แอ่วตาก เมืองหลากวัฒน์

จะมีมรดกใดเล่าที่จะทรงคุณค่าเท่ามรดกทางวัฒนธรรมที่ผสมผสานกับศิลปะการสร้างสรรค์สิ่งก่อสร้างอันละเมียดละไม เคียงคู่วิถีชีวิตของเรามายาวนาน
แม้จะไม่ได้เที่ยวบ่อยนัก แต่ฉันก็พอรู้จักเมืองท่องเที่ยวในประเทศไทยอยู่บ้าง แต่สำหรับจังหวัดตาก สารภาพตรงนี้เลยว่าไม่มีความรู้เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวในตากแม้แต่น้อย แต่เท่าที่ดูกำหนดการและค้นข้อมูลเพิ่มเติมในอินเทอร์เน็ต ฉันก็พอรู้ว่า 'ตาก' เป็นเมืองท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมขนานแท้
จากเมืองกรุงสู่เมืองตาก ใช้เวลาเดินทางราว 6 ชั่วโมง ฉันได้ยลความงามของสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ไม่น่าเชื่อว่าจังหวัดตากที่ฉันไม่เคยคิดจะไปเที่ยวและเคยมองว่าเป็นจังหวัดที่ไม่น่าเที่ยว กลับมีแหล่งอารยธรรมที่น่าศึกษาไม่แพ้เมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ในภาคเหนือ
บนถนนตากสิน มีสิ่งก่อสร้างทางความเชื่อของชาวพุทธตั้งเด่นอยู่ สิ่งก่อสร้างที่มีคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรมแห่งนี้คือ วัดสีตลาราม วัดเก่าแก่ ตั้งอยู่กลางเมืองตาก ใกล้กับตรอกบ้านจีนซึ่งเป็นย่านการค้าเก่าพ่อค้าชาวจีนในอดีต
แวบแรกที่มองฉันก็ต้องสะดุดตากับพระอุโบสถที่สร้างตามศิลปะยุโรป แต่ไม่ใช่ยุโรปทั้งหมด ยังคงพอมีกลิ่นอายศิลปะไทยผสมอยู่ เน้นสีขาวเป็นหลัก เรียบแต่ดูดี ประตูอุโบสถมีการแกะสลักลวดลายไทย ต้องบอกว่าเป็นอุโบสถที่แปลกมากเท่าที่เคยเห็นมา เพราะอุโบสถส่วนมากจะต้องสร้างตามรูปทรงแบบพื้นถิ่นของแต่ละพื้นที่
วัดสีตลาราม มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า วัดน้ำหัก เนื่องจากในอดีตหน้าน้ำหลากจะมีน้ำไหลเบนหักตรงบริเวณท่าน้ำของวัด ชาวบ้านจึงรียกว่าวัดน้ำหัก
ตื่นตากับอุโบสถแบบยุโรปอยู่พักใหญ่ ฉันและเพื่อนร่วมทริปอีก 7 คน ก็ต้องตื่นใจกับศิลปะพม่า เมื่อรถตู้ดับเครื่องยนต์ภายในเขตวัดพระบรมธาตุ อำเภอบ้านตาก วัดเก่าแก่อีกวัดหนึ่งของจังหวัดตาก ที่มีเอกลักษณ์คือพระธาตุประจำปีมะเมีย ซึ่งได้รับการจำลองมาจากพระธาตุชเวดากอง ของประเทศพม่า พระบรมธาตุนั้นเป็นศิลปะแบบล้านนา ซึ่งพระครูพิทักษ์ (ทองอยู่) ได้บูรณะ โดยสร้างเจดีย์ใหม่ครอบองค์เดิมที่มีลักษณะเป็นเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยม
บริเวณที่ตั้งของ วัดพระบรมธาตุ นั้นเดิมเป็นที่ตั้งของเมืองตากเก่า ซึ่งมีฐานะเป็นเมืองด่านหน้าที่สำคัญด้านตะวันตกของสุโขทัย อีกทั้งมีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่อยู่ใกล้เคียงกับวัดพระบรมธาตุหลายแห่ง เช่น วัดสันย่าผ้าขาว วัดโขงพระโหมด วัดโองโมงค์ วัดหนองช้างเผือก ฯลฯ และด้วยเคยอยู่ในการปกครองของสุโขทัยมาก่อนล้านนา จึงส่งผลให้สิ่งก่อสร้างภายในวัดนั้นมีทั้งศิลปะแบบล้านนาและศิลปะสมัยสุโขทัย ที่อยู่รวมกันภายในวัด ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของวัดพระบรมธาตุ
