ตะลุยบ้าน 'ผี' สิง

ตะลุยบ้าน 'ผี' สิง

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอาจเป็นทีมฟุตบอลที่มีแฟนคลับมากที่สุดของโลก แต่จะกี่มากน้อยที่แฟนบอลเหล่านั้นจะได้มานั่งชิดติดขอบในโรงละครแห่งความฝัน

ผมยังจำลูกฟรีคิก (Free Kick) สุดสวยที่ออกจากปลายเท้าของเดวิด เบ็คแฮม (David Beckham) ได้ดี นั่นคือจุดประกายความฝันของเด็กขี้โรคคนหนึ่งที่วันๆ นั่งดูแต่การ์ตูนและเล่นของเล่นในบ้านจัดสรรหลังหนึ่ง

ละแวกบ้านผมมีเด็กรุ่นไล่เรี่ยกันห้าถึงหกคน แต่ผมไม่เคยไปเล่นกับเด็กพวกนั้นนอกบ้านเลย ทว่าเสียงเอะอะของเด็กพวกนั้นก็ดังเข้ามาในบ้านเสมอแต่ผมก็ไม่สนใจ จนกระทั่งวันที่เสียง "ตุบ..ตุบ.." เสียงเตะลูกฟุตบอลอัดกำแพงดังเข้าหูผม ภาพเดวิด เบ็คแฮม นักเตะคนเดียวที่เด็กขี้โรคคนนี้รู้จักก็แวบเข้ามา วันนั้นเองที่ผม เพื่อน ฟุตบอล และเบ็คแฮม ได้สนิทสนมกัน...

วันเหยียบฝัน

นอกจากทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดหรือที่เรียกสั้นๆ ว่า "แมนยู" ผมเองแทบไม่รู้จักทีมฟุตบอลอื่นใดเลยนับสิบปีตั้งแต่เริ่มดูฟุตบอลเป็น ผมไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ที่หลงรักทีมผีแดงตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรหรือรู้จักนักเตะระดับตำนานครบทุกคน แต่ถ้าถามว่าทีมอะไรที่ทำให้ผมเริ่มรู้จักฟุตบอลจนกระทั่งฟุตบอลเข้าเส้นจนถึงทุกวันนี้ก็ไม่พ้นทีมปีศาจแดงแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดทีมเดียวนี้นี่เอง

แน่นอนว่าถ้าถามบรรดาสาวกผีแดงว่าอะไรคือความใฝ่ฝัน เกินกว่าครึ่งคือได้ไปเหยียบสนามโอลด์แทรฟฟอร์ด (Old Trafford) และได้นั่งชมนักเตะปีศาจแดงละเลงแข้ง อาจมีเหตุผลอื่นมากมายที่สนามฟุตบอลแห่งนี้ถูกขนานนามว่า "โรงละครแห่งฝัน - The Theatre of Dream" แต่สำหรับสาวกแมนยูตัวเล็กๆ ที่นี่บรรจุความฝันเพียงได้ไปเยือนสักครั้งก็สุขที่สุดแล้ว

ไม่กี่วันก่อนผมเพิ่งนั่งลุ้นตัวโก่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์ แต่ก็ลุ้นไม่ขึ้นด้วยผลแมนยูพ่ายเอฟเวอร์ตัน 0-2 นั่นไม่ใช่ฝันร้ายครั้งแรกในฤดูกาล 2013-2014 แต่ฝันร้ายยิ่งกว่าคือแมนยูอยู่อันดับย่ำแย่ที่สุดเท่าที่ผมปวารณาตัวเป็นสาวกผีแดง ทว่าฝันร้ายที่ขังอยู่ในหัวมาตลอดฤดูกาลก็ถูกพลิกกลายเป็นฝันดีที่สุดตั้งแต่เป็นแฟนแมนยูมา...ไม่นับความสุดยอดที่ได้สามแชมป์ในฤดูกาล 1998-1999

คืออีกหกวันหลังจากแพ้เอฟเวอร์ตันผมจะได้ไปเยือนโอลด์แทรฟฟอร์ดของจริงในแมตช์พบนอวิช ซิตี้ แค่คิดถึงนาทีนั้นก็ยิ้มได้ทุกครั้ง...

