เจาะจิต Gen M อาการน่าเป็นห่วง?

การเข้าไม่ถึงเทคโนโลยีก็เป็นปัญหา การเสพติดโซเชียลมีเดียมากเกินไปก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งของคนยุคนี้ ชวนคุยแบบเจาะลึกกับจิตแพทย์
ว่าแท้จริงแล้วอะไรน่าเป็นห่วงกว่ากัน
"ผลการสำรวจพบติดโซเชียลมีเดีย ทำแยกตัวออกจากสังคม"
"อุทาหรณ์ หนุ่มวัยรุ่นอังกฤษสุดคลั่งเสพติดเซลฟี่ พยายามฆ่าตัวตายหลังเครียดจัด"
"ลูกชายรับสารภาพ วางแผนฆ่าพ่อแม่พี่ชายตัวเอง"
คุณเห็นอะไรในข่าวเหล่านี้...
สำหรับจิตแพทย์ที่ทำงานด้านสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นมากว่า 25 ปี อย่าง พญ.พรรณพิมล วิปุลากร รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นล้วนสะท้อนภาพความไม่มั่นคงทางจิตใจของเยาวชนไทยยุคดิจิทัล หรือในนิยามของ Gen M (Millennium Generation) ผู้แสนจะมั่นใจในตัวเอง ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ และมีโลกออนไลน์เป็นโลกใบใหญ่
ทว่าท่ามกลางข้อได้เปรียบมากมายของคนเจนเนอเรชั่นนี้ ยังมีเรื่องน่ากังวลและช่องว่างที่น่าตกใจระหว่างเด็กมีโอกาสและขาดโอกาส โดยเฉพาะในด้านสุขภาพจิต
-เท่าที่คุณหมอได้คลุกคลีกับปัญหาเด็กและวัยรุ่นมาตลอด ปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหนคะ
คือถ้าดูจากงานของกรมสุขภาพจิต มันมีสองสามตัวเลขที่น่าสนใจ ตัวเลขแรกก็ที่เราทำเรื่องสมรรถนะเรื่องความสามารถในเชิงสติปัญญาของเด็ก จะเห็นว่าจำนวน หนึ่งเป็นการขาดโอกาสในการพัฒนาตัวเอง หมายถึงโดยศักยภาพของเขามี แต่พอเราดูภาพมันเหมือนจำนวนหนึ่งมันแกว่งไปอยู่ในด้านที่ต่ำกว่าความสามารถจริง ซึ่งอันนี้ มันจะไปส่งผลต่อการใช้ชีวิตของเด็ก เช่น ถ้าเขาไม่ประสบความสำเร็จจากการเรียน ไม่ประสบจากเรื่องเหล่านี้มันจะมีปัญหาตามมาในภายหลัง
อันที่สองที่กรมฯทำโดยตรง ก็คือเรื่องความฉลาดทางอารมณ์ เราทำเป็นซีรีย์ต่อเนื่องทุก 5 ปี รอบนี้รอบที่ 3 ก็ทำมา 15 ปีแล้ว มันเห็นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ ค่อยดี คือโดยกลุ่มใหญ่ยังมีปัญหาเรื่องการจัดการกับอารมณ์ การดูแลอารมณ์ของตัวเอง อันนี้คงนึกภาพออกว่าพอเราเอาไปซ้อนกับมิติทางสังคมที่มันมีปัญหามากขึ้น ขณะที่ เขามีความเปราะบางเรื่องอารมณ์ เขาก็จะมีความเสี่ยงเรื่องปัญหาพฤติกรรมในทางสังคมตามมา
ทีนี้ถ้าไปดูผลลัพธ์ปลายทางที่เราก็จะเห็นว่าเป็นเรื่องของความรุนแรง ทั้งความรุนแรงที่เด็กทำกันเอง คือเด็กต่อเด็ก รวมถึงที่เด็กไปสร้างความรุนแรงให้กับบุคคลอื่นที่อยู่ในสังคม
-มีการวิเคราะห์ไหมคะว่าทำให้เด็กถึงมีความฉลาดทางอารมณ์ลดลง
