หมู่บ้านช้าง วิถีแห่งชาวกุย

หมู่บ้านช้างบ้านตากลาง หรือ หมู่บ้านช้างจังหวัดสุรินทร์ ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่นักท่องเที่ยวทุกคนสามารถเรียนรู้วิถีชีวิตความเป็นอยู่
ความผูกพันของคนในชุมชนและช้าง รวมทั้งได้เรียนรู้ประเพณีและวัฒนธรรมที่น่าชื่นชมอย่างใกล้ชิด โดยจะมีช้างที่เลี้ยงไว้อาศัยอยู่ด้วย
ช้างถือเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ และเป็นสัตว์ป่า ด้วยสัญชาตญาณของสัตว์ป่าอาจทำให้ผู้พบเห็นได้รับอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต แต่ในทางกลับกันเมื่อทุกคนได้มาสัมผัสกับช้างที่หมู่บ้านช้างแห่งนี้แล้ว ลักษณะและพฤติกรรมของช้างไม่ได้สร้างความหวาดกลัวหรืออันตรายแก่ผู้คนที่พบเห็น แม้ว่าจะไม่ใช่คนในพื้นที่ก็ตาม เพราะช้างที่นี่มีนิสัยเชื่อง ไม่ดุร้าย และอยู่รวมกับกับคนในชุมชนได้อย่างมีความสุข
ชาวบ้านในหมู่บ้านช้างสุรินทร์เดิมเป็นชาวกุย (โกย) หรือที่คนไทยส่วนใหญ่รู้จักกันในนาม “ส่วย” สำหรับคนในพื้นที่จะเรียกกันว่า กุย ส่วนคำว่า “ส่วย” นั้นไม่เป็นที่นิยม เพราะความหมายของคำว่า “ส่วย” สื่อถึงการส่งส่วย ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการกระทำ หรือพฤติกรรมบางอย่างที่ส่อไปในทางที่ไม่สุจริต เช่นกรณีการส่งส่วยของผู้ที่ลักลอบเล่นการพนัน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คนในพื้นที่เรียกแทนตัวเองว่า ชาวกุย และมีภาษาพูดเป็นของตัวเอง รวมถึงใช้ภาษาลาวและเขมรได้ดีด้วย
ความสามารถของชาวกุยที่หลายคนรู้ดีคงเป็นเรื่องการคล้องช้างและเลี้ยงช้าง รวมทั้งมีวิถีในการดำเนินชีวิตตามวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมที่ยังคงสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน โดยในอดีตชาวกุยส่วนมากต้องเดินทางไปคล้องช้างบริเวณชายแดนรอยต่อประเทศกัมพูชา ทว่า ด้วยภาวะการเมืองระหว่างประเทศทำให้ชาวบ้านตากลางไม่สามารถไปคล้องช้างเหมือนก่อนได้ แต่ก็ยังคงเลี้ยงช้าง และฝึกช้างเพื่อไปร่วมแสดงในงานช้างของจังหวัดทุกปี
ด้วยความเชื่อทางศาสนาที่ถือว่าช้างเป็นสัตว์มงคล ทำให้ในงานประเพณีหรืองานพิธีกรรมต่างๆ ของที่นี่มักมีช้างเป็นส่วนหนึ่งอยู่เสมอ เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมไทยอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวบ้านตากลาง จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งได้สร้างความประทับใจให้กับแขกผู้มาเยือนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ทำให้เป็นที่รู้จักในฐานะหมู่บ้านช้างเลี้ยงที่ใหญ่ที่สุด และเป็นหนึ่งเดียวในโลก
หนึ่งในงานประเพณีที่สำคัญของหมู่บ้านช้างตากลาง คืองานบวชนาคช้างในเดือนหก ซึ่งจะมีขึ้นในช่วงวันขึ้น 13-15 ค่ำ เดือน 6 ของทุกปี โดยจะตรงกับวันวิสาขบูชาที่ไม่ว่าชาวกุยจะอยู่แห่งหนตำบลใดของประเทศ ก็จะเดินทางกลับบ้านเพื่อมาร่วมงานประเพณีของตนอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