เมื่อลองนับเจดีย์ขนาดเล็กที่รายล้อมองค์พระธาตุดูก็พบว่ามีทั้งหมด 16 องค์ ซุ้มสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปอีก 12 องค์ ตัวพระธาตุมีสีทองเด่นยอดแหลม ทั้งยังล้อมรอบด้วยองค์พระพุทธรูปทั้งองค์เล็ก องค์ใหญ่จำนวนมาก การเข้าไปภายในบริเวณรอบนอกของพระธาตุต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าเสมอ แต่หากต้องการเข้าไปสักการะภายในเขตพระธาตุจะเข้าได้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น นอกจากพระธาตุแล้วยังมีหลวงพ่อทันใจ พระพุทธรูปเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ให้สักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลอีกด้วย
แดดบ่ายเริ่มอ่อนแรง ขณะรถตู้วิ่งไปบนถนนสาย 1107 มุ่งสู่ วัดป่าพระสามเงา แค่ชื่อวัดก็กระตุ้นต่อมอยากรู้ได้ไม่น้อยแล้ว วัดป่าสามเงานั้นมีเรื่องเล่าว่าเกิดจากการขุดค้นพบพระพุทธรูปสามองค์ตรงบริเวณหน้าผา โดยมีตำนานเล่าขานว่าเมื่อนานมาแล้วพระนางจามเทวีได้เสด็จผ่านหน้าผานี้ซึ่งเคยเป็นแม่น้ำเก่า เพื่อจะไปยังเมืองหนึ่ง แต่พอมาถึงบริเวณนี้ได้เกิดฝนตกหนัก จนไม่สามารถเดินทางต่อได้ ในระหว่างที่หลบฝนอยู่นั้นพระนางได้มองไปยังหน้าผาที่อยู่ริมน้ำก็ได้พบกับเงาพระพุทธรูปสามองค์นี้ปรากฏอยู่เบื้องหน้า จึงเรียกว่าหน้าผาสามเงาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เส้นทางสู่วัดป่าสามเงานั้นดูช่างคล้ายตำนานนัก เพราะขณะที่เรานั่งรถตู้ไปยังวัดก็เผชิญกับฝนกระหน่ำหนักจนต้องหยุดพักในเพิงพักข้างทาง ด้วยไม่สามารถเดินรถต่อได้ ฝนที่กระหน่ำลงมานั้นปะปนด้วยลูกเห็บขนาดใหญ่ แต่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงสายฝนก็จางลงแบบฉับพลัน เหลือไว้เพียงไอเย็นของน้ำฝน และแล้วเราก็มาถึงวัดป่าสามเงา โดยตัววัดจะอยู่คนละฝั่งกับพระสามเงา พระสามเงานั้นประดิษฐานอยู่บนหน้าผาสูง แต่วัดจะอยู่ฝั่งตรงข้ามด้านล่าง เพราะฝนที่ตกลงมาทำให้น้ำเจิ่งนองบริเวณทางเข้าวัด ฉันและเพื่อร่วมทริปจึงได้ถ่ายภาพในมุมที่แปลกไป คือถ่ายภาพวัดที่สะท้อนบนน้ำที่เจิ่งนองอยู่บริเวณหน้าวัด
แดดล่มลมตก เมื่อไม่มีแสงการถ่ายภาพเก็บบันทึกความงดงามของวัดและการเที่ยวชมความงามของศิลปวัฒนธรรมก็ต้องหยุดพักไว้ก่อน ฉันและเพื่อนร่วมทริปได้เดินทางไปพักที่บ้านพักรับรองของเขื่อนภูมิพล และทานข้าวเย็นกันที่นั่น ซึ่งมีเมนูที่ทำจากปลาเป็นอาหารจานหลัก อิ่มหน่ำสำราญทุกคนก็แยกย้ายไปพักผ่อน เพื่อเตรียมรับกับประสบการณ์ที่น่าประทับใจในวันรุ่งขึ้น
หลังจากชาร์ตพลังงานจนเต็มแล้ว เช้าตรู่ที่มีเพียงแสงแดดอ่อนๆ ฉันและเพื่อนร่วมทางก็ออกเดินทางไปยังแพที่จะนำเราไปยัง วัดพระธาตุแก่งสร้อย อยู่ห่างออกไปจากเขื่อนภูมิพลประมาณ 70 กิโลเมตร วัดพระธาตุแก่งสร้อย ตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านนา อำเภอสามเงา เป็นวัดในตำนานสมัยล้านนา อยู่่ริมทะเลสาบแม่ปิง โดยในช่วงเดือนเมษายนที่ตรงกับวันสำคัญทางศาสนาของทุกปีที่วัดพระธาตุแก่งสร้อยจะมีประเพณีขึ้นไหว้สาสรงน้ำพระบรมธาตุแก่งสร้อย ถือเป็นการทำบุญครั้งใหญ่ของวัดที่ได้รับความศรัทธาจากนักบุญจำนวนมากขึ้นทุกปี
