เลื่อนฤทธิ์ เก่า แต่เก๋า

เลื่อนฤทธิ์ เก่า แต่เก๋า

มองความเปลี่ยนแปลงของชุมชนเลื่อนฤทธิ์ในวันที่การพัฒนาสามารถเดินร่วมทางไปกับการอนุรักษ์จนกลายเป็นย่านการค้า 100 ปีอีกแห่งในอนาคต

ความเคลื่อนไหวของคนงานหลายชีวิตกำลังขนข้าวของกันอย่างแข็งขัน ทำให้บรรยากาศภายในอาคารพาณิชย์ 2 ชั้น ผิดกับป้ายร้าน "ห้างซินฮะเส็ง" ที่ถูกปลดลงมาวางพิงผนังเอาไว้โดยสิ้นเชิง

74 ปี ของร้านขายตราชั่งที่ดำเนินกิจการมาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2483 ถูกหยุดเอาไว้ ไม่ต่างจากบ้านหลังอื่นๆ ในละแวกนี้ ที่บางหลังเหลือแต่ร่องรอยการใช้ชีวิต ขณะที่บางหลังกำลังวุ่นวายกับการโยกย้ายกองข้าวของเครื่องใช้ เศษขยะ และคนงาน จึงกลายเป็นภาพชินตาของ "ชุมชนเลื่อนฤทธิ์" ช่วงนี้ไปแล้ว

รวมทั้ง "นักล่า" "พ่อค้า" และ "นักสะสม" ที่ต่างเดินทางเข้ามาเสี่ยงโชคตามหา "ของเก่า" ภายในชุมชนด้วย

ในสายตานักสะสม

ทั้งจากย่านใกล้เคียง และต่างถิ่น พวกเขาต่างรู้ว่า ชุมชนเลื่อนฤทธิ์ หนึ่งในกลุ่มอาคารพาณิชย์ยุคแรกของไทยสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนนำร่องจากการประชุมคณะกรรมการกำหนดแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาพื้นที่บริเวณต่อเนื่องกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งจะมีการปรับปรุง และซ่อมแซมเพื่อการอนุรักษ์ ทำให้ "ผู้เช่า" ต้อง "ย้าย" ออกไป

ที่นี่จึงกลายเป็น "กรุ" สำหรับของเก่าไปโดยปริยาย

อย่าง เอก (ขอสงวนชื่อจริง) เขาได้ข่าวจากรุ่นน้องคนหนึ่ง ด้วยความเป็นนักสะสมจึงเดินทางมาตามหาของเก่าตั้งแต่ช่วงแรกที่มีการขนย้าย

"ผมสะสมมา 10 กว่าปีแล้ว เก็บของเก่าหมดทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นชิ้นเล็กหรือชิ้นใหญ่ อะไรที่เจอแล้วชอบก็ซื้อ...ตอนนี้ได้เครื่องขยายภาพ กับเครื่องไม้มาบ้างแล้ว" เขาเล่าถึงของที่ "จับ" ได้

ตลอดหลายวันที่ผ่านมา เอกต้องพบปะพูดคุยกับเจ้าของบ้านภายในชุมชนหลายหลัง ไม่ต่างจาก เล็ก (ขอสงวนชื่อจริง) พ่อค้าขายของเก่าที่อยู่ในวงการมากว่า 10 ปี งานของเขาคือการเดินเข้าไปหาและสอบถามเจ้าของบ้านเกี่ยวกับของเก่าตามออเดอร์ของลูกค้า เมื่อเจอของเก่าตามที่ลูกค้าต้องการ ค่อยติดต่อกับลูกค้าอีกครั้ง เพื่อส่งภาพสินค้าให้ตัดสินใจ หากลูกค้าพอใจในชิ้นงาน และราคาที่เสนอ การซื้อขายก็จะสิ้นสุดลง

