โลกใต้เข่า...ที่เขานมนาง

ผมมองจุดหมายปลายทางเบื้องหน้าหลังจากที่ยกเป้บรรจุสัมภาระในการพักแรมในป่าขึ้นบ่าได้
ภาพภูเขาที่ดูโล่งเลี่ยน แทบจะไม่มีต้นไม้เบื้องบน โค้งมนเรียงติดกัน 3 ลูก เขาตั้งชันตระหง่านหันด้านที่เป็นหน้าผามาทางบ้านซับใต้ ฝั่งสระบุรี จุดเริ่มต้นเส้นทางเดินป่าเขาใหญ่ทางด้านสระบุรีมักต้องมาเริ่มต้นที่นี่ แนวป่าที่ค่อยๆ ลาดชันเลาะขึ้นไปตามร่องเขา นั่นคือแนวที่เราจะต้องเดินไปให้ถึงบนยอดให้ได้
สำหรับผมกับ 'เขานมนาง' ไม่ใช่ของที่แปลกใหม่ เพราะผมเคยเดินขึ้นเขาลูกนี้มาหลายครั้งแล้ว เปลี่ยนเส้นทางเดินขึ้น ทางนั้นบ้างทางนี้บ้าง แล้วอะไรคือสิ่งที่ทำให้ผมชอบเดินป่ามาขึ้นเขาลูกนี้...
แท้จริงเขานมนางไม่ได้สูงอะไรมากมายผมว่าน่าจะอยู่ราวๆ ไม่เกิน 700 เมตรจากระดับน้ำทะเล ซึ่งถ้าเราดูรูปพรรณสันฐานของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ อุทยานแห่งนี้จะมีภูเขาสูงชันแทบจะรายรอบเป็นปราการด่านกั้นทางธรรมชาติ ชายภูด้านนอกคือพื้นที่ราบเชิงเขาที่เป็นป่ากันชน มีเพียงด้านเดียวที่พื้นที่ค่อยๆ ลาดขึ้น มีภูเขาสูงกั้นไม่เด่นชัดนักคือด้าน อ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี รอบเขาใหญ่จึงมีภูเขาสูงอยู่โดยรอบ ภูเขาที่เป็นปราการจะสูงหรือต่ำมากน้อยแตกต่างกันไป แม้เขานมนางสูงไม่มาก แต่มันก็คือการเดินป่าปีนเขาทั่วๆ ไปนี่เอง
ในต้นฤดูฝนป่าที่เคยแล้งมานาน ดูชุมฉ่ำ พื้นดินชุ่มดำ ต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจี ธารน้ำเล็กๆ ระหว่างทาง เริ่มได้ยินเสียงน้ำไหล แต่การเดินขึ้นเขา จะยังไงมันก็เหนื่อยอยู่ดี ไหนจะสัมภาระพักแรมบนเป้หลัง ไหนจะอุปกรณ์ถ่ายรูปที่ห้อยไว้ข้างหน้า แล้วการเดินขึ้นทางชันตลอดเส้นทาง เป็นอะไรที่ทรมานมาก โชคดีที่ร่มไม้ใบหญ้าระหว่างทางบดบังแสงแดด มะไฟป่าสุกเหลือง บ้างก็ร่วงหล่นลงพื้นอันเป็นผลมาจากสัตว์ป่าที่มากินและทำร่วงไว้ พืชพรรณระหว่างทางที่แปลกตา เหล่านี้แหละคือเสน่ห์ของการเดินป่า มีแต่ทากตัวเล็กๆ ที่รบกวนการเดินทางอยู่บ้าง เดินๆ พักๆ เดี๋ยวก็ถึงจนได้
