(เหมือน) ฝันไปว่า "แพนดอร่า" มีจริง

(เหมือน) ฝันไปว่า "แพนดอร่า" มีจริง

ถ้ามีเพียงสิ่งเดียวที่จะทำให้คุณตัดสินใจเดินทางไปเที่ยวเมืองจีนได้ คุณคิดว่าสิ่งนั้นคืออะไร

สำหรับฉันมันคือ "ธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่" และไม่เหมือนที่ใดในโลก

..................

มองทะลุผ่านไอหมอกที่ปกคลุมเคเบิลคาร์ออกไป ยอดเขารูปทรงแปลกตาเบื้องล่าง ทำให้ภาพ "แพนดอร่า" (Pandora) ในภาพยนตร์ AVATAR ปรากฏ

ฉันไม่ใช่แฟนหนังของเจมส์ คาเมรอน และรับสารที่เขาพยายามสื่อออกมาได้อย่างไม่ค่อยดีนัก แต่ที่อาจจะชัดเจนหน่อยคงเป็นเรื่อง "ความโลภ" ของมนุษย์โลกที่ไม่มีอะไรหยุดยั้งได้ แน่นอน มันคือความจริงตลอดกาล

เพราะมนุษย์ไม่เคยพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ มนุษย์จึงมักจินตนาการถึงความสวยงามและขุมทรัพย์ที่ซุกซ่อนอยู่ในดินแดนที่ไม่มีใครเคยก้าวล้ำ หนัง AVATAR สะท้อนภาพนั้นออกมาได้ดี ซึ่งดาวแพนดอร่าที่อยู่ในหนังคล้ายเป็นดวงดาวในจินตนาการที่ไม่มีอยู่จริง แต่ความจริงแล้ว มันมีอยู่จริง บนโลกสีน้ำเงินใบนี้นี่แหละ

ทุกคนรู้ว่าเจมส์ไม่เคยมาเห็นแพนดอร่าบนโลกมนุษย์ด้วยสองตาของเขาเอง ภาพทั้งหมดในหนังถูก "สร้าง" ขึ้นจากการใช้เทคโนโลยีที่ล้ำยุคเท่านั้น หนังทำได้ดีจนสามารถคว้ารางวัลระดับโลกมาได้มากมาย แต่น่าเสียดายที่เขา-ผู้สร้าง ไม่เคยมาเห็นหรือสัมผัส จางเจียเจี้ย ที่เป็นเมืองต้นแบบของดวงดาวในหนังของเขาเลย สักครั้ง

สิ้นสุดสายสลิงเส้นเท่าแขน ฉันก็ได้มายืนอยู่บนดาวแพนดอร่าจริงๆ ที่นี่ไม่มีชาวนาวีรูปร่างประหลาด ไม่มีสัตว์มหัศจรรย์แบบในหนัง ไม่มีแร่อันออปเทเนียม(Unobtainium) ให้ติดตาม แต่ที่นี่มี "ความงดงาม" ให้ชื่นชม

.....................

จางเจียเจี้ย (Zhangjiajie) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของมณฑลหูหนาน (Hunan) บริเวณตอนกลางค่อนมาทางใต้ของจีน อันที่จริงเขตนี้เรียกว่า เขตท่องเที่ยวอู่หลิงหยวน (Wulingyuan) ตั้งอยู่บนภูเขาที่มีชื่อเดียวกันว่า ภูเขาอู่หลิง (Wuling Shan) บนชายแดนตะวันตกของมณฑลหูหนาน และตะวันออกมณฑลกุ้ยโจว (Guizhou)

การเดินทางมาเที่ยวจางเจียเจี้ยแบบง่ายที่สุดคือบินตรงมาลงที่เมืองฉางซา เมืองเอกของมณฑลหูหนาน ซึ่งถือเป็นประตูสู่หุบเขาอวตาร-จางเจียเจี้ย แต่ทว่า...ไม่ใช่เจ้าผู้ครองท้องฟ้านามว่า Toruk หรอกที่พาฉันบินมาจนถึงที่นี่ สายการบินโลว์คอสสีแดงลำนั้นต่างหากที่สยายปีกแล้วออกแรงบินทะลุฟ้าเพียงวาบเดียวก็มาถึง