"จะหาของเก่าแถวเยาวราชแต่ก็ต้องใช้ประสบการณ์ในการเลือก ซื้อของมั่วซั่วไม่ได้ ของบางอย่างอาจเป็นของที่ขโมยมา ...เดี๋ยวจะเดือดร้อนในอนาคต"

นอกจาก "ตาดี" แล้ว "ลูกล่อลูกชน" ยังถือเป็นปัจจัยสำคัญในการเข้าไป "จับของ" ด้วย เพราะแต่ละย่านผู้คนก็นิสัยใจคอแตกต่างกันไป บางบ้านพูดง่าย บางรายคุยยาก หรือ "โก่งราคา" ก็มี

"ขึ้นอยู่กับว่า เจ้าของบ้านโง่ หรือฉลาด" พ่อค้าของเก่าบางคนสรุปสั้นๆ

เหมือนอย่างที่ครั้งหนึ่ง เคยมีกรณีที่เจ้าของบ้านตกลงราคา "ปากเปล่า" ตู้เก่า กับพ่อค้ารายหนึ่งเอาไว้ก่อนหน้าที่ราคา 40,000 บาท แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจขายให้กับพ่อค้าอีกคนหนึ่งที่ให้ราคาสูงกว่า ทำให้พ่อค้าอีกรายหนึ่งไม่ยอม ขู่ว่าจะแจ้งตำรวจ แม้จะทำไม่ได้ตามกฎหมาย แต่เจ้าของบ้านก็หลงเชื่อ ผลก็คือ ต้องยอมให้พ่อค้าคนนั้น "ขึ้นบ้าน" ไปรวบของเพื่อให้ครบมูลค่าตามที่ตกลงกันเอาไว้ โดยที่ไม่มีสิทธิตรวจสอบ แน่นอนว่า "ของ" ที่พ่อค้าได้ไปมูลค่าต้องมากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย

"ส่วนใหญ่จะเกิดกับเจ้าของบ้านสูงอายุ ไม่ค่อยทันพวกนี้หรอก" เขาบอก

อีกแท็กติกหนึ่งที่บรรดาพ่อค้าชอบใช้กันก็คือ การใช้ "นกต่อ" เข้าไปเสนอราคา โดยให้คนแรกเข้าไปให้ราคาสูงเพื่อไม่ให้เจ้าของบ้านบอกขายคนอื่นต่อ ก่อนจะทิ้งช่วงให้คนที่สองเข้าไปกดราคาเอาของมาถูกๆ ก็มี

ที่สุดแล้ว เรื่องของสินค้าที่มี "ความเก่า" เป็น "มูลค่า" ล้วนขึ้นอยู่กับความพึงพอใจระหว่างคนซื้อ และคนขายทั้งนั้น

นอกจากการชิงไหวชิงพริบระหว่างพ่อค้ากับเจ้าของบ้านแล้ว "ของเก่า" ยังเป็นเครื่องหมายของความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยที่เดินคู่ขนานไปกับพ่อค้าเหล่านี้ด้วย

"กรุงเทพฯ ในอีก 20 ปีข้างหน้าจะไม่มีของเก่าเหลือ บ้านไม้จะน้อยลงเพราะความเจริญเข้ามา..." คนที่ใช้ของเก่าเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอย่าง เล็ก เปิดประเด็นขึ้นขณะนั่งมองความเคลื่อนไหวภายในชุมชนเลื่อนฤทธิ์อย่างเงียบๆ เยื้องไปจาก ห้างซินฮะเส็ง ไม่ไกลนัก

ไม่ต่างจาก เอก ที่เดินเข้าออกบ้านแต่ละหลังในช่วงหลายวันมานี้...

"ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เหมือนกันคือทุกคนไม่อยากย้ายออก" เขารู้สึกอย่างนั้น

เมืองปรับ คนเปลี่ยน

"ผมจะกลับมาใหม่ในอีก 3 ปีข้างหน้า" อานนท์ เทอดจิตไพศาล เจ้าของห้างซินฮะเส็งกล่าวเพียงสั้นๆ ก่อนที่จะหันไปควบคุมคนงานที่กำลังขนของต่อ

คำมั่นนี้เป็นเหมือนตัวแทน "สัญญาใจ" ของใครอีกหลายคนที่เคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ แม้ปัจจุบันอาคารหลายส่วนจะถูกรื้อถอนดัดแปลงไปมาก แต่ยังพอเห็นสภาพดั้งเดิมบ้าง

ทั้งตัวอาคารเป็นระบบเสาคานผสมกับผนังรับน้ำหนักพื้น หลังคาทรงจั่วมุงกระเบื้องว่าว ก่ออิฐฉาบปูนสูงขึ้นไปถึงหลังคา และทำผนังกันไฟเป็นช่วงๆ ช่วงละ 2-3 คูหา หน้าต่างออกแบบเป็นบานไม้แบบลูกฟักกระดานดุม บานคู่ 2 ช่อง แต่ห้องหัวมุมตึกจะมีหน้าต่างช่องเดียว ตกแต่งช่องแสงเป็นกรอบไม้ฉลุลาย มีกันสาดคลุมทำด้วยสังกะสีโดยรอบ เหนือกันสาดเจาะช่องวงกลมทำเป็นรูระบายอากาศ โดยชั้นล่างเปิดโล่ง

ปัจจุบัน "ชุดอาคารแบบนี้" แทบไม่มีเหลือให้เห็นอยู่แล้ว

นอกจากสถาปัตยกรรม 100 ปีที่เป็นเหมือนกระดูกสันหลังของชุมชน ยังมีวิถีชีวิตแบบ "ย่านการค้าจีน - อินเดีย" ซึ่งทำหน้าที่เป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงชาวเลื่อนฤทธิ์จากรุ่นสู่รุ่น

"30 ปีที่ผมเห็นตรงนี้มันก็เป็นย่านค้าส่งผ้า เป็นส่วนขยายของสำเพ็ง" ป้อม-ศุเรนทร์ ฐปนางกูร กรรมการชุมชนเลื่อนฤทธิ์ย้อนความหลังเท่าที่เขาพอจำได้ หรือรายละเอียดเชิงวัฒนธรรม ตรงนี้เป็นกลุ่มก้อนของจีนฮากกา หรือจีนแคะที่ชัดเจนที่สุดอีกแห่งหนึ่งของประเทศ

แต่ด้วยพลวัตของการเป็นย่านการค้า ทำให้ชุมชนเลื่อนฤทธิ์มีความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว เมื่อเทียบกับย่านเจริญไชย หรือเวิ้งนครเกษม

"ย่านเยาวราชมีความหลากหลายในทุกมิติ เริ่มจาก ถนนทรงวาดริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นย่านการค้าเมล็ดพันธุ์ ถัดมารอบๆ สำเพ็ง คือขายผ้า และเปลี่ยนเป็นกิฟท์ช็อป ข้ามไปฝั่งเยาวราช ฟากเยาวราชสำเพ็งยังขายผ้าอยู่ ต่อจากนั้นก็กลายเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าแล้ว" เขายกตัวอย่างการก้าวกระโดดของย่าน และความเป็นชุมชนเมืองของผู้คนแถบนี้

ดังนั้น อาคาร 100 ปี กับพื้นที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง ระหว่างการพัฒนา และการอนุรักษ์ อะไรคือ "จุดสมดุล" จนครั้งหนึ่งได้กลายเป็นประเด็นถกเถียงกันมาตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว ก่อนจะเจรจาหาทางออกร่วมกันได้เมื่อไม่นานมานี้

