-3 เมตร บางโลงจะมีการแกะสลักบนหัวโลง และมักจะมีฝาปิด

ผมเคยอ่านงานวิจัยของ ผศ.ดร.รัศมี ชูทรงเดช ภาควิชาโบราณคดี ม.ศิลปากร ท่านได้ศึกษาค้นคว้าวัฒนธรรมโลงผีแมน ที่ปางมะผ้า แม่ฮ่องสอน ได้ความว่า โลงเหล่านี้เกี่ยวพันกับคนตายจริงๆ แต่ไม่ใช่เป็นการเอาศพที่ยังไม่เน่าเปื่อยมาใส่อย่างโลงในปัจจุบัน หากแต่เป็นการใส่หรือเก็บอัฐิ บางครั้งมีข้าวของ เครื่องใช้ของคนตายใส่มาในนี้ด้วยแล้วเก็บไว้ในที่ที่ไม่ค่อยมีใครมารบกวน เรียกว่าเป็นการฝังศพครั้งที่สอง เป็นวัฒนธรรมเกี่ยวกับการตายของคนในสมัยก่อนที่ความเจริญจะเข้ามา ผมคิดว่าคงเหมือนกับที่เราเก็บอัฐิญาติผู้ใหญ่ไว้ในเจดีย์เล็กๆ หรือริมผนังโบสถ์นั่นเอง (เคยไปในชนบทของลาวเมื่อ 20 ปีก่อน ยังเคยเห็นการแกะสลักไม้เป็นรูปเจดีย์แล้วมีช่องใส่อัฐิ เอาไปไว้ตามวัด) ทีนี้คนที่อยู่ในเขตภูเขา ที่ไหนอัฐิญาติผู้ใหญ่เขาจึงจะไม่ถูกรบกวน ก็คือตามเพิงถ้ำ หน้าผาสูงๆ ที่การเดินทางไปยากลำบาก ในแม่ฮ่องสอนนั้นมีการต่อเป็นนั่งร้าน แล้วเอาโลงไปซ้อนๆ กันไว้ อย่างเช่นที่ถ้ำผีแมน ระหว่างทางจากปางมะผ้าไปปาย หรือที่ถ้ำลอดปางมะผ้า ก็มีเป็นชั้นๆ เหมือนกัน

ใครกันละที่มีการเก็บอัฐิแบบนี้ ก็คงเป็นชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง มีการนำเอาโลงไม้ไปพิสูจน์ด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ พบว่ามีอายุแก่นับพันๆ ปี แสดงว่าวัฒนธรรมโลงผีแมนนี้ ถูกส่งต่อมานับพันปีแล้ว จนมาถึงยุคก่อนหน้าเรา ก่อนที่ความเจริญสมัยใหญ่จะเริ่มกรายเข้าไปในพื้นที่ ผมเคยดูสารคดีต่างประเทศแถบทางอินโดนีเซียก็มีการเก็บกระดูกใส่ภาชนะปิดมิดชิดแล้วไว้ในตามเพิงถ้ำเหมือนกัน ที่ภาคอีสานที่มีเพิงหินทรายหลายแห่งก็ปรากฏมีโลงไม้แบบนี้อยู่ตามเพิงถ้ำต่างๆ (ปัจจุบันมีเหลือที่เดียวคือเพิงถ้ำใกล้เสาเฉลียงใหญ่ บ้านผาชัน สามพันโบก อุบลฯ) อาจารย์รัศมี ท่านศึกษาค้นคว้าในย่านแม่ฮ่องสอนที่เป็นย่านของโลงผีแมน แต่ผมได้ข่าวว่าที่ย่านเมืองกาญจน์ก็มีการพบโลงผีแมนแบบนี้บ่อยๆ อย่างน้อยโลงผีแมนที่จัดแสดงที่ รพ.ศิริราช ก็ได้ข่าวว่าเอามาจากเมืองกาญจน์เช่นกัน รวมทั้งมีการพบโลงผีแมนตามถ้ำ ตามเพิงภูเขาสูงหลายแห่งในกาญจนบุรี การไล่ตามไปดูถึงถิ่นที่ของมันจึงเกิดขึ้น