และที่น่าตื่นเต้นไปกว่าคือผมได้ร่วมทริปไปพร้อมกับผู้โชคดีจากการร่วมสนุกกับทรูมูฟเอชได้ลุ้นบินไปมันส์ติดขอบสนามกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ซึ่งตลอดฤดูกาลก็มีผู้โชคดีได้ไปมันส์กันที่โรงละครแห่งฝันครบทุกแมตช์ที่แมนยูเป็นเจ้าบ้าน และผมเชื่อว่าผู้โชคดีจะพาโชคดีไปสู่ทีมปีศาจแดงด้วยเช่นกัน

หลายครั้งที่นักเขียนมักหลอกผู้อ่านด้วยบทบรรยายชวนฝันแล้วตลบหลังคนอ่านด้วยคำเฉลยว่านั่นเป็นความฝันจริงๆ แต่ที่ผมบรรยายทั้งหมดเป็นจริงแท้แน่นอน เพราะเสียงล้อเครื่องบินสายการบินเอติฮัดแตะพื้นดังคล้ายตะโกนบอกว่า "เตรียมตัวพบกับความฝันที่เป็นจริง...เพราะแกมาถึงเมืองแมนเชสเตอร์แล้ว!"

ผมและเพื่อนร่วมทริปที่น่ารักผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง ใครจะชื่นชมว่าสยามเมืองยิ้มผมขอเถียงเพราะที่แมนเชสเตอร์เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองดูจะเป็นมิตรมากกว่าพี่ไทยหลายเท่า ทั้งรอยยิ้ม คำทักทาย และเป็นกันเองชนิดเล่นมุกกันตั้งแต่แรกพบเลยทีเดียว...ประทับใจจัง

พอก้าวเท้าออกจากสนามบินเมืองแมนเชสเตอร์ลมเย็นเฉียบพัดทะลุทะลวงเสื้อแจ็กเก็ตตัวบางของผมจนสั่นไปทั้งตัว อากาศที่นี่กับที่บ้านเราแตกต่างกันสุดขั้ว นี่ไม่รวมคำขู่ของมัคคุเทศก์ที่ว่านอกจากอากาศหนาว มีลม ยังมีฝนตกอีก...แค่คิดก็แทบจะป่วยแล้ว แต่จะป่วยไม่ได้...

Glory Glory Man United

"Glory glory Man united,

Glory glory Man united,

Glory glory Man united,

As the reds go marching up up up!..."

เสียงเพลงเชียร์ประจำทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคุ้นหูผมมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ยอมรับว่าร้องไม่เคยได้เลย อย่างดีก็ได้แค่ท่อนเริ่มต้น อันที่จริงผมไม่ค่อยอินกับเพลงภาษาอังกฤษพวกนี้เท่าไรนัก ทว่าหลังจากรถที่ทรูมูฟเอชจัดมาเพื่อรับส่งผมกับผู้โชคดีพามาถึงลานจอดหน้าสนาม ทั้งขนลุกทั้งยิ้มแก้มปริเพราะที่นี่คือโรงละครแห่งฝันอย่างแท้จริง วันนี้ฝันผมเป็นจริงแล้ว แต่ดูเหมือนอะไรต่อมิอะไรที่นี่เงียบเชียบไปหมด เพราะวันที่ผมไปถึงไม่มีแมตช์แข่งขันดังนั้นสนามโอลด์แทรฟฟอร์ดจึงไม่มีภาพกองเชียร์ในชุดสีแดงมาสร้างบรรยากาศถิ่นปีศาจแดง แต่วันนี้สนามโอลด์แทรฟฟอร์ดยังเปิดให้ผู้คนเข้าชม โดยแบ่งเป็นสองส่วนคือ พิพิธภัณฑ์และทัวร์สนาม