"ที่คุยกันก็จะมี ชุมชน สำนักทรัพย์สินฯ กรมศิลป์ และกรุงเทพมหานคร ซึ่งผมเชื่อว่า ทั้งหมดนี้กำลังทำเพื่อส่งมอบการอนุรักษ์เป็นมรดกให้กับคนรุ่นต่อไป เพียงแต่ลักษณะการพูดอาจจะไม่เหมือนกัน" กรรมการชุมชนคนเดิมยืนยัน เพราะความเปลี่ยนแปลงไม่ได้มีแค่การขึ้นค่าเช่า หรือไล่รื้อชุมชน แต่มิตินั้นหลากหลายกว่า

จนในที่สุด สัญญาระหว่างชุมชน และสำนักงานทรัพย์สินฯ ก็เกิดขึ้น โดยจะมีการอนุรักษ์ส่วนที่เป็นโบราณสถานทั้งหมด บนพื้นที่ 7 ไร่ของชุมชน ก่อนจะเปิดให้ผู้เช่าทั้งรายเดิม และรายใหม่เข้ามาทำประโยชน์ในพื้นที่ และมีพิพิธภัณฑ์ชุมชนเพื่อบอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของเลื่อนฤทธิ์สำหรับผู้มาเยือน

ทั้งหมด คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่เกิน 3 ปีข้างหน้าจากกรอบการทำงานทั้งหมด 4 ปี

อนุรักษ์จับมือพัฒนา

ความเปลี่ยนแปลงทำนองที่ว่า "ชุมชนย้ายออก...การพัฒนาย้ายเข้า" ยังคงเป็นโจทย์ที่ไม่ได้มีคำตอบที่ชัดเจนให้กับรากเหง้าของพื้นที่สักเท่าไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา การขยายเส้นทางรถไฟฟ้า เพื่อพัฒนาระบบคมนาคมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในความหมายนั้นยังมีเรื่องมูลค่าของพื้นที่ และโอกาสทางการค้าเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างเลี่ยงไม่ได้

"รัฐบาลก็ยังไม่มีแผนในการรักษาประวัติศาสตร์ของพื้นที่เท่าไหร่" ยงธนิศร์ พิมลเสถียร จากคณะสถาปัตยกรรมและการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองแบบนั้น เพราะการอนุรักษ์ในมุมนี้มักเน้นไปที่ "วัด" ไม่ก็ "วัง" เสียมากกว่า

"ในผังเมืองรวมก็ให้โอกาส อย่างพื้นที่ในรัศมี 500 เมตรของรถไฟฟ้า ก็จะสามารถสร้างอาคารได้สูงเพิ่มขึ้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์จากที่กำหนดให้ มันก็เลยมีประเด็นขึ้นมา มันยิ่งเพิ่มความน่าลงทุน ทีนี้ ย่านเก่าที่เป็นชุมชนยังไม่มีการอนุรักษ์อย่างเป็นเรื่องเป็นราวจากทางราชการ มันก็เลยเกิดการเปลี่ยนแปลงในกลุ่มนี้ค่อนข้างเยอะเพราะคนมองเห็นเป็นโอกาส"

แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ง่ายๆ เนื่องจาก การฟื้นคืนของชุมชนเก่าขึ้นมา อันนำไปสู่แนวทางในการพัฒนา อย่าง "พื้นที่ต่อเนื่องกรุงรัตนโกสินทร์" ฝั่งตะวันออก ซึ่งอยู่ฝั่งขวาของแม่น้ำเจ้าพระยา คือ ย่านเยาวราช รวมทั้งการรวมแปลงที่ดินขนาดใหญ่ในพื้นที่เอง

ขณะเดียวกัน คนที่อยู่ในพื้นที่กับฝ่ายรัฐ ก็สร้างมาตรการส่วนท้องถิ่นของกรุงเทพฯ ร่วมกันขึ้น จนนำไปสู่การบูรณะอาคาร เหมือนอย่างที่ ชุมชนเลื่อนฤทธิ์ กำลังทำอยู่ขณะนี้ ผู้เช่าเดิมรวมกลุ่มเป็น บริษัท ชุมชนเลื่อนฤทธิ์ จำกัด เพื่อพัฒนาพื้นที่ในเชิงอนุรักษ์ หรือ เวิ้งนครเกษมก็มีการเจรจาระหว่างเจ้าของที่ดินคนใหม่กับชุมชน เป็นต้น