เราพบว่าตัวสนับสนุนจะมาจากสามตัวหลัก หนึ่งคือเรื่องครอบครัว สองเป็นตัวเซตติ้งหลักของเด็กคือเรื่องโรงเรียน แล้วก็ตัวชุมชน สามตัวนี้จะสัมพันธ์เชื่อมโยงกับ เรื่องการเรียนรู้ของเด็ก ทีนี้ถ้าเราเข้าไปดูมิติเรื่องครอบครัว มันจะมีสองเรื่องใหญ่ คือเรื่องการใช้เวลาร่วมกันในครอบครัว อันนี้ก็จะมีผลมาจากสภาพหลายอย่างที่ทำให้พ่อแม่ ไม่ได้ใช้เวลากับลูกมาก หรืออันที่สองอาจจะถึงขนาดไม่ได้เลี้ยงดูลูกด้วยตนเองนะคะ กลุ่มนี้ก็จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ต้องไปอยู่กับญาติพี่น้องบ้างอะไรบ้าง อันนั้นเป็นส่วน ของครอบครัว
ถ้าเป็นเรื่องโรงเรียน เคยมีงานที่เราทำติดตามก็พบว่าภาวะความกดดันเรื่องการแข่งขันเรื่องการเรียนเพื่อให้ประสบความสำเร็จมันสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีเด็กที่ต้องรั้ง ท้ายมากขึ้น เด็กที่เมื่อก่อนเราเรียกว่าเป็นเด็กหลังห้องหรืออะไรอย่างนี้ เด็กที่ต้องถูกทิ้งหลุดจากขบวนของการเรียนรู้ในระบบโรงเรียนมันจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอันนี้ก็จะมี ผลตั้งแต่การคบเพื่อน การออกไปใช้ชีวิตนอกโรงเรียนนอกระบบปกติของเขา แล้วก็ทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา
สุดท้ายคือชุมชน ชุมชนจะมีเรื่องพื้นที่สำหรับเด็กที่มีคนพูดถึงค่อนข้างเยอะ พื้นที่สำหรับเด็กก็คือพื้นที่ที่จะช่วยสนับสนุนเขาซึ่งมันมีไม่มากนัก พื้นที่สำหรับเด็กมัน ไปพึ่งพิงตัวโรงเรียนกับครอบครัวเป็นหลัก ถ้าอยู่ในโรงเรียนที่มีคุณภาพสูงหน่อยเด็กก็จะได้พื้นที่ แต่ว่ามันไม่ได้ครอบคลุมเด็กทุกคน หมายความว่าเด็กที่ขาดโอกาสจะเข้าไม่ ถึงพื้นที่ที่ดี เพราะในสังคมเราพื้นที่เหล่านี้มันถูกจัดการโดยระบบธุรกิจ คนมีฐานะหน่อยหรือโรงเรียนดีหน่อย คุณก็จะได้เข้าถึงพื้นที่เหล่านี้ แต่ถ้าไม่อย่างนั้นเด็กก็แทบไม่มี โอกาสเข้าไปในพื้นที่ดีๆ
-อย่างนี้ช่องว่างระหว่างเด็กที่มีโอกาสกับขาดโอกาสก็จะเพิ่มมากขึ้น?
ใช่ๆ ช่องว่างนี้มันจะกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเราดูปัจจัยอย่างเรื่องครอบครัว เรื่องการใช้เวลาด้วยกัน มันถูกปัจจัยอื่นกระทบมากขึ้น ถ้ามาดูสภาพโรงเรียนเรื่องการ แข่งขันของเราก็ยังเดินหน้าไม่หยุดยั้ง ส่วนโรงเรียนทางเลือกก็เป็นโรงเรียนกลุ่มที่ต้องใช้เงินนะคะถึงจะเข้าถึง ส่วนโรงเรียนที่เป็นอีกทางเลือกที่จะดูแลเด็กได้ดีก็ต้องอยู่อีก สถานภาพหนึ่ง มาดูปัจจัยทางสังคมเราเกือบจะบอกได้เลยว่าพื้นที่เด็กตอนนี้ที่มันปลอดภัยจริงๆ ที่ไปแล้วทำให้เขาได้เติบโตอย่างมีคุณภาพ ลดปัญหาเด็กเนี่ยแทบจะไม่ได้ ถูกออกแบบชัดเจน แล้วแต่ชุมชน บางชุมชนทุ่มเทเยอะเด็กก็ได้ประโยชน์ แต่ถ้าชุมชนไหนละเลยก็ละเลยไปเลย ไม่มีเงื่อนไขปัจจัยอะไรกำหนดเลยว่าต้องมีสนามเด็กเล่นนะ ต้องมีห้องสมุด ต้องมีพื้นที่สำหรับเด็กที่จะไปทำกิจกรรม