ในปีนี้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ร่วมกับจังหวัดสุรินทร์ จัดงานประเพณีบวชนาคช้างเฉลิมพระเกียรติ ประจำปี 2557 ขึ้น ณ ศูนย์คชศึกษา บ้านตากลาง ตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ ระหว่างวันที่ 11-13 พฤษภาคม 2557 เพื่อเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยเชิญชวนนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกให้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย พร้อมทั้งศึกษาวัฒนธรรมของชาวกุยด้วย
พันธวัช ศาลางาม เจ้าหน้าที่ศูนย์ประสานงานส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดสุรินทร์กล่าวว่า “ความเป็นมาคือกลุ่มชาวกุยอพยพถิ่นฐานตั้งแต่บรรพบุรุษมาจากประเทศลาว และเขมร มันเป็นเส้นทางที่ทำให้อพยพมาอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ ชาวกุยมีความเชื่อแบบพราหมณ์มาก่อน และหลังจากนั้นเลยเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ การทำพิธีบวชนาคช้างคือการนำพิธีของทั้งสองศาสนาระหว่างศาสนาพุทธและพราหมณ์มาปนกัน โดยพิธีการบายศรีสู่ขวัญหรือการรับคำอวยพรจะมีบทสวด มีเครื่องรางของขลังต่างๆ ซึ่งตรงนี้จะมาจากศาสนาพราหมณ์ และหลังจากนี้ก็จะมีงานเลี้ยงซึ่งจะจัดคล้ายๆ กับงานบวชโดยทั่วไปของชาวพุทธ”
ในการทำพิธีบายศรีสู่ขวัญนั้นจะมีการแต่งหน้านาคด้วยเครื่องประดับต่างๆ เช่นกระโจม หรือชฎา ซึ่งเป็นเครื่องหมายของผู้สูงศักดิ์ หรือผู้มีบุญจะสวมใส่กัน ดังนั้นนาคจะหมายถึงผู้มีบุญวาสนาหรือผู้สูงศักดิ์เหนือกว่ามนุษย์ธรรมดา จึงอนุญาตให้สวมใส่ได้ในเฉพาะพิธีเท่านั้น สำหรับฝ้ายหรือสำลีที่ใบหูทั้งสองข้างก็เป็นเครื่องหมายเพื่อเตือนสติให้นาคได้รู้ว่ากำลังเข้าสู่อุดมเพศคือเพศผู้สูงศักดิ์กว่าคนธรรมดา ดังนั้นนาคไม่ควรหูเบาเหมือนฝ้ายหรือสำลี ควรพิจารณาด้วยเหตุผล มีความรอบคอบและใช้สติอยู่เสมอ เครื่องประดับต่อมาคือผ้าหลากสี(ผ้า7สี) มีความหมายถึงทุกสิ่งอย่างล้วนมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ ให้รู้จักทำใจเผื่อเอาไว้กับสิ่งต่างๆ รอบตัว เช่น เรื่องของความรักที่มีให้กับสตรี ส่วนอีกความหมายหนึ่งของผ้าหลากสีคือการเปรียบเทียบกับรุ้งทั้ง 7 สีที่จะปรากฏขึ้นก็ต่อเมื่อมีฝนเท่านั้น ดังนั้นการสวมใส่ผ้าทั้ง 7 สี ไม่ได้มีให้เห็นโดยทั่วไปเช่นกัน ส่วนสร้อยคอทองคำนั้นนาคจะสวมใส่เนื่องจากยุคสมัยใหม่เท่านั้น
พันธวัช กล่าวต่ออีกว่า พิธีบวชนาคช้างจะเป็นการบวชแบบนาคหมู่ โดยชายที่จะบวชเป็นนาคได้นั้นต้องมีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ ไม่ว่าจะทำงานอยู่ที่ใดก็จำเป็นที่จะต้องกลับมาบวชให้บุพการีของตน ซึ่งหลังจากทำพิธีบายศรีสู่ขวัญในวันที่ 2 จะมีการจัดขบวนแห่ ก่อนการจัดขบวนแห่ นาคจำเป็นต้องมีผู้ทำพิธีเซ่นไหว้ศาลปะกำ ที่เป็นเสมือนเทวาลัยสิงสถิตของวิญญาณบรรพบุรุษและผีปะกำตามความเชื่อของชาวบ้าน ซึ่งหากไม่มีพิธีเซ่นไหว้ก่อนนั้น การดำเนินพิธีกรรมใดๆ จะไม่เกิดความสำเร็จ