ถ้ำหนองเสือล่าง เป็นหนึ่งในหลายถ้ำหินปูนในแนวเขตเขาหนองเสือ ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเอราวัณ ถ้ำนี้เป็นถ้ำขนาดไม่กว้างราว 15 เมตร สูง ไม่ถึง 5 เมตร ก้นถ้ำลึกและค่อยๆ แคบลง กว่าที่ผมจะเดินขึ้นไป โดยมีพี่ “ประสพ”เจ้าหน้าที่อุทยานฯจะพาขึ้นไปได้ ก็ต้องเดินฝ่าป่าไผ่ที่ต้นฝนแบบนี้ยุงมากมายมหาศาล ปีนภูเขาขึ้นไปพอได้เหงื่อ จึงไปถึงปากถ้ำ ที่พบเห็นโลงไม้ปรากฏอยู่ชัดเจน 3 โลงวางบนพื้น กระจายกันไปทั่ว โลงที่อยู่ข้างในค่อนข้างจะแห้ง ส่วนโลงที่อยู่ปากถ้ำ โดนฝน โดนแดด ดูจะยุ่ยลงไปมาก หัวโลงมีการแกะสลักเป็นรูปร่างบางอย่าง แต่โลงเหมือนมีรอยมีดฟันจนชำรุดไปบางส่วน เจอเศษกระดูกไม่มากในโลง พื้นถ้ำมีหลุมคล้ายมีการมาขุดค้นอะไรบางอย่าง

ที่เมืองกาญจน์นี้ชาวบ้านเรียก “รางน้ำ” “เรือโลง” ก็เรียก โดยเข้าใจว่าเป็นรางน้ำของกองทัพพม่าที่เข้ามาเป็นกองสอดแนม มาหลบตามถ้ำ แล้วทำรางน้ำไว้ใช้ บางคนก็คิดว่าเป็นเรือ แต่จริงๆ เป็นโลงผีแมนอย่างที่ว่า ในเขตเมืองกาญจน์เป็นย่านเก่าแก่มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ภาพวาดโบราณอย่างที่ผาแต้มมีปรากฏอยู่หลายที่ การขุดค้นหาลูกปัด หาของมีค่าตามถ้ำที่คนโบราณมักจะเอาศพเอาคนตายมาไว้ในถ้ำ แล้วนำเอาสิ่งของมีค่าใส่ไว้กับศพด้วย ในเมืองกาญจน์ทุกวันนี้ก็ยังมีคนหาลูกปัด แอบขุดค้นของโบราณตามถ้ำต่างๆ ที่มีอยู่มากมายอยู่เลย โลงไม้ที่เราไปเห็นรวมทั้งรอยเอามีดฟันก็คงมาจากคนกลุ่มนี้นี่เอง

วันต่อมา เรามีจุดหมายที่ ถ้ำหนองเขียด ซึ่งเดินขึ้นเขาไปอีกไกล หนำซ้ำยังสูงกว่าไปถ้ำหนองเสือมากมาย เพราะผมได้ข่าวมาว่าที่นี่มีโลงไม้มากมายกว่าถ้ำหนองเสือล่าง แล้วอย่างที่ผมบอกว่าการเดินในป่าไผ่หน้าฝนนั้นยุงเยอะมาก แต่ก็จำเป็นต้องนั่งพักตามทางไปเรื่อย เพราะเป็นการเดินขึ้นไปบนเขาชัน นั่งได้หน่อยเดียว ยุงมาตอมกันจนดำไปหมด มัวพิรี้พิไรอยู่ไม่ได้ เจ้าหน้าที่ป่าไม้เขาเดินเร็ว เดินคล่อง จนเดินตามแทบไม่ทัน