-มองจากมุมนี้ปัญหาของเด็กที่ครอบครัวมีสถานภาพทางเศรษฐกิจต่างกันก็น่าจะแตกต่างกันด้วย
ใช่ค่ะ ทีนี้ก็จะไปซ้อนทับเรื่องสภาพพื้นฐานของเขา เช่นในกลุ่มด้อยโอกาส ขาดแคลนอยู่แล้ว ก็มักจะมีความเสี่ยงที่จะอยู่ในครอบครัวที่มีปัญหาด้วย เข้าถึงอะไรที่ ดีๆ ก็น้อยอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเวลาเรากลับขึ้นไปดูที่ผลการศึกษาที่เราพูดกันตอนต้นๆ ก็จะเห็นว่าทำไมไอคิวต้นทุนเด็กเราไม่ได้ต่ำ แต่ความสามารถในการพัฒนาเต็ม ศักยภาพกลับน้อย หรือเรื่องอีคิว ก็จะเห็นเลยว่าตัวอีคิวมันมาจากการที่เด็กได้การเรียนรู้ที่ดี ได้รับการพัฒนา มีกิจกรรมเสริมที่เราเรียกว่าทักษะชีวิต มันก็ขาดไป ก็เหมือนทุน ตรงนี้เขาไม่ค่อยมี พอไปอยู่ในสังคม พื้นที่ก็เสี่ยงภัยอีก มันก็มีโอกาสจะรวมกลุ่มกันก่อปัญหา ไปติดเกมติดการพนัน แล้วก็ตามมาด้วยเรื่องชู้สาว เรื่องความรุนแรง เรื่องอะไรตามมาอีกมากมาย
-ขณะเดียวกันในกลุ่มที่ครอบครัวมีฐานะดีก็มีการพูดกันมากเรื่องการเข้าถึงโซเชียลมีเดียซึ่งเป็นอีกปัญหาหนึ่ง?
เด็กกลุ่มนี้ก็จะมีอีกปัญหาหนึ่ง ก็คืออาจจะเข้าถึงพวกที่เป็นอุปกรณ์เทคโนโลยีต่างๆ ได้ แต่ไม่มีคนที่จะอยู่คอยชี้แนะ คือเรื่องครอบครัว เรื่องการใช้เวลากับเด็ก อันนี้ ไม่ใช่เรื่องสถานภาพ เพียงแต่เป็นเรื่องปัจจัยต่างกัน เช่นถ้าเด็กที่ด้อยโอกาสก็อาจเป็นเรื่องที่พ่อแม่ไม่มีศักยภาพจริงๆ ที่จะใช้เวลากับลูก ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปทำงาน แต่ พอสถานภาพที่สูงขึ้น พ่อแม่ก็ทำงานอยู่ดี เราเจอครอบครัวที่ทิ้งเด็กอยู่ในบ้าน มีทุกอย่างพร้อมหมดแต่ตัวผู้ใหญ่ไม่มีใครอยู่ในครอบครัวเลย ถึงจะสุขสบายทุกอย่างมันก็ไม่ ใช่สิ่งที่เด็กต้องการ เด็กต้องการคนที่จะใช้เวลากับเขา ชี้แนะเขา เรียนรู้ไปด้วยกัน
-การใช้ชีวิตอยู่กับโซเชียลมีเดียเยอะๆ มันมีผลต่อจิตใจหรืออารมณ์อย่างไร
อันนี้มีการศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ เราต้องยอมรับความจริงว่าโซเชียลมีเดียส่วนหนึ่งมันเป็นการสร้างพื้นที่เรียนรู้สำหรับเด็กได้ เราจะเห็นว่าในหลาย ประเทศใช้ตรงนี้เป็นเครื่องมือการเรียนรู้ อย่างในเกาหลี ครูเก่งๆ เขาใช้โซเชียลมีเดียในการเข้าถึงเด็กทุกคน เป็นการใช้เทคโนโลยีไปเอื้อต่อการเรียนรู้ แต่ของเรา เราไม่ได้มีการ จัดการ พอเขาเข้าไปในนั้นมันก็มีส่วนที่เขาได้เรียนรู้ มีเด็กหลายกลุ่มที่รวมตัวกันทำอะไรดีๆ แต่อีกส่วนหนึ่งก็ไปแบบสเปะสปะ เพราะฉะนั้นตัวเลขของเราจึงออกมาว่าเด็กใช้โซ เชียลมีเดียในเชิงเอนเตอร์เทนสูงกว่าการเรียนรู้มาก พอใช้ด้านเอนเตอร์เทนเยอะมันก็มีโอกาสสองอย่าง