จากเมืองฉางซา เรานั่งรถมินิบัสต่อมาอีกราว 4-5 ชั่วโมงก็ถึงจางเจียเจี้ย หลายคนอาจรู้สึกว่านานไป แต่ถ้าเทียบกับการเดินทางสมัยก่อนที่ต้องใช้เวลามากกว่า 8 ชั่วโมงแล้ว "ทางด่วน" ของจีนที่เชื่อมทุกเมืองเข้าด้วยกันนั้นทำให้ความสะดวกสบายเกิดขึ้นจริง

เมืองที่มีสภาพภูมิประเทศเป็นป่าเขาลำเนาไพรเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์อย่างจางเจียเจี้ย มี "การท่องเที่ยว" เป็นรายได้หลัก ทั้งการท่องเที่ยวเชิงวิถีวัฒนธรรม เพราะเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านที่มีชนเผ่ามากถึง 33 เผ่า เช่น ชนเผ่าถู่เจีย ชนเผ่าไป๋ ชนเผ่าเหมียว ฯลฯ และการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ โดยมี "อุทยานจางเจียเจี้ย" เป็นแม่เหล็กที่สำคัญ ส่วน "อุทยานแห่งชาติเทียนเหมินซาน" ถือเป็น "ประตูสวรรค์" ที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องไป

เอ่ยถึง เทียนเหมินซาน ภูเขาแห่งนี้ตั้งตระหง่านอยู่ติดกับพื้นที่เขตเมือง และเป็นไฮไลต์หนึ่งของการท่องเที่ยวจางเจียเจี้ย ความสูงกว่า 1,500 เมตรจากระดับน้ำทะเลจะไม่น่าสนใจเลยถ้าไม่มี ถ้ำประตูสวรรค์ (Heaven's Gate) ซึ่งเป็นช่องเขาขนาดกว้าง 57 เมตร สูง 131.5 เมตร และลึก 60 เมตร พอที่เครื่องบินเล็กแบบผาดโผนบินผ่านได้

ภูผามหัศจรรย์ที่เป็นหัวใจของการท่องเที่ยวแห่งนี้สามารถเดินทางไปถึงได้โดยอาศัยกระเช้าลอยฟ้า หรือเคเบิลคาร์ ที่มีความยาวที่สุดในโลก คือราว 7.5 กิโลเมตร ที่จะค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นไปจนถึงขอบเขาที่ความสูง 1,279 เมตร แต่...เท่านั้นยังไม่พอ การจะเดินทางขึ้นไปสัมผัสกับความรู้สึกของการยืนอยู่บน "สวรรค์" ได้ นักท่องเที่ยวทุกคนต้องนั่งรถของอุทยานฯ ผ่านเส้นทาง "นรก" ที่คดเคี้ยวเลี้ยวลดถึง 99 โค้ง(เป็นสัญลักษณ์ที่หมายถึงสวรรค์ 9 ชั้น) ต่อด้วยการให้ "กำลัง" ในการเดินขึ้นบันไดไปอีก 999 ขั้นไปก่อน

บอกเลยว่างานนี้เหนื่อยเอาการ แต่เมื่อได้ขึ้นไปยืนอยู่ ณ จุดนั้น เราต้องยอมคารวะให้กับความมหัศจรรย์ของธรรมชาติจริงๆ ภาพทิวทัศน์ที่สวยงามสุดสายตาสามารถสัมผัสได้จากตรงนี้

ข้อดีอีกอย่างของชาวจีนก็คือเป็นชนชาติที่ชอบบันทึก(มาก) แน่นอนว่าเรื่องราวการเกิดถ้ำประตูสวรรค์นี้ก็มีรายละเอียดชี้แจงไว้เหมือนกัน โดยข้อมูลว่า เทียนเหมินซาน เดิมเรียกกันว่า "ซงเหลียวซาน" ที่มีความสูงเสียดฟ้า ต่อมาราวปี ค.ศ. 263 หน้าผาของซงเหลียวซานเกิดถล่มลงมาจนเกิดเป็นโพรงถ้ำขนาดใหญ่คล้ายช่องประตูที่อยู่สูง ผู้คนจึงพากันเรียกว่า ประตูสวรรค์ และเชื่อว่าเป็นประตูของเหล่าทวยเทพบนสวรรค์ด้วย

แต่ที่ทำให้ประตูธรรมชาติที่สวยงามที่สุดในโลกแห่งนี้เป็นที่รู้จักในหมู่มวลมนุษยชาติ คงเป็นการพยายามทำลายสถิติโลกในการบินลอดถ้ำครั้งแรกของกลุ่มนักบินผาดโผนจากรัสเซีย ที่ใช้เครื่องบินเล็กบินลอดถ้ำไป เป็นการทำลายสถิติของ Guiness Book World of Records เมื่อปี ค.ศ. 1999

.........................