แน่นอนว่าสโมสรฟุตบอลระดับโลกอย่างแมนยูย่อมมีประวัติศาสตร์ยาวนาน สิ่งของในพิพิธภัณฑ์สโมสรจึงมากมายละลานตาโดยเฉพาะถ้วยรางวัลตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรเมื่อปี ค.ศ.1878 (ใช้ชื่อ นิวตัน ฮีท) จนถึงปัจจุบัน ทั้งถ้วยและถาดรางวัลวางเรียงในตู้กระจก แต่ด้วยความที่มีมากด้วยกระมังจึงทำให้ภาพถ้วยรางวัลเหล่านี้ไม่สวยเลย ดูแน่นๆ ไร้ชีวิตชีวา แต่ที่เรียกเสียงฮือฮาในใจผมได้มากกว่ากลับเป็นเสื้อผ้ารองเท้าของนักเตะตำนานของทีม อาทิ เสื้อและรองเท้าของเดวิด เบ็คแฮม มิดฟิลด์สุดหล่อตลอดกาล ที่ถึงแม้ตอนนี้เส้นทางนักฟุตบอลอาชีพของเขาจะเงียบไปและเขาออกจากแมนยูไปนานแล้วแต่สโมสรยังให้เกียรติแสดงเสื้อทีมต่างๆ ที่เขาไปร่วมฟาดแข้ง

และที่ทำให้ผมยิ้มแก้มปริคือที่ถุงมือผู้รักษาประตูของปีเตอร์ ชไมเคิล (Peter Schmeichel) ผู้รักษาประตูขั้นเทพที่จนถึงวันนี้ลีลาพุ่งปัดและท่าทางดุดันของเขายังตราตรึงในใจผมเสมอมา ได้มายลโฉมถุงมือเปื่อยๆ สีหม่นๆ ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นของจริง เด็กวัยรุ่นคงเรียกกันว่า "ฟินเลย..."

นอกจากประวัติศาสตร์ของสโมสร, เหตุการณ์สำคัญ เช่น โศกนาฏกรรมที่มิวนิกเมื่อปีค.ศ.1958, เกียรติยศผลงาน หรือนักเตะดาวดังแล้ว ยังมีอีกสิ่งที่จะเป็นอีกหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสรคือ เรื่องราวของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน (Sir Alex Ferguson) ผู้ถูกยกย่องให้เป็นผู้จัดการทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งก็ถูกจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ และได้รับเกียรตินำไปตั้งเป็นชื่อถนนใกล้ๆ โอลด์แทรฟฟอร์ด (Sir Alex Ferguson Road) และตั้งเป็นชื่ออัฒจันทร์ฝั่งเหนือ (Sir Alex Ferguson Stand) ด้วย

และแล้วไฮไลท์ของวันก็มาถึง นั่นคือทัวร์สนามโอลด์แทรฟฟอร์ด ซึ่งโปรแกรมทัวร์สนามนี้ควรจองล่วงหน้าจากเว็บไซต์สโมสรเพราะถ้าเดินสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปอาจได้แค่เดินดูด้านนอกสนามแทน แล้วจะพลาดโอกาสสำคัญที่แฟนปีศาจแดงไม่ควรพลาด!

นั่นคือได้เข้าไปนั่งในสนามโอลด์แทรฟฟอร์ด เห็นสนามจริง หญ้าจริง ที่เราเคยเห็นกันในโทรทัศน์ ที่เดียวกับที่นักเตะดังยุคนี้อย่าง เวนย์ รูนี่ย์ (Wayne Rooney) วิ่งไปวิ่งมา ล้มกลิ้ง และซัลโวลูกตุงตาข่าย จะหาว่าเกินจริงก็ไม่ว่ากันเพราะแค่ได้กลิ่นหญ้าที่โอลด์แทรฟฟอร์ดก็ขนลุกอีกครั้งแล้ว

เจ้าหน้าที่หนุ่มตาน้ำข้าวฟุดฟิดฟอไฟใส่เป็นชุดขณะที่พาเดินชมรอบสนาม พาเข้าห้องนั้นทีห้องนู้นที ทั้งห้องที่คุ้นตาอย่างห้องแถลงข่าว ไปจนถึงห้องที่หลายคนใฝ่ฝันจะเข้าไปนั่นคือห้องแต่งตัวนักเตะ พอเข้าไปก็รู้ทันทีว่านี่มันการแสดงชัดๆ เพราะมีเสื้อสกรีนเบอร์และชื่อนักเตะแขวนอยู่จุดละตัว เรียงอยู่รอบห้องสี่เหลี่ยมนั้น ทางสโมสรคงเข้าใจนิสัยนักท่องเที่ยวดีว่ามาห้องแต่งตัวก็ขอถ่ายรูปกับเสื้อนักเตะในดวงใจสักหน่อย ถึงแม้มันจะไม่ใช่เสื้อที่ใช้จริงก็ตาม