ขึ้นไปจนจะถึงยอดนั่นแหละเราถึงไปเจอร่องเขาเล็กๆ ที่มีธารน้ำไหลอยู่ ที่นี่เราต้องหุงข้าวเติมน้ำให้เต็มที่ เพราะบนยอดเขานมนางจริงๆ ไม่มีน้ำ หรือใครจะล้างเนื้อล้างตัวก่อนก็ได้ หลังจากนั้นจึงหิ้วข้าวหม้อสนามเดินขึ้นเขาชันไปอีก ซึ่งช่วงนี้จะชันมาก เป็นทางด่านสัตว์ รอยกระทิง เก้ง กวาง ปรากฏให้เห็นตลอดทาง ทางด้านนี้จะเป็นด้านหลังของเขานมนาง พอขึ้นไปพ้นยอดเนินนั้น ก็คือเราถึงยอดเขาแล้ว แต่จุดตั้งแคมป์เราต้องเดินไปอีกให้ถึงหน้าผาที่มองเห็นมาจากข้างล่างก่อนเดินเท้านั่นเอง
บนยอดเขานมนางนั้น โล่ง เตียน ไม่มีต้นไม้ใหญ่ มีเพียงไผ่ก๋ง ที่เป็นไผ่เตี้ยๆ ใบใหญ่ ต้นไม่สูง ขึ้นเต็มทั้งยอดเขา ซึ่งเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ผมจับสังเกตได้ก็คือครั้งแรกที่ขึ้นมาบนนี้เมื่อนับสิบปีก่อน ไผ่พวกนี้ยังมีไม่มาก มีต้นหญ้าขึ้นเป็นส่วนใหญ่ รอยกระทิง สัตว์ป่าอื่นมากินหญ้ามากมายบนยอด แต่มาคราวนี้ หญ้าก๋ง ขึ้นเกือบเต็มพื้นที่และดูเหมือนจะลามออกไปเรื่อย ป่ากำลังรุกคืบ แม้จะเป็นพืชแบบหญ้าก๋งก็ตามที
บนยอดเขานมนางนั้นส่วนใหญ่เราก็ขึ้นมาพักแรมกันธรรมดา ส่วนทิวทัศน์ที่มองเห็นหมู่บ้านซับใต้ในหุบเขาเบื้องล่าง ถนนมิตรภาพที่ติดไฟตามแนวถนนสวยงาม ส่วนทางด้านหลังคือป่าที่สมบูรณ์ของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เสาไฟบนยอดเขาเขียวส่งแสงกระพริบตลอดเวลาเห็นได้ชัดเจนในตอนกลางคืน
สิ่งที่เป็นปัญหาคือลมบนนี้แรงมาก การกางเต็นท์พักแรมจึงเป็นเรื่องที่ต้องพิถีพิถัน เต็นท์ต้องกางโดยมีดงไผ่ก๋งคอยบังลมไว้ ส่วนที่นอนของผมทุกครั้งสำหรับเขานมนางคือ เลือกที่ราบที่พอนอนได้ เอาผ้าใบปูแล้วเอาผ้าหลังคาคลุมต้นก๋งทับตรงที่นอน ตรึงมุมผ้าใบให้สู้ลมให้ได้ เวลาจะนอนก็มุดเข้าไป พูดง่ายๆ ว่าทำตัวให้แนบพื้นให้มากที่สุด อาศัยต้นไม้บังลมไว้ แต่ถ้าวันไหนฝนตกด้วยละก็ยุ่งหน่อย ต้องเอาขาตั้งกล้องมาค้ำตรงกลางให้น้ำมันไหลออกด้านข้าง สิ่งที่เป็นคุณูปการของการที่ต้นก๋งขึ้นมากก็คือ แต่ก่อนที่มีแต่ต้นหญ้า ดินบนนี้จะเป็นดาน คือเป็นดินแข็งๆ ฝนตกมาก็หลากไหล แต่พอมีต้นก๋งขึ้น มันมีเศษใบไม้ เศษหญ้า ดินก็ดูนุ่มขึ้น ฝนตกไม่มากก็จะซึมลงดินหมดเลย