ฝนที่กระหน่ำเทลงมาเมื่อคืนทำให้เช้าวันนี้สดชื่นขึ้นเยอะ นึกถึงช่วงเวลาที่ "เนย์ทีรี" นางเอกชาวนาวีในหนัง AVATAR กำลังจะสอน "เจค" พระเอกอวตารขี่ Ikran พาหนะของนักล่า แม้ความสดใสของท้องฟ้าจะต่างจากหนังลิบลับ แต่บรรยากาศแห่งความตื่นเต้นท้าทายแทบไม่ต่าง นั่นเพราะว่าฉันกำลังเดินทางไปเยือนดาวแพนดอร่าที่ตั้งอยู่ ณ เมืองมนุษย์ นั่นเอง

จะเหมือนในหนังมั้ยนะ ฉันพยายามนึก แต่เพียงชั่วโมงเดียวเท่านั้นภาพ "เขาลอยฟ้า" ในหนังก็สูญสลาย ไม่ใช่เพราะมันไม่มีอยู่จริง แต่มันไม่เหมือนกันจริงๆ แบบ 100 เปอร์เซ็นต์เลยต่างหาก

แท่งเขารูปทรงแปลกตานับร้อยนับพันตั้งกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในเขต อุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ย ซึ่งมีพื้นที่ราว 9,500 ตารางกิโลเมตร ที่เป็นแบบนี้ นักธรณีวิทยาเชื่อว่า เป็นเพราะทิวเขาอู่หลิงหยวนนั้นเกิดขึ้นในช่วงยุคดีโวเนียน (Devonian) ตอนกลางและตอนปลาย (ประมาณ 350-400 ล้านปีมาแล้ว ) ลักษณะพื้นที่ส่วนใหญ่ประกอบขึ้นด้วยหินควอร์ตและหินทราย ซึ่งอู่หลิงหยวนเป็นจุดเชื่อมต่อของทะเลและแผ่นดิน เมื่อหลายล้านปีก่อนเปลือกโลกเกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดแรงบีบอัดให้เป็นภูเขารูปโต๊ะ หรือภูเขาตัด หรือเรียกว่า "ภูเขาเมซ่า" จนเกิดการกัดเซาะจากแรงลม ร่วมกับกระแสน้ำที่กัดกร่อนทำให้เกิดเป็นภูเขาหินและโตรกผาลึก ซึ่งมีโครงสร้างแปลกตาเป็นแท่งหินขนาดมหึมาเรียงกัน

ความงดงามและเข้าถึงยากนี้ทำให้ทางการจีนประกาศให้ อุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ย เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อปี ค.ศ. 1982 และองค์การยูเนสโกก็ประกาศให้เป็นมรดกโลกธรรมชาติในปี ค.ศ. 1992

แน่นอนว่า "จุดหมาย" ของทุกคนที่เดินทางมาเยือนอุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ยย่อมอยู่ที่ "หุบเขาอวตาร" หรือ ภูเขาเทียนจื่อซาน ซึ่งเป็นภาพต้นร่างของดินแดนสวรรค์แพนดอร่าในหนังอวตาร แต่ก่อนที่เราจะได้ขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดนั้น เราควรค่อยๆ ไต่ระดับ "ความชัน" ของเทือกเขาอู่หลิงซานขึ้นไปก่อน และ "เป้าหมาย" ระหว่างทางก็น่าสนใจไม่แพ้กัน

รถบัสของอุทยานฯ พาเราไปหยุดอยู่ ณ ธารน้ำแส้ทอง หรือ จินเปียน ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งในอุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ย โดยมีความยาวทั้งหมด 8 กิโลเมตร และมีขุนเขาตระการตากว่า 400 ลูกให้ชม ส่วนที่มาของชื่อธารน้ำแส้ทองนั้นก็มาจากหินผาที่สูงจากพื้นกว่า 350 เมตร รูปลักษณ์คล้ายแส้ ซึ่งเป็นอาวุธโบราณชนิดหนึ่ง จึงเป็นที่มาของ หินผาแส้ทอง และในก้อนหินเหล่านั้นก็มีซิลิกอนไดออกไซด์ผสมอยู่ ยามเมื่อแสงแดดสาดส่องลงมาจะมีแสงสะท้อนเป็นสีทอง โชคร้ายที่วันนี้ฟ้าดูอึมครึม แส้ทองก็เลยดูคล้ายแส้เทาไปโดยปริยาย