แวะเมืองผี

กองทัพต้องเดินด้วยท้อง...ประโยคนี้มักถูกนำมาใช้อ้างเวลาหิว แต่ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ เพราะตั้งแต่มาถึงเมืองแมนเชสเตอร์กระเพาะอาหารของผมยังไม่มีอะไรใส่เข้าไปเลย หลังจากเดินชมสนามเรียบร้อยผมจึงจัดการมื้อใหญ่ที่ Red Cafe ร้านอาหารภายในสนาม จัดบรรยากาศโทนสีแดงสีประจำสโมสรและใส่สิ่งละอันพันละน้อยเอาใจสาวกผีแดงสุดตัว แน่นอนว่าอาหารก็อร่อยใช้ได้ทีเดียว เมนูแนะนำคือ ทาวเวอร์เบอร์เกอร์ หรือที่ผมเรียกเองว่า "โคตรเบอร์เกอร์"

หลังจากอิ่มท้องก็ได้เวลาเสียสตางค์ที่ Mega Store ถ้าใครหวังจะซื้อของราคาสมเหตุสมผลคงไม่แนะนำที่นี่ เพราะทุกอย่างแพง! แต่ถ้าคิดว่าอยากรู้สึกว่าได้ซื้อของที่โอลด์แทรฟฟอร์ดก็ต้องบอกว่า "จัดไป!"

ดวงอาทิตย์ที่แมนเชสเตอร์ยังทอแสงจนดึกดื่น ขัดแย้งกับเข็มนาฬิกาที่ข้อมือระบุว่านี่คือเวลานอนแล้ว อยู่ที่ผมจะเชื่อเข็มนาฬิกาหรือเชื่อท้องฟ้าที่ยังสว่างอยู่...ผมเลือกแล้ว...ราตรีสวัสดิ์

ไม่นานนักก็ต้องกล่าว "อรุณสวัสดิ์" ทั้งที่ร่างกายเหนื่อยล้าตั้งแต่เริ่มเดินทางจากประเทศไทย แต่วันนี้คือวันสำคัญมากวันหนึ่ง...

เมืองแมนเชสเตอร์มีประวัติศาสตร์ยาวนานมากและที่นี่เองเคยได้ชื่อว่าเป็นเมืองอุตสาหกรรมแห่งแรกของโลกและเป็นเมืองรองของอังกฤษในอดีต เรียกได้ว่าแมนเชสเตอร์เจริญรุ่งเรืองมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ทุกวันนี้เมืองแมนเชสเตอร์กลับไม่ค่อยมีสิ่งบ่งชี้เลยว่าเป็นเมืองอุตสาหกรรม เพราะตอนนี้หากพูดถึงแมนเชสเตอร์คงหนีไม่พ้นนึกถึงสโมสรฟุตบอลชื่อดังถึงสองทีม...แมนฯ ยูไนเต็ด กับแมนฯ ซิตี้

ทว่าไม่ได้หมายความว่าเมืองนี้จะไม่มีร่องรอยของประวัติศาสตร์อยู่เลย เพราะที่ที่ผมกำลังยืนถ่ายรูปอยู่คือ Town Hall สัญลักษณ์ของเมือง ตั้งเด่นสง่าเหนือจัตุรัสอัลเบิร์ต (Albert Square) เป็นอนุสรณ์สะท้อนการพัฒนาแห่งยุตวิคตอเรียนได้ดีที่สุดของอังกฤษ และเป็นเครื่องชูเกียรติแด่บรรพบุรุษผู้สร้างเมือง และที่ด้านหน้าจัตุรัสอัลเบิร์ตมรูปปั้นเจ้าชอยอัลเบิร์ตยืนอยู่ในท่วงท่าสง่างาม ส่วนด้านหลังคือทาวน์ฮอลล์สไตล์โกธิกอายุกว่า 100 ปี นี่คือความภาคภูมิใจของชาวแมนเชสเตอร์ก่อนสโมสรฟุตบอลเสียอีก