ขึ้นไปจนเหมือนจะเป็นยอดๆ เขา เราก็เจอแหล่งน้ำซับเป็นลำธารเล็กๆ พอได้ล้างเนื้อล้างตัว แล้วเดินขึ้นเนินไปอีกนิดเดียวก็เจอกับดงต้นตาวขึ้นกันจนแน่น ที่นี่ที่เรียกว่า ถ้ำหนองเขียด ถ้ำนี้เป็นลักษณะของถ้ำถล่ม ผมอธิบายง่ายๆ คือภูเขาหินปูนมันมักจะมีโพรงอยู่ข้างใน ที่นี่ก็เช่นกันมันเป็นเหมือนเป็นโดมใหญ่ๆ แล้วหลังคาโดมมันก็ยุบพังลงมา บรรดาก้อนหินที่เคยเป็นหลังคาพอพังลงมา ก็จะมากองกันตรงกลาง กลายเป็นเนิน ถ้าเราบินดูบนฟ้าก็คงเห็นเหมือนเวิ้งถ้ำ ถ้าอยู่ในทะเลแล้วน้ำเข้าก็จะเป็นทะเลใน

ถ้ำนี้แสงก็เข้ามาได้ตรงกลางนี่เองต้นไม้ก็จะขึ้นสูง แย่งกันรับแสง ส่วนรอบๆ ก็จะเป็นพื้นขอบถ้ำ ส่วนที่ยังพอมีเพิงหลังคาอยู่ พวกนี้ก็จะมีตะไคร่น้ำขึ้นตามก้อนหินตามผนัง และสิ่งที่ผมเห็นคือ โลงไม้เกือบ 20 โลงวางกระจายกันเกลื่อนตามพื้นถ้ำ ตะไคร่น้ำขึ้นกันจนเขียว โลงหลายโลงขอบพังยุ่ยลงมา แต่ก็พอมองออกว่าเป็นโลงไม้ ที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ไปอยู่ในเพิงถ้ำขนาดใหญ่ที่มีโลงไม้ปักลงไปในเนื้อดิน 3-4 โลง ซ้อนๆ กันอยู่ บางส่วนก็วางซ่อนหลบแสงในหลืบถ้ำ โลงกลุ่มนี้สภาพค่อนข้างสมบูรณ์ ผมเดินถ่ายภาพ พิจารณาจนหนำใจ เจ้าหน้าที่อุทยานฯที่ไปด้วยกัน วาดแผนที่ที่ตั้ง การวางของโลงไว้คร่าวๆ เราทำตัวเหมือนเป็นนักสำรวจวัฒนธรรมโลงไม้ที่ปรากฏอยู่ในป่าลึก

การท่องเที่ยวแบบนี้ ไม่ใช่การท่องเที่ยวเพียงไปดูความสวยงามหรือไปนั่งนอนพักสบายๆ แบบที่เราคุ้นเคยกัน หากแต่เป็นการท่องเที่ยวแบบสำรวจและศึกษา ซึ่งก็คือการท่องเที่ยวในรูปแบบหนึ่งที่อยากให้คนไทยเรามาเน้น เพราะการท่องเที่ยวแบบบริโภคที่เราเห็นกันในปัจจุบันมันบริโภคทรัพยากรอย่างมาก และไม่ใช่รูปแบบการท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียวที่มีในโลก การไปดูโลง-ราง โบราณครั้งนี้ ตัวความรู้เองอาจจะยังไม่มาก แต่ถ้ามีคนที่สนใจมันก็จะเป็นการต่อยอดให้ได้ศึกษา ค้นคว้าต่อไป เมื่อมีคนสนใจ การให้ความสำคัญกับแหล่งประวัติศาสตร์ กับแหล่งโบราณคดีก็จะตามมา

แม้การเดินไปสำรวจโลงไม้ทั้งที่ถ้ำหนองเขียด และถ้ำหนองเสือล่างจะไม่ได้เห็นภาพที่สวยงาม แต่ความรู้สึกเหมือนอินเดียน่า โจนห์ นักสำรวจที่ยิ่งใหญ่ จะมาประทับร่างอยู่เชียว...

ใครสนใจลองสอบถามที่อุทยานแห่งชาติเอราวัณดูครับ เจ้าหน้าที่ที่รู้ทางชื่อ “ประสพ” เขาจะพาไปประสบ "ราง-โลง" ได้ไม่ยากเลย ท่านผู้อ่านก็อาจเป็นอินเดียน่า โจนห์ ได้เหมือนกัน