เดินตลาดน้ำคลองแห...แลวัดคูเต่า

ผมว่าบรรดาตลาดน้ำที่ฮิตทำเป็นที่เที่ยวทั้งหลายในทุกวันนี้ เหลือไม่กี่แห่งที่เป็นตลาดน้ำดั้งเดิมที่ยังคงสืบทอดมาจากในอดีต
ครั้งที่ยังใช้แม่น้ำลำคลองเป็นเส้นทางคมนาคมหลักๆ การแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าจึงต้องใช้เรือแล้วมีที่พบปะกัน นั่นแหละจึงเป็นที่มาของตลาดน้ำ ใครไปริมคลองมหาสวัสดิ์ หรือคลองบางหลวง ออกไปทางหัวเมืองก็อย่างบางคล้า ฉะเชิงเทรา หรือปากท่อ ราชบุรี จะเห็นว่ายังเหลือเค้าโครงอาคารโรงเรือนเก่าๆ ที่เคยเป็นร้านค้าทางเรืออยู่ ทางบางนกแขวกมีชานหน้าบ้านที่เคยเป็นร้านค้าเลียบไปกับลำคลอง หรือบางกอกน้อยที่ยังคงเหลือตลาดเก่าทรงโปร่งหลังคาสูง ที่ยังคงมีร้านค้าริมน้ำจริงๆ เหลืออยู่บ้างก็ทางบางพลี วัดหลวงพ่อโตโน่น
เหล่านี้คืออดีตที่เคยรุ่งเรืองและเป็นที่มาของตลาดน้ำ แล้วความเจริญก็ย้ายจากริมคลองมาสู่ริมถนน การค้าขายทางเรือจึงลดความสำคัญลง คงเหลือแต่เพียงการเป็นจุดขายของการท่องเที่ยวเท่านั้น ที่ยังคงดูเค้าเดิมมากสุดคงเป็นที่ตลาดน้ำดำเนินสะดวกที่ผมเคยเอ่ยถึงว่าระบบจัดการทางน้ำแย่มาก ตลาดน้ำอัมพวาที่ดังๆ ก็เป็นแค่ตลาดริมคลอง นอกนั้นเป็นตลาดน้ำที่สร้างขึ้นมาทั้งนั้น ตลาดน้ำในร่องสวนอย่างตลาดน้ำบางน้ำผิ้งเอย แต่พวกนี้ก็ยังพอรับได้ ที่ผมตลกสุดๆ คือตลาดน้ำหัวหิน....ผมก็คนย่านนั้น ทำไมไม่เคยรู้มาก่อยเลยว่าชุมชนริมทะเลก็มีตลาดน้ำแบบทางอัมพวาไปได้ สรุปว่า เฟคสุดๆ เห็นว่ามีตลาดน้ำพัทยาด้วย อะไรมันจะมั่วขนาดนี้ นี่กลายเป็นว่า เราจะค้าขายกับการท่องเที่ยวอย่างเดียว จนไม่สนใจรากเหง้ากันเลยหรืออย่างไร ต่อไปบ้านเราจะมีแต่ของปลอมขายนักท่องเที่ยวหรืออย่างไร
ผมไปหาดใหญ่ได้ยินชื่อตลาดน้ำคลองแห ก็เลยไปดูซะหน่อยซิว่าเป็นยังไง ใจหนึ่งก็คิดไว้แล้วละว่าคงเป็นตลาดที่สร้างขึ้นมาเพื่อการท่องเที่ยวแน่ๆ เพราะภาคใต้ไม่เคยได้ยินการเป็นชุมชนริมน้ำแบบทางที่ลุ่มภาคกลาง แต่การขนส่งผลผลิตทางการเกษตรจากเรือสวน ไร่นา มาสู่เมืองก็คงใช้คลองเช่นกัน แต่ก็นั่นแหละ ไม่เคยได้ยินก็ใช่ว่าจะไม่มี ผมจึงไปดูให้เห็นกับตาซะหน่อย