อย่างที่หนึ่งคือเรื่องการแยกตัวเองออกจากสังคมจริง อันที่สองเขาก็อาจไปเจออะไรบางอย่างที่มันท้าทายในการใช้ชีวิตของเขา เขาก็อาจจะต้องไปดูว่ามันใช่หรือมัน ไม่ใช่ มันถูกหรือมันไม่ถูก มิติเรื่องเพศที่มันปรากฎในชีวิตจริงมันเป็นอย่างนั้นไหม หรือแนวคิดต่างๆ ที่เขาไปพบปะด้วยตัวเอง คือเมื่อก่อนเด็กมีโลกในบ้านกับนอกบ้าน แต่ ตอนนี้โลกนอกบ้านของเด็กมันใหญ่มาก อยู่ทุกหนทุกแห่งอยู่ อยู่ในบ้านตัวเองเขาก็ยังออกไปอยู่ในโลกนอกบ้านใช่มั้ยคะ เขาไม่ได้อยู่ในกรอบการเรียนรู้หรือในสิ่งแวดล้อม บริบทเหมือนเมื่อก่อน ทีนี้ตรงนี้ก็อาจเป็นจุดหนึ่งที่ครอบครัวยังตามไม่ค่อยทัน เพราะก็ยังเป็นกรอบพ่อแม่ลูก ไม่ได้ใช้ในเรื่องเทคโนโยลีกับลูก เรียนรู้ด้วยกัน ช่วยกันเสริมลูก ส่วนใหญ่เด็กก็จะอยู่กับโซเชียลมีเดียตามลำพัง
-เมื่อเร็วๆ นี้คุณหมอได้พูดถึงกระแสความนิยม Selfie เรื่องนี้มันสะท้อนอะไรในมุมมองของจิตแพทย์คะ
อันนี้มันก็เหมือนของเล่นน่ะค่ะ เพราะว่ามันมากับเทคโนโลยีกล้องหน้า มาพร้อมกับคุณสมบัติของการถ่ายภาพใกล้ มาพร้อมกับแอพพลิเคชั่นซึ่งเมื่อก่อนหลายๅ อย่างมันทำไม่ได้แต่เดี๋ยวนี้มันทำได้ แล้วมันก็จะไปเชื่อมกับความรู้สึกที่ว่าเราสามารถจัดการอะไรได้ด้วยตัวเราเอง ตัวโซเชียลมีเดียตัวเทคโนโลยีมันทำให้เรามีพื้นที่ของตัวเอง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เมื่อก่อนถ้าเราอยากถ่ายรูปตัวเองกับอะไรสักอย่างต้องวิ่งหาคนถ่ายให้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ต้อง ถ้าเราชอบมุมนี้มากเลยก็เอากล้องขึ้นมาถ่ายรูปตัวเองแล้วเราก็ได้ สิ่งที่เราต้องการ
แต่ทีนี้ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ตัวเทคโนโลยีอย่างเดียว มันอยู่ที่ว่าเขาใช้มันอย่างไร ถ้าเขาใช้เพื่อเก็บประสบการณ์ตัวเอง ใช้ในการเก็บภาพตัวเอง ก็เป็นเรื่องของการใช้ เทคโนโลยีปกติ มันก็เป็นเรื่องสนุกเหมือนของเล่นใหม่ๆ พอมันอินเทรนด์แล้วถ้าไม่ทำมันก็ไม่ใช่ เป็นเรื่องปกติของวัย แต่ถ้าเริ่มมีผลกระทบจากการใช้เทคโนโลยี อันนี้แปลว่า เขาต้องเริ่มจัดการ เช่นถ้าเริ่มแบ่งแยกไม่ได้เลยว่าพื้นที่ไหนควรเซลฟี่ ตรงไหนไม่ควรเซลฟี่ ตอนนี้เริ่มมีเรื่องที่เด็กเซลฟี่ตัวเองในอิริยาบทที่มันเป็นส่วนตัวมากๆ อันนี้ก็ต้องให้ เขาทำความเข้าใจว่าพื้นที่โซเชียลมีเดียมันไม่ใช่พื้นที่ส่วนตัวนะมันเป็นสาธารณะ แม้เราจะตีวงจำกัดคนที่เกี่ยวข้องกับเรา แต่มันก็ยังมีความเป็นสาธารณะอยู่