"ประวัติศาสตร์ของชุมชน ไม่ได้หมายความแค่ ตัวอาคาร แต่มันหมายถึงกิจกรรมทางการค้า ลักษณะทางการค้า เรื่องของความเชื่อทางศาสนา ความผูกพันระหว่างชุมชนกับพื้นที่ของตัวเองกับตระกูล พอมีเรื่องเหล่านี้เข้ามาเกี่ยวข้อง การมองเรื่องกายภาพอย่างเดียวอาจจะไม่ได้ แต่การทำความเข้าใจอะไรพวกนี้จะต้องมีการพูดคุย" นักวิชาการผังเมืองคนเดิมอธิบาย

หากไม่มีกระบวนการปรึกษาหารือ หรือประชุม เพื่อให้ได้ข้อยุติระหว่างชุมชนกับเจ้าของที่ดิน รวมถึงรัฐบาล (ในกรณีนี้คือกรุงเทพมหานคร) ที่ออกกฎระเบียบเรื่องการสร้างอาคาร "ความเสี่ยง" ในการทำลายพื้นที่ก็พร้อมจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พื้นที่ชุมชนทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ ช่วงคลองบางกอกน้อย ถึง คลองบางกอกใหญ่ ซึ่งรถไฟฟ้าไปถึง ชุมชนค่อนข้างหนาแน่น การซื้อขายที่ดินยังมีอยู่เยอะ อีกทั้งเป็นพื้นที่ๆ เหมาะสำหรับย่านอยู่อาศัย หรืออสังหาริมทรัพย์

"ถ้าดูเรื่องมาตรฐานการอยู่อาศัยทางฝั่งนี้จะถือว่าอยู่ค่อนข้างต่ำกว่ามาตรฐาน เช่น ถนนในซอยแคบมาก การเข้าไปดับเพลิงจะไม่ค่อยไว ดังนั้นเขาก็ต้องหาวิธีการในการดูแลชุมชนของเขามากกว่าพื้นที่อื่นๆ พอมาตรฐานต่ำ นักพัฒนาก็จะสามารถใช้ตรงนี้เป็นข้ออ้างได้ว่ามันต้องมีการพัฒนาใหม่ๆ ต้องมีการทุบรื้อทำลายชุมชน อาทิ ชุมชนกุฎีจีน ตลาดพลู หรือคลองสาน ก็ค่อยๆ คืบคลานกันไป เพราะอยู่ใกล้ย่านสีลม และสุขุมวิท" ยงธนิศร์ยกตัวอย่าง

ทางออกเรื่องนี้ ที่ดีที่สุดเขาคิดว่าอยู่ที่การเจรจา

"เริ่มจากการตั้งคณะกรรมการประวัติศาสตร์ในท้องถิ่นก่อน คณะนี้อาจจะไม่จำเป็นต้องขัดขวางการพัฒนาไปเสียทุกอย่าง แต่อาจจะมองความร่วมมือ หรือเกิดการพัฒนาโดยไม่ทำลาย บางแห่งอาจจะเป็นตึกสูงก็ได้ บางแห่งอาจจะเก็บไว้ทั้งชุมชนก็ได้"

อย่างน้อยที่สุด ก็ยังพอให้คนรุ่นหลังสามารถมองเห็น "เมื่อวาน" ของย่านเหล่านั้นได้ว่ามีหน้าตาเป็นอย่างไร แม้ผู้คนในชุมชนที่อยู่อาศัยมาตั้งแต่แรกต่างต้องแยกย้ายกันไปคนละทิศทางแล้วก็ตาม

ภาพ : ฐานิส สุดโต