นี่คือคุณูปการของการเที่ยวป่า ทำให้เราเข้าใจธรรมชาติ ทำให้เราปรับตัวเข้าหาธรรมชาติ ทำให้เรารู้เหตุรู้ผลของธรรมชาติว่าที่แท้ธรรมชาติต่างหากที่เกื้อกูลเรา ธรรมชาติอยู่ได้โดยมีมนุษย์ แต่มนุษย์ล่ะอยู่ได้ไหมถ้าไม่มีธรรมชาติ
สิ่งที่น่ากลัวบนเขานมนางอีกหนึ่งอย่างก็คือถ้าฝนฟ้าคะนอง ต้องระวังฟ้าผ่า งดใช้โทรศัพท์ เพราะดูทำเลแล้ว มันยั่วยวนสายฟ้าเหลือเกิน
บางเช้าถ้าฝนตก อาจจะเห็นทะเลหมอกไม่ทางฝั่งซับใต้ก็ทางฝั่งเขาใหญ่ แต่ถ้าฝนไม่ตก ทิวทัศน์ที่นี่ก็สวยไม่น้อยหน้าใคร คุมค่ากับความเหนื่อยยากที่ดั้นด้นขึ้นมา
ถ้าขึ้นอีกด้าน เรามักจะลงจากเขาอีกด้าน ครั้งนี้ก็เช่นกันเราเลือกเดินลงทางด้านน้ำตกช้างหมอบ ซึ่งจะต้องเดินลงเขานมนางแล้วขึ้นเขาอีกลูกแล้วถึงจะเดินยาวๆ เข้าป่ามาลงร่องห้วย แล้วที่นี่ผมก็เจอดีจนได้ ระหว่างที่เดินลงเขามาตามร่องทางด่านสัตว์ ก็เจอขนเม่นเส้นเล็กๆ ราวนิ้วเศษๆ ที่ร่วงลนพื้น แทงทะลุรองเท้าเดินป่า จนเลือดไหลโจ๊กเต็มรองเท้า เรียกว่าเดินไปแฉะเลือดไป นี่ก็เป็นประสบการณ์เดินป่าหนึ่งที่คนเดินป่าต้องพร้อมเจอ
น้ำตกช้างหมอบ เป็นน้ำตกเล็กๆ สูงราวๆ 30 เมตร ในร่องหุบเขา มีน้ำไหลตลอดปี แต่ในหน้าฝนน้ำจะมาก เราลงจากเขานมนางก็ได้อาศัยที่นี่อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน น้ำสะอาดมาก ไหลรินตลอดทั้งปี ร่มไม้สองฝั่งห้วยนำความสงบร่มเย็น มีแต่เสียงธรรมชาติ เห็นแล้วน่านอนค้างคืนในป่าในบรรยากาศแบบนี้มาก เฟิร์นต้นหรือมหาสะดำทางด้านนี้ของป่าเขาใหญ่จะมีมาก มากจนชินตา นี่คือป่าที่อุดมสมบูรณ์ ให้ร่มเงา ให้ความร่มเย็น ให้ความสงบ ให้น้ำ และให้ชีวิต
ผมเห็นผู้หลักผู้ใหญ่ในฝ่ายบริหารของบ้านเมืองมองป่าเป็นสินค้าจะเอามาทำเงินได้ ก็อดสะท้อนใจว่า ที่แท้คนเราจะต้องการอากาศบริสุทธิ์ น้ำที่สะอาด ความร่มเย็นสดชื่น หรือต้องการเงินกันแน่
การเดินป่าเขานมนาง แม้ใช้เวลาสั้นๆ แต่ทว่าให้บทเรียนมากมาย เมื่อยืนบนยอดเขานมนาง แผ่นดินอยู่ใต้หัวเข่าเราแต่เราก็ยังตัวเล็ก เมื่อเทียบกับธรรมชาติ เมื่อมาอยู่ในป่าริมลำธาร เรากลับถูกป่ากลบกลืน ที่แท้...เราเล็กน้อยกว่าธรรมชาติมาก แม้เพียงเศษเสี้ยวเราอาจจะนึกว่าเราใหญ่เหนือธรรมชาติ แต่สุดท้ายเราก็ต้องยอมรับความจริง
ธรรมชาติยิ่งใหญ่เสมอ...