หรือว่าเราเริ่มเซลฟี่แล้ว อยากได้รับการตอบรับจากคนอื่นมาก อยากให้คนมากดไลค์ อันนี้ก็มีผลกระทบตามมา เพราะไม่ใช่แค่ความเพลิดเพลินแล้ว แต่เราไปผูก ติดอยู่กับคนอื่นที่จะเข้ามาตัดสินตัวเราเอง ทีนี้ถ้าไปบวกกับทฤษฎีเกี่ยวกับแอพพลิเคชั่นเรื่องการตกแต่งภาพ เราไปพยายามตกแต่งตัวเองผ่านแอพพลิเคชั่น แล้วเราไปพอใจ กับภาพที่มันแต่งไปแล้ว แต่ไม่พอใจตัวตนจริงๆ ของตัวเองก็เป็นปัญหาว่าเราไม่สามารถทนอยู่กับรูปลักษณ์ซึ่งเป็นเรื่องปกติมาก แต่เราเลือกการแต่งเติมตัวเอง ถ้าลองคุยกับเด็ก บางทีเขาก็รู้สึกนะคะ หมอเคยได้รับคำปรึกษาจากเด็กเขาก็รู้สึกว่าเหมือนเขาต้อง fake น่ะ จะทำให้อะไรในโซเชียลมีเดีย เหมือนเขาต้องไปเป็นอีกคนนึง มันไม่ใช่ตัวจริงๆ ของ เขา มันเหมือนสนุกนะคะ แต่ในเชิงจิตวิทยา คนเรามันไม่สนุกกับการโกหกเรื่องอย่างนี้ตลอดเวลาหรอกค่ะ มันจะเริ่มเกิดความรู้สึกว่า แล้วยังไงล่ะ อะไรคือตัวจริงๆ ของเรา มัน ไปส่งผลกับความรู้สึกต่อตัวเองไงคะ
-คุณหมอเคยเจอเคสที่ส่งผลกระทบแบบรุนแรงมากๆ ไหม
ในเด็กไทยยังไม่เคยเจอนะคะ ตอนนี้อาจจะเป็นแค่จุดเริ่มต้น เคสแรงๆ จะเห็นในต่างประเทศเยอะ มีรายงานว่าฆ่าตัวตายบ้างอะไรบ้างที่เป็นผลกระทบรุนแรงจาก เรื่องการสร้างตัวตนใหม่ขึ้นมา แต่ในเมืองไทยที่เราศึกษาก็จะเป็นว่าเด็กเขารู้สึกตลอดเวลาว่าเหมือนโกหกตัวเองและโกหกคนอื่น เขาอยากกลับมาอยู่กับตัวเองแล้วมั่นใจ ไม่ รู้สึกเป็นทุกข์ แล้วเลิกการโกหกอันนี้ให้ได้ คือเขาอยากส่งรูปแบบที่ไม่ต้องแต่งมากให้ทุกคนได้เห็นความเป็นตัวตนของตัวเองจริงๆ อะไรแบบนี้ แล้วก็เจอเด็กที่มาปรึกษาว่าเขา เป็นห่วงเพื่อน เขาเห็นว่าเพื่อนมีอารมณ์กับเรื่องนี้มาก เป็นทุกข์เวลาไม่มีคนเข้ามาไลค์ เขารู้สึกว่ามันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น ทำอย่างไรที่เพื่อนจะไม่ทุกข์กับมันมาก อยากให้ ลดความหมกมุ่นกับตรงนี้ลงบ้าง หันมาสนใจเรื่องอื่น อันนี้เป็นคำปรึกษาที่เราเจอจริงๆ ในกลุ่มของเด็กไทย แล้วก็อาจจะมีเป็นพ่อแม่บ่นบ้างว่าทำไมลูกใช้เวลาหมกมุ่นกับมัน มากเกินไป แต่ยังไม่เคยเจอแรงๆ
มีแต่รีพอร์ทในต่างประเทศที่เป็นข่าวเมื่อเร็วๆ นี้ ที่เรียกว่า Body Dysmorphia คือเขาไม่พอใจตัวเองอย่างมาก อย่างรุนแรงถึงขั้นฆ่าตัวตาย แล้วก่อนฆ่าตัวตายก็อัพ รูปตัวเองไปประมาณ 200 รูปในวันเดียว เป็นรูปเซลฟี่ทั้งหมด แล้วประมาณคร่ำครวญนิดหน่อยว่าหวังว่าจะมีใครชอบสักหนึ่งรูป แล้วก็ end up จบวันนั้นด้วยการไปทำร้ายตัวเอง อะไรอย่างนี้
-แต่ดูเหมือนแนวโน้วของสังคมก็จะเป็นไปในลักษณะนี้?