วัดพระธาตุแก่งสร้อยนั้นเป็นสถานที่ตั้งเมืองโบราณที่มีชื่อว่าเมืองสร้อย สร้างขึ้นในสมัยเดียวกับเมืองหริภุญชัย (ลำพูน) ซึ่งเมืองสร้อยได้ถูกพม่ามาตีและเข้ายึดครอง แล้วกวาดเอาผู้คนไปจนหมด ทำให้เมืองสร้อยกลายเป็นเมืองร้างตั้งแต่นั้นมา และเมืองส่วนใหญ่ก็จมอยู่ใต้น้ำ แต่วัดพระธาตุแก่งสร้อยเป็นหนึ่งในวัดที่ยังหลงเหลืออยู่ และได้รับการบูรณะจนเป็นวัดพระธาตุแก่งสร้อยอย่างในปัจจุบัน
ชื่อพระธาตุแก่งสร้อยนั้นมีที่มา ว่ากันว่าเมื่อครั้งพุทธกาลพระพุทธเจ้าเสด็จผ่านและได้แวะพักบริเวณนี้ ชาวบ้านชาวลั๊วะ (ชาวเขาที่อาศัยอยู่บริเวณหุบเขาทั้งใกล้และไกลวัดพระธาตุแก่งสร้อย) ทราบข่าวจึงพากันนำดอกไม้และอาหารมาถวาย ซึ่งดอกไม้ส่วนใหญ่ที่นำมาถวายก็เป็นดอกไม้ที่มีในบริเวณนั้น ซึ่งก็คือดอกสร้อย พระพุทธเจ้าได้ให้เกศาไว้ จึงมีการสร้างพระบรมธาตุเพื่อเก็บรักษา และเรียกว่าพระบรมธาตุแก่งสร้อยมาจนถึงปัจจุบันนี้
ระหว่างล่องไปในทะเลสาบแม่ปิงเพื่อไปยังจุดหมาย แพที่ฉันนั่งไปนั้นเป็นแพการกุศลที่เจ้าของแพจัดขึ้นมาเพื่อทำบุญโดยเฉพาะ คนที่ลงแพจะจ่ายให้กี่บาทก็ได้ตามศรัทธา มีอาหาร เครื่องดื่ม ที่นอน และห้องน้ำพร้อมบริการ แต่หากล่องแพปกติจะคิดหัวละไม่ต่ำกว่า 1,000 บาท ขึ้นอยู่ว่ากี่วัน ค้างคืนหรือไม่ ตรงนี้จะเป็นตัวที่ใช้คำนวณค่าล่องแพรายหัว
คุณยายบุญพิศ กาแก้ว เจ้าของแพเล่าว่า แพแกเป็นแพลำแรกที่ริเริ่มล่องแพไปยังวัดแก่งสร้อย แกเริ่มต้นด้วยใจที่ศรัทธาในพระธาตุแก่งสร้อย โดยแพนี้ชื่อ 'แพพรจามเทวี' ซึ่งจามเทวีคือชื่อของพระนางจามเทวีที่เคยทำพิธีสรงน้ำพระธาตุแก่งสร้อยเมื่อครั้งอดีต คุณยายเจ้าของแพเล่าอีกว่า แต่ก่อนแกไม่สบายบ่อย แต่หลังจากที่รับพาผู้คนมาทำบุญที่วัดพระธาตุแก่งสร้อยชีวิตแกก็ดีขึ้น สุขสบายกว่าเดิม รู้สึกสบายใจที่ได้ทำบุญ อาจจะไม่รวยแต่ก็พอมีพอกิน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณยายเจ้าของแพพรจามเทวีเดินตามรอยเส้นทางของพระนางจามเทวี
แพยังเคลื่อนไปอย่างช้าๆ ล่องไปตามกระแสน้ำและกระแสลม ฉันออกเดินทางจากเขื่อนภูมิพลตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า ถึงวัดพระธาตุแก่งสร้อยเกือบห้าโมงเย็น หากนั่งเรือเร็วจะช่วยย่นเวลาเดินทางให้เหลือเพียงชั่วโมงกว่าเท่านั้น แต่ในความช้าก็ทำให้เรามีโอกาสละเลียดความงามของธรรมชาติได้นานยิ่งขึ้น ซึ่งการสัญจรทางน้ำดูจะมีความปลอดภัยและสะดวกสบายกว่าบนบก แม้จะไม่มีสัญญาณจราจรใดๆ บนผืนน้ำ แต่ก็ไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น