แต่ถึงอย่างไรฟุตบอลก็เป็นเรื่องใหญ่ของเกาะอังกฤษอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เพราะที่เมืองแมนเชสเตอร์นี้ก็เป็นที่ตั้งของ พิพิธภัณฑ์ฟุตบอลแห่งชาติ พิพิธภัณฑ์ที่เก็บรักษาของที่ระลึกเกี่ยวกับฟุตบอลรวม 140,000 ชิ้น แต่ที่ถูกนำมาโชว์มีราว 2,500 ชิ้น ซึ่งมากพอที่จะทำให้แฟนฟุตบอลพันธุ์แท้ได้ชื่นชมและดื่มด่ำ

หากถามว่าจะหาชมลูกฟุตบอลจากแมตช์ดังๆ จากทั่วโลกได้จากไหน ก็ต้องบอกว่าที่นี่ที่เดียวจริงๆ เพราะแม้แต่ลูกฟุตบอลที่ใช้แข่งในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกครั้งแรกในปีค.ศ.1930 ก็มีให้ชมที่นี่ ชุดแข่งตั้งแต่โบราณ วิวัฒนาการของฟุตบอล ที่นี่มีหมด!

และที่เป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวมาก คือ ถ้วยพรีเมียร์ลีกจำลองซึ่งทั้งที่รู้ว่าจำลองแต่ก็อดไม่ได้จะต้องเสียสตางค์ 5 ปอนด์เพื่อได้ยกถ้วยหนักอึ้งถ่ายรูปสองสามรูปแล้วถูกเจ้าหน้าที่เร่งให้วางเพราะมีคนต่อคิวเยอะ...นี่เสียเงินตั้ง 5 ปอนด์นะ!

แต่ที่อดพูดถึงไม่ได้จริงๆ คือ ผมหมดข้อสงสัยเลยว่าทำไมที่อังกฤษจึงมีนักฟุตบอลฝีเท้าดีเกิดขึ้นต่อเนื่อง นั่นเพราะบ้านเขาก่ออิฐก้อนแรกได้มั่นคงแข็งแรงจริงๆ พิพิธภัณฑ์ฟุตบอลแห่งชาติไม่ใช่แค่จัดแสดงสิ่งของ แต่มีอะไรต่อมิอะไรให้เด็กและคนที่สนใจเกมกีฬานี้ได้เล่น สิ่งเหล่านี้แหละที่แทรกซึมไปในสายเลือดของคนที่นี่...

ออกจากพิพิธภัณฑ์ฟุตบอลแห่งชาติผมและเพื่อนร่วมทริปรีบบึ่งไปที่สนามโอลด์แทรฟฟอร์ดเพราะวันนี้มีแมตช์สำคัญระหว่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกับนอวิช ซิตี้ แม้จะไม่ใช่แมตช์ใหญ่โตแต่นี่คือแมตช์แรกที่ไรอัน กิ๊กส์ (Ryan Gigs) ได้นั่งแท่นผู้จัดการทีมแทนเดวิด มอยส์ (David Moyse) ผู้สร้างฝันร้ายให้แฟนปีศาจมาตลอดฤดูกาล

ว่ากันว่าสีสันรอบสนามคือความสนุกของเกมฟุตบอลบนเกาะอังกฤษ เห็นจะจริง เพราะทุกสิ่งเคลื่อนไหว ผู้คนส่งเสียงเฮฮา แม้แต่ของที่ระลึกขายแบกะดินก็ยังดูน่าสนใจและน่าซื้อหา ใจผมเต้นรัวเพราะนี่คือบรรยากาศสุดยอดครั้งหนึ่งในชีวิตแฟนฟุตบอลหางแถวอย่างผม

แมตช์แรกที่โอลด์แทรฟฟอร์ดเริ่มขึ้นแล้ว เสียงกองเชียร์ฝ่ายเจ้าบ้านดังลั่นสนาม ขณะที่กองเชียร์ทีมเยือนก็ดังตลอดแสดงสปิริตอย่างน่านับถือ แต่การแข่งขันก็คือการแข่งขัน ย่อมมีผลแพ้ชนะ

แน่นอนว่านอกจากฝันของผมจะเป็นจริงแล้ว มันยังเป็นฝันดีอีกด้วย (แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 4 - นอวิช ซิตี้ 0)