วันเดียวคงเที่ยวอุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ยได้ไม่ครบ ที่ดีคือเราต้อง "เลือก" เฉพาะไฮไลต์สำคัญๆ ซึ่ง ภาพเขียนสิบลี้ (Shili Gallery) ที่อยู่บริเวณเชิงเขา Tianzi ก็อยู่ในรายการนี้ด้วย

จริงๆ ภาพเขียนสิบลี้ไม่ใช่ภาพที่เขียนขึ้นโดยฝีมือมนุษย์ เป็นแต่เพียงคำเปรียบเปรยถึงภูมิประเทศขนาดใหญ่ที่ทอดยาวคล้ายแกลเลอรี่ธรรมชาติต่อเนื่องกันกว่าสิบลี้ (ประมาณ 3 กิโลเมตร) โดยมีประติมากรรมแท่งหินธรรมชาติรูปทรงต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่สูงเสียดฟ้าให้ชมกว่า 200 แท่ง ซึ่งการชมภาพเขียนสิบลี้ทำได้ 2 วิธี คือ นั่งรถไฟเล็กหรือเดินไปตามทางเท้าที่สร้างขนานไปกับทางรถไฟ เวลานั่งรถไฟหรือเดินผ่านแต่ละหุบเขาต้องอาศัยจินตนาการ เพราะมีรูปร่างคล้ายคนและสัตว์ เช่น ภูเขารูปคนกำลังอ่านหนังสือ ภูเขาสามดรุณี หรือภูเขารูปผู้เฒ่ากำลังสะพายตะกร้าเก็บสมุนไพร จึงเปรียบเสมือนกับการชมภาพวาดประกอบบทกวีจีนที่น่าประทับใจ

มาถึงไฮไลต์ของการเดินทางมาเยือนจางเจียเจี้ยกันดีกว่า ที่ฉันมาก็เพราะ "แพนดอร่า" ในหนังนั้นยั่วยุ โลกในจินตนาการที่สวยงามย่อมไปถึงยากลำบาก ข้อนั้นฉันเข้าใจ แต่ก็ไม่คิดว่าจะต้องมาฟันฝ่ากับ "คลื่นมนุษย์" ที่พากันหลั่งไหลมาชมแท่งหินพิสดารมากมายนับหมื่นคนขนาดนี้ จะต่อแถวขึ้นรถหรือกระเช้าแต่ละทีต้องยืนรอนานมากกว่าชั่วโมง นี่คงเป็น "โลกแห่งความจริง" สินะ

สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะขึ้นไปชมภูเขาเทียนจื่อซานสามารถเลือกรูปแบบการไปถึงได้ 2 อย่าง คือ นั่งเคเบิลคาร์ขึ้นไป แล้วต่อด้วยรถอุทยานฯ ไปถึงลิฟท์แก้วไป่หลงที่สูงถึง 326 เมตร ถือเป็นลิฟต์แก้วแห่งแรกของเอเชีย ก็จะถึงที่หมายภูเขาเทียนจื่อซาน ซึ่งมีทางเดินรอบภูเขายาวประมาณ 2.9 กิโลเมตร แล้วค่อยลงมาอีกทางโดยกระเช้าลอยฟ้า ส่วนอีกรูปแบบก็เพียงแค่สลับเส้นทางกัน คือเริ่มจากนั่งกระเช้าขึ้นไป ต่อด้วยรถอุทยานฯ อีกนิดก็ถึงภูเขาเทียนจื่อซาน จากนั้นก็นั่งลิฟต์แก้วแล้วต่อรถอุทยานฯ ลงมา เรียกว่าสะดวกเส้นไหนก็ใช้เส้นนั้นจะดีกว่า