นักท่องเที่ยวสามารถไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากศาลปะกำได้ ซึ่งเชื่อกันว่าขอสิ่งใดก็จะได้สมปรารถนาดั่งที่ตั้งใจไว้
มา ทรัพย์มาก หรือที่ชาวบ้านให้ความเคารพกันในฐานะ “หมอช้าง” ผู้สืบทอดตำแหน่งหมอช้างรุ่นสุดท้าย กล่าวถึงความสำคัญของการทำพิธีดังกล่าวว่า “ชาวกุยเดิมมีคตินิยมในการนับถือผี ประกอบกับวิถีชีวิตที่ผูกพันกับช้างอย่างแนบแน่น เราจึงมีพิธีนี้ขึ้นเพื่อบอกกล่าวภูตผีให้รับรู้ เพื่อจะช่วยให้พิธีการต่างๆ ที่จะมีขึ้นไม่ประสบกับอุปสรรคใดๆ และที่สำคัญคนที่จะทำพิธีนี้ได้ก็มีเพียงแค่หมอช้างไม่กี่คนในหมู่บ้านนี้เท่านั้น เพราะหมอช้างเป็นผู้ที่มีความชำนาญในเรื่องช้าง จึงจะเป็นผู้ทำพิธีกรรมต่างๆที่เกี่ยวกับช้างทั้งหมด เช่นพิธีการเซ่นผีประกำนี้ หรือจะเป็นการทำเชือกประกำ”
ในขณะการทำพิธีเซ่นไหว้ศาลประกำ นาคจะขึ้นช้างเดินทางออกจากบ้านและแห่มารวมกันที่วัดบ้านตากลาง ก่อนที่ทั้งหมดจะเคลื่อนขบวนแห่ไปที่ลำน้ำมูลบริเวณที่เรียกว่า “ศาลเจ้าพ่อวังทะลุ” หรือในภาษากุยเรียกว่า “หญ่าจู๊” เพื่อบอกกล่าวต่อสิ่งศักดิ์สิทธ์ที่ชาวกุยเคารพนับถือ
ด้วยความเชื่ออันเกี่ยวกับพุทธประวัติที่ว่า พระพุทธเจ้าตอนพระองค์ทรงเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ก่อนการอุปสมบทพระองค์ทรงม้ากัณฑกะ โดยมีนายฉันนะตามเสด็จไปสู่แม่น้ำอโนมา พระองค์ทรงทำการปลงผมและทรงผนวช ณ ที่ริมแม่น้ำอโนมา ความเชื่อและแรงดลใจข้อนี้คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีการบรรพชาอุปสมบทของชาวกุยในพื้นที่บริเวณเกาะกลางแม่น้ำมูลที่วังทะลุ โดยบริเวณพื้นที่ดังกล่าวนั้นเป็นวังน้ำวน เกิดจากการไหลมาบรรจบกันของแม่น้ำ 2 สาย ได้แก่ แม่น้ำมูลและแม่น้ำชี ทำให้เกิดดินดอนหรือเนินดิน จึงทำให้มีชื่อเรียกว่า “ดอนบวช” หรือที่ชาวบ้านเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “สิมน้ำ” และอีกหนึ่งสาเหตุที่ต้องมีการเดินทางมาทำการบรรพชาอุปสมบทที่วังทะลุนั้น เนื่องจากมีเรื่องเล่าถึงความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าพ่อวังทะลุที่ชาวบ้านเล่าต่อๆ กันมาว่า บ่อยครั้งที่คนนอกชุมชนกระทำการละลาบละล้วงหรือดูหมิ่น ผลร้ายมักจะตกอยู่กับชุมชน เช่น บุตรหลานไม่สบาย เป็นไข้โดยไม่ทราบสาเหตุ หรือเกิดอาการเจ็บป่วยกับช้างของชาวบ้าน
"วังทะลุนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หลังจากหมอช้างทำการเซ่นไหว้ผีปู่ตาที่ศาลประกำเพื่อบอกกล่าวและขอความคุ้มครองในการทำพิธีนั้น นาคจะต้องไปรวมกันที่วัดบ้านเตากลางและแห่ขบวนมาทำพิธีที่วังทะลุต่อ ขณะทำพิธีคนที่มาเข้าชมการบวชนาคช้างจะต้องให้เกียรติตลอดการทำพิธี ทั้งนี้เพื่อป้องกันอุปสรรคต่างๆที่จะเกิดขึ้นระหว่างการประกอบพิธี” พันธวัช กล่าว
“งานบวชนาคช้าง” จึงถือเป็นงานประเพณีที่ภาคภูมิใจของชาวบ้านบ้านตากลาง และเป็นประเพณีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยขบวนช้างที่ร่วมแห่นาคนับร้อยเชือกกับเส้นทางการเดินของขบวนแห่ที่ชาวบ้านพร้อมใจกันสวมใส่ซิ่นไหมมัดหมี่ลายสวยงามร่วมเดินขบวนแห่ยาวไกลไม่น้อยกว่ากิโลเมตร