ตลาดน้ำคลองแหที่ว่านี้ ห่างจากตัวเมืองหาดใหญ่แค่ 4 กม. เขาเปิดกันวัน ศุกร์-อาทิตย์ ตั้งแต่บ่ายสามเป็นต้นไป ถึงสองทุ่มคนก็ซาแล้ว อยู่ติดกับวัดคลองแห ซึ่งผมไม่รู้ว่าคลองจริงๆ ชื่ออะไร ก็คงคลองแหนั่นกระมัง เขาก็เป็นตลาดนัดนี่ละครับ มีข้าวของสารพัดมาขาย ผลิตภัณฑ์ของหมู่บ้านต่างๆ ที่น่าสนใจคือเรือขายสินค้าที่ส่วนใหญ่จะเป็นของกินสารพัดสารพันนั้น เป็นพี่น้องชาวมุสลิมเสียส่วนใหญ่ เรือจอดเรียงกันเป็นตับ แม่ค้าใส่ผ้าคลุมหัว ใส่งอบ นุ่งเสื้อแขนกระบอกบ้าง เสื้อลายลูกไม้บ้าง เวลามีลูกค้าซื้อของก็ใส่ตะกร้าที่ผูกไว้ปลายไม้ ยื่นให้ลูกค้า ลูกค้าก็เอาเงินใส่ ดูแล้วน่ารักดี
อีกอย่างที่น่าสนใจคือ ร้านขนมหวานป้าแดง ร้านป้าแกอยู่หน้าสะพาน เหมือนป้อมตำรวจ แกขายขนมหวานชิ้นละแค่ 5 บาท อันนั้นไม่น่าสนใจเท่ากับว่าส่วนใหญ่เป็นขนมพื้นเมืองภาคใต้ที่คนภาคกลางอย่างผมไม่ค่อยคุ้น เช่น ขนมกู ขนมกวน ขนมมันหน้ากะทิ ขนมแดง ฯลฯ ทุกอย่างห่อใบตอง น่ารักดี ไปลองไปอุดหนุนกันครับ ผมไม่ค่อยชอบกินขนมหวานเลยไม่รู้ว่าอร่อยหรือเปล่า แต่ป้าแกจบคหกรรมอาหารมาเชียวนะ ก็คงอร่อยแหละ เห็นว่าตลาดน้ำแห่งนี้บรรดาทัวร์จากมาเลเซียหรือต่างชาติชอบมาเดินเที่ยว เดินเลือกซื้อเลือกชิมอาหารกัน เลยดูเหมือนว่าการทำให้เป็นตลาดน้ำ มีเรือ มีอะไรคงพอเป็นจุดขายได้ ซึ่งผมไปดูก็เพลินดีครับ เรียกว่าไม่เสียดายเวลา ใครไปหาดใหญ่น่าจะลองแวะมาดู
ห่างจากตลาดน้ำตลองแหไปอีกราวๆ 7-8 กม. จะเข้าสู่พื้นที่ของ อ.บางกล่ำ พอเข้าเขต ต.แม่ทอม ที่นี่จะมีคลองอู่ตะเภาเป็นคลองสายหลักในพื้นที่ ริมคลองนี้มีวัดแบบบ้านๆ คือวัดคูเต่า ตั้งอยู่ริมคลอง วัดนี้สร้างมาเมื่อปี พ.ศ. 2299 ก็ในสมัยอยุธยานั่นเทียว ที่ผมต้องดั้นด้นมาดู เพราะว่าที่วัดนี้ศาลาธรรม เขาได้รับรางวัลอนุรักษ์ศิลปะสถาปัตยกรรมดีเด่น ประเภทอาคารปูชนียสถานและวัดวาอาราม เมื่อปี 2554 ของสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมน์ พอมาดูก็สวยงาม สมกับที่ได้รางวัล ท่านผู้อ่านดูรูปจะดีกว่าที่ผมบรรยาย นอกจากอาคารที่ได้รางวัลแล้ว ที่ผมชอบใจอีกก็คือ ยังมีอาคารไม้รูปทรงสถาปัตยกรรมแบบเรือนทางภาคใต้ ส่วนหนึ่งเป็นหมู่กุฏิสงฆ์แบบทางใต้(ซึ่งก็ต่างจากภาคกลาง)