หลายคนมาเยือนเทียนจื่อซานเพราะอยากเห็นแท่งหินเดี่ยวๆ ที่ตั้งเป็นฉากหลักในหนังอวตาร แต่จุดเด่นที่ไม่อยากให้ทุกคนพลาดก็คือ เทียนเสี้ยตี้อี้เฉียว หรือสะพานใต้ฟ้าอันดับ 1 ซึ่งมีทิวทัศน์ที่สวยงาม และเคยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนต์ชื่อดังหลายเรื่อง

ยอมรับว่าภูเขาที่นี่แปลกตากว่าที่ไหนๆ ในโลก แต่ครั้นจะเดินชมโดยใช้คำว่า "ละเลียด" เห็นทีจะยาก เพราะอย่างที่บอก "คลื่นมนุษย์" นั้นมากมายจนแทบจะไหลตามกันไปเลยทีเดียว สิ่งที่นักท่องเที่ยวควรทำก็คือ รีบชม รีบไป เดี๋ยวจะโดนกระแทกจนตกภูเขาตายไปเท่านั้น

ฉันเดินรอบเขาโดยใช้จังหวะการก้าวกึ่งๆ วิ่ง สังเกตว่าบนราวสะพานเหล็กที่เชื่อมภูเขาสองลูกเข้าหากัน มีแม่กุญแจแบบในหนังโรแมนติกของเกาหลีคล้องอยู่เต็มไปหมด ซึ่งจริงๆ บนถ้ำประตูสวรรค์ก็มี และนี่คงเป็นความเชื่อที่ไม่อาจมีใครพรากจากของคู่รักทั่วโลกไปแล้ว ไม่แน่ว่าเบื้องหลัง AVATAR อาจมีภาพ "เจค" กับ "เนย์ทีรี" กำลังคล้องกุญแจแห่งรักแบบนี้อยู่ก็ได้ (นี่เล่าเอาฮาก่อนจบ)

อย่างไรก็ตาม ถือว่าการเดินทางมาเยือนจางเจียเจี้ยของฉันสำเร็จสมความตั้งใจทุกประการ เพราะภาพทุ่งเสาหินทรายสูงๆ ต่ำๆ กว่า 3,000 ยอด ถือเป็นทัศนียภาพที่งดงาม แปลกตา บางแท่งมีชะง่อนผาหลบภัย บางแท่งก็มีสายน้ำตกไหลลงมาราวกับน้ำตาของเทพบนสรวงสวรรค์

นี่เป็นธรรมชาติสุดอัศจรรย์ที่ฉันพบว่ามันมีอยู่บนโลกใบนี้จริงๆ

.............................

การเดินทาง

สายการบินแอร์เอเชียมีเที่ยวบินบินตรงจากไทยสู่จีน 13 เส้นทาง ใน 9 ปลายทาง ได้แก่ เส้นทางจากกรุงเทพฯ (ดอนเมือง) สู่มาเก๊า 4 เที่ยวบินต่อวัน ฮ่องกง 3 เที่ยวบินต่อวัน ฉงชิ่งและอู่ฮั่น 2 เที่ยวบินต่อวัน กวางโจว เซินเจิน ซีอาน คุนหมิง 1 เที่ยวบินต่อวัน และเส้นทางใหม่ กรุงเทพฯ-ฉางชา 1 เที่ยวบินต่อวัน เส้นทางบินตรงจากเชียงใหม่สู่มาเก๊า 1 เที่ยวบินต่อวัน สู่ฮ่องกง 1 เที่ยวบินต่อวัน สู่หางโจว 1 เที่ยวบินต่อวัน และ จากภูเก็ตสู่ฮ่องกง 1 เที่ยวบินต่อวัน

สำหรับ “ฉางซา” เป็นอีกหนึ่งปลายทางที่นักท่องเที่ยวประทับใจ โดยสายการบินแอร์เอเชียมีเที่ยวบิน FD 540 ดอนเมือง (DMK) - ฉางซา (CSX) เวลา 07.30 - 12.10 น. และ FD 541 ฉางซา (CSX) - ดอนเมือง (DMK) เวลา 12.55 - 15.35 น. ตรวจสอบราคาและสำรองที่นั่งได้ที่ www.airasia.com และติดตามข้อมูลโปรโมชั่นและกิจกรรมดีๆ จากแอร์เอเชียได้ทาง www.facebook.com/AirAsiaThailand และ twitter.com/AirAsiaThailand

ส่วนการเดินทางในเมืองจีนสามารถดูรายละเอียดได้ที่ www.zhangjiajietourism.us