แพล่องไปบนผืนน้ำที่โอบล้อมด้วยภูเขา หากไม่บอกว่าที่นี่คือตากฉันคงคิดว่ากำลังเที่ยวต่างประเทศสักประเทศหนึ่ง แล้วความคิดนี้ก็ไม่ได้เกิดแค่กับฉัน เมื่อมีเพื่อนร่วมทริปคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “นึกว่าอยู่ประเทศทิเบต” คงด้วยความสวยของภูเขาที่เรียงรายสลับซับซ้อนกันไปมา แม่น้ำสีเขียวอมฟ้า มองไปบนภูเขาก็เห็นยอดเจดีย์ สิ่งปลูกสร้างทางความเชื่อของมนุษย์ ทั้งพระนอนขนาดใหญ่กลางหุบเขา เจดีย์เล็ก-ใหญ่ ที่นี่คือเมืองพุทธ เมืองแห่งธรรมะ ดินแดนวัฒนธรรมประเพณี ไม่ว่าใครถ้าได้มาสัมผัสเชื่อว่าคงหลงใหลในมนต์ขลังของแดนดินนี้เป็นแน่
แพล่องพ้นช่องแคบของทะเลสาบ พร้อมปรากฏภาพเบื้องหน้าที่ดึงให้สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังสิ่งปลูกสร้างที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า เจดีย์สีทองโดดเด่นกลางหุบเขายามแล้ง ม่านหมอกที่ลอยละล่องบางๆ ปกคลุมอย่างสม่ำเสมอ จนฉันเกิดความรู้สึกเหมือนว่านี่คือสวรรค์บนดิน กอปรกับพระอาทิตย์ที่หรี่แสงจวนจะลับหุบเขา พอถ่ายภาพออกมาแล้วเหมือนอยู่ในเมืองแห่งมนต์ขลัง ที่เปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์แห่งศรัทธาของชาวพุทธ
การทำความดีนั้นยากกว่าการทำความชั่ว เห็นทีจะเป็นจริงดังว่า เพราะพระธาตุแก่งสร้อยนอกจากจะอยู่ไกลแล้ว ยังมีทางขึ้นไปสักการะพระธาตุฯที่ไม่ราบเรียบนัก ถ้าเดินไม่ระวังอาจมีเป็นแผลกันบ้าง พอแพเทียบท่าก็มีการจัดขบวนเดินขึ้นไปยังวัดพระธาตุแก่งสร้อย ซึ่งส่วนหนึ่งของขบวนจะเป็นขบวนเครื่องไทยทานที่จะนำไปถวายพระสงฆ์ ยายเจ้าของแพพรจามเทวี เล่าเสริมว่า อาหารที่จะถวายเป็นไทยทานนั้นจะเน้นอาหารชื่อเป็นมงคล อย่างขนมหวาน 9 อย่าง เช่น ขนมถ้วยฟู ทองหยิบ ทองหยอด ขนมตาล ขนมชั้น ซึ่งในแต่ละปีจะใช้ขนมไม่ซ้ำกันแล้วแต่จะหาได้ ส่วนอาหารอย่างอื่นก็จะเป็นผลไม้ เช่น กล้วยน้ำว้า ขนุน เพื่อจะได้หนุนพระพุทธศาสนา ที่สำคัญคือ 'ข้าวทิพย์' ที่จะต้องให้หญิงสาวบริสุทธิ์ทำเท่านั้น โดยเครื่องไทยทานเหล่านี้จะถูกจัดอยู่ในรูปของหาบ 9 หาบ ตกแต่งสวยงาม
การแห่และการสรงน้ำพระธาตุจะมีชาวเขาที่อยู่บริเวณนั้นออกมาร่วมทำบุญสรงน้ำพระธาตุทุกปี และกินข้าวร่วมกันกับชาวบ้านพร้อมทั้งนักบุญที่เดินทางมาร่วมพิธี มีการนิมนต์พระจากวัดต่างๆ เข้ามาร่วมพิธีจำนวนไม่ต่ำกว่า 200 รูป ที่สำคัญน้ำที่จะนำมาสรงน้ำพระธาตุจะไม่ใช่น้ำธรรมดา แต่เป็นน้ำจากบ่อน้ำเลี้ยงศักดิ์สิทธิ์ของพระนางจามเทวี ยายบุญพิศ เล่า
หากใครชื่นชอบการทำบุญในที่อันแสนสงบ ท่ามกลางธรรมชาติ ภูเขาและแม่น้ำ สถานที่แห่งนี้จะทำให้คุณรู้สึกเต็มอิ่มด้วยแรงศรัทธา ส่วนคนที่รักการถ่ายภาพทิวทัศน์สวยๆ โดยเฉพาะจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่งดงามไม่แพ้ที่ไหน รับรองว่าเห็นแล้วต้องอดไม่ได้ที่จะลั่นชัตเตอร์ชุดใหญ่ เพื่อสำเนาภาพประทับใจในเสี้ยววินาทีนั้นไว้อย่างแน่นอน
ที่สำคัญบริเวณนี้ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ มันจึงเป็นสถานที่ที่สงบและทำให้เราได้หยุดอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอย่างแท้จริง