มันก็เหมือนที่มีการพูดกันว่าพอมันผ่านไปสักพัก เรื่องความสนใจตัวเองของคนรุ่นนี้จะสูงขึ้นเรื่อยๆ เขาจะอยู่แต่ในแวดวงเรื่องที่ตนเองสนใจ อาจจะเริ่มไม่เปิดรับ เรื่องอื่นๆ รวมถึงเรื่องการปฏิสัมพันธ์ในทางสังคมจริง ซึ่งอันนี้ก็เป็นสิ่งที่มีการตั้งข้อสังเกตกันอยู่เสมอ แล้วก็มีข้อเสนอแนะตลอดเวลาว่ายังไงมันต้องรักษาตัวกิจกรรม อย่างที่ เราพูดถึงเรื่องพื้นที่สำหรับเด็กอะไรแบบนี้น่ะค่ะ ยังต้องมีพื้นที่ให้เด็กเขาไปทำอะไรด้วยกันแบบเจอกันจริงๆ ด้วย ไม่อย่างนั้นมันจะเหลือแต่การสร้างพื้นที่บนเทคโนโลยี แต่ไม่ มีพื้นที่จริงแบบกายภาพให้เด็กเข้าไปแล้วรู้สึกสนุกได้ ซึ่งมันจะเหมือนผลักเขาเข้าไปในโลกออนไลน์มากขึ้นเรื่อยๆ
อีกส่วนหนึ่งก็คือการเรียนรู้เท่าทันสื่อ ซึ่งทั่วโลกเขาก็รู้สึกว่าการไปบล็อกการไปห้ามมากไม่ใช่ทางเลือกที่ดี แต่ว่าต้องทำให้เข้าใจและเรียนรู้อยู่กับมันให้ได้ เพราะเท รนด์พวกนี้มันมีมาเรื่อยๆ อันหนึ่งตกกระแสไปอันใหม่ก็มาตลอด เด็กก็ต้องเรียนรู้เท่าทันเรื่องสื่อด้วยตัวเขาเอง
-เป็นไปได้ไหมคะว่าด้วยบรรยากาศในสังคมที่เป็นอยู่ทำให้ความผูกพันในครอบครัวลดน้อยลง และกลายเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดความรุนแรง และอาจร้ายแรงถึงขั้นลงมือฆ่าพ่อแม่พี่น้องของตัวเองอย่างที่เป็นข่าวเมื่อเร็วๆ นี้
กรณีอย่างนี้มันจะมีปัจจัยร่วมเสมอค่ะ เราจะไปโทษว่าครอบครัวว่าเลี้ยงดูไม่ดีก็คงไม่ได้ หรือจะไปโทษสภาพสังคมก็คงไม่ใช่ กรณีนี้คงเป็นปัจจัยหลายๆ อย่างที่ ร่วมกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นตัวบุคลิกของเขาเอง แนวโน้มวิธีคิดของตัวเขา วิธีการดูแลของพ่อแม่ที่ทำให้เขารู้สึกแปลกแยกออกไปจากครอบครัว แล้วก็ไม่ผูกพันไม่เชื่อมโยงกับ คนในครอบครัว มันถึงจะผลักไปสู่ความคิดที่รุนแรงแบบนั้นได้
แต่เหตุการณ์ที่เป็นข่าวมันก็เป็นการส่งสัญญาณว่าอาจจะมีกรณีอย่างนี้อีกที่รอปะทุอยู่ หลังจากที่ปะทุขึ้นมาให้เราเห็นในสองครอบครัว ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่ายังมีครอบครัว ไหนที่เข้าเงื่อนไขอย่างนี้อีกไหม เด็กที่มีบุคคลิกบางอย่างแล้วไปเจอกับพ่อแม่กับวิธีการเลี้ยงดูบางอย่างที่ไปส่งผลเสริมต่อกันให้เกิดความรุนแรง
-การให้ความสำคัญกับวัตถุมากเกินไปเป็นสาเหตุหนึ่งด้วยไหมคะ