อีกหลังหนึ่งที่แยกออกมาดูโดดเด่น แต่ค่อนข้างทรุดโทรมแล้ว ผมเดาว่าน่าจะเป็นหอฉัน หรืออะไรพวกนี้ หลังคาใช้กระเบื้องว่าว แบบที่ทางใต้นิยมกัน เป็นทรงมะนิลา ที่ได้รางวัลคือศาลาธรรมอยู่ริมคลองอู่ตะเภา เป็นศาลาเปิดโล่ง ตรงกลางยกสูงขึ้นค่อนฟุต ใกล้ศาลาธรรมมีฐานปูนเสาสะพานสลิง ข้ามคลองไปอีกฝั่งหนึ่ง แต่ตัวสะพานสลิงขาดไปหมดแล้ว เห็นว่าเป็นสะพานที่สร้างมาแต่ครั้งรัชกาลที่ 5 ส่วนอาคารเรียนธรรมนั้นสร้างติดพื้น ฝาทึบสูงเพียงเอวเกือบรอบ นอกนั้นใส่ลูกกรงโปร่งตา น่าจะเป็นศาลาการเปรียญที่สำหรับใช้ในกิจกรรมระหว่างชุมชนและวัด อันที่จริงเขามีรายละเอียด เทคนิคการก่อสร้างที่เป็นเอกลักษณ์เยอะแยะไปหมด ตามแนวทางของสถาปัตยกรรมเขา อยากรู้คงต้องไปดูด้วยตา เพราะที่ยังน่าสนใจอีกอย่างคือในเขตพระอุโบสถ
พระอุโบสถที่นี่ไม่มีหน้าต่างแต่ใช้ลูกกรงเป็นช่องระบายอากาศและให้แสงเข้า เสมารอบพระอุโบสถ นั่งแท่นสูงแล้วมีซุ้มเสมาซึ่งผมไม่กล้าระบุทรง คล้ายๆ ทรงเกี้ยว แต่มีการตกแต่งหลังคาขึ้นไป ทีนี้มันน่าสนใจตรงนี้ครับ ตรงที่หน้าบันของยอดซุ้มเสมาจะมีปูนปั้นเป็นรูปบุคคลต่างๆ ซึ่งโชคดีที่หลวงตาที่ดูแลโบสถ์ ท่านมาพาดูแล้วอธิบายว่าเป็นรูปพระนเรศวรนั่งบนหลังช้าง เตรียมทำยุทธหัตถี หันไปหาซุ้มเสมาอีกด้าน ซึ่งหลวงตาบอกว่านี่คือพระมหาอุปราชของพม่า ซึ่งดูจากเครื่องแต่งกายก็ไม่มีอะไรค้านท่าน นอกจากนั้นมีรูปปั้นทหาร ใส่หมวกทรงกรวยคล้ายทหารแขก รูปเรื่องราวคนจีนอพยพเข้ามาในสงขลา ฯลฯ ส่วนในพระอุโบสถนั้นมีรูปจิตรกรรมฝาผนังเก่าแก่ เรื่องพระเวสสันดร ดูลายเส้นและตัวละครที่วาดมีอิทธิพลท้องถิ่นสูง ผมเลยสันนิษฐานเถื่อนเอาว่าคงเป็นช่างทางภาคใต้นี่แหละ เพราะสงขลาเขาก็เป็นเมืองใหญ่ ช่างฝีมือทางวาดคงไม่ต้องสั่งจากกรุงเทพแน่ๆ
เดินดูวัดจนอิ่มใจ ทั้งวัดนารังนกที่ใกล้ๆ กัน ก็ยังมีหมู่กุฏิสงฆ์ให้ได้ดูชมอีกวัดหนึ่งด้วย คนคลั่งสถาปัตยกรรมวัดแบบผมมาคราวนี้เลยถูกใจมาก พิรี้พิไรอยู่นาน
หาดใหญ่ นึกว่าจะมีแต่ข้าวของให้ซื้อ ที่แท้มีตลาดน้ำ มีวัดงามแบบนี้ก็ไม่บอกซะแต่ทีแรก หาดใหญ่ที่ยังเป็นแค่อำเภอของจังหวัดสงขลา มีอะไรให้ดูอีกตั้งเยอะ ขึ้นกับว่าคุณอยากดูอะไรในหาดใหญ่แค่นั้นเอง แต่คราวนี้ผมพาดูตลาดน้ำกับวัดซะอย่างนั้น
แหละ...