อันนี้ก็เป็นอันหนึ่งที่เราพบในสถานการณ์เกี่ยวกับเยาวชนอยู่แล้ว เพราะเวลาเขาอยู่ในสื่อ เรื่องบริโภคก็เป็นอีกเรื่องที่ส่งผลต่อเด็กมาก เรื่องแบบนี้มีการศึกษาเกี่ยวกับเซลฟี่ด้วยนะ เขาบอกว่าเด็กไม่ได้ดูแค่ภาพที่ปรากฎ แต่เขาดูพร็อพ อุปกรณ์ต่างๆ ที่อยู่ในภาพด้วย ซึ่งผลก็คือเขาจะมีความรู้สึกเรื่องผิวพรรณ เรื่องหน้าตา รวมถึงข้าวของที่ อยู่ในภาพ มันจะส่งผลต่อความต้องการสิ่งเหล่านี้ด้วย เช่น บางคนถ่ายรูปในห้องบอกว่าเป็นห้องส่วนตัว แต่ว่าเป็นห้องแบบกว้างขวางหรูหรา ก็มีผลต่อคนอื่นที่เข้ามาดูแล้วคิด ว่าเขาไม่ได้อยู่ในห้องแบบนี้ที่มีทุกอย่าง อันนี้ก็เป็นผลกระทบส่วนหนึ่ง คือเรื่องการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ทำให้เขาเข้าใจว่าคนอื่นมีความสุขกับการได้อยู่ภายใต้สิ่งเหล่านี้ ในห้องนอนมีของใช้ทันสมัยมีทุกอย่าง เข้ามหาวิทยาลัยก็ได้รถ
คือจริงๆ เมื่อก่อนมันก็มีการเปรียบทียบในลักษณะนี้ แต่ปัจจุบันความถี่มันเพิ่มมากขึ้น จากเพื่อนแค่ไม่กี่คน แต่ถ้าเราอยู่ในโซเชียลมีเดีย ภาพความถี่ก็เพิ่มสูงขึ้น มันก็เห็นสิ่งเหล่านี้มากขึ้น หลายอย่างมันจะถูก generalise ไปกลายเป็นว่าใครๆ ก็มีกัน ความจริงก็อาจจะยังเหมือนเดิมแหละ มันอาจจะเป็นแค่คนไม่ถึงสิบเปอร์เซนต์ที่เป็น แบบนี้ แต่ในโซเชียลมีเดียภาพบางอันมันถูกขยายใหญ่ขึ้น ภาพบางอันมันอาจจดูเล็กลง เพราะมันไม่ปรากฎในพื้นที่ที่เขาเข้าไป เขาก็อาจจะไม่รู้เรื่องอีกเรื่องเลย นึกออกไหม คะ คือเรื่องบางเรื่องจะหายไปเลย แต่เรื่องบางเรื่องกลายเป็นเรื่องสำคัญเพราะมันเข้ามาเยอะ เพราะว่าเขาไม่เปิดรับข่าวสารแบบหลากหลาย อยู่ในวงจำกัด มันจะเกิดทั้งสองฝั่ง มีทั้งที่ไม่รับรู้อะไรบางเรื่องเลย แล้วก็รับรู้อะไรบางอย่างที่ผิดไปจากภาพความเป็นจริง
-ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางสังคมแบบนี้คุณหมอมีคำแนะนำอย่างไรคะ
เราต้องทำให้เด็กมีความเข้มแข็งทางจิตใจมากขึ้น ครอบครัวเป็นพื้นที่ฐานที่สำคัญ เช่นเดียวกับโรงเรียน และชุมชน คนรอบข้างต้องพยายามเข้าใจและพยายามส่ง เสริมให้เด็กได้พัฒนาตัวเองอย่างรอบด้าน ไม่ควรตีกรอบมากเกินไป
ปัจจุบันสังคมมันซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ บางอย่างควบคุมได้บางอย่างควบคุมไม่ได้ การกลับมาเข้าใจตัวเองภายในเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ ข้างนอกอาจมีการเปลี่ยน แปลงมีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้น แต่ถ้าตัวเราเองมีความมั่นคง รู้จักตัวเอง และมองไปข้างหน้าในสิ่งที่เราอยากจะเป็นเราก็จะก้าวไปได้







