คิวข้า.. ใครอย่าแตะ!

คิวข้า.. ใครอย่าแตะ!

ความอลหม่าน หน้าม่านบันเทิงไทย ในยามที่หน้าจอโทรทัศน์ผุดฟรีทีวีเพิ่มเข้ามาอีก 24 ช่อง กับศึกชิงคนหน้าจอ ที่ปั้นกันไม่ทัน เลยต้องหันมาแย่งกันเอง

ลองคูณแบบง่ายๆ ด้วยจำนวนชั่วโมงออกออกอากาศขั้นต่ำที่วันละ 8 ชั่วโมง กับจำนวน 24 ช่องสถานี ก็เท่ากับว่า เราจะมีรายการให้เลือกดูมากถึง 192 ชั่วโมงต่อวันเป็นอย่างน้อย

สำหรับคนดู แน่นอน คือ มีแต่ 'ยิ้ม' เพราะมีตัวเลือกมากมาย แต่สำหรับคนทำคงเรียกว่า มีแต่ 'เรื่อง' ทั้งเรื่องยุ่ง ทั้งวุ่นวาย ดราม่าไม่แพ้ละครน้ำเน่า โดยเฉพาะช่วงเซ็ทอัพสถานี ที่เกิดการฉกชิงตัวคนเบื้องหลังที่เงินสะพัด วิ่งย้ายค่ายกันจนฝุ่นตลบ กระทั้งบุคลากรสาขานิเทศศาสตร์เกิดขาดแคลนอย่างกะทันหัน

มาถึงตอนนี้ ที่แม้จะยังอยู่ในช่วงการทดลองออกอากาศ แต่เค้าลางของศึกชิงนางในหมู่กองละคร รายการบันเทิง วาไรตี้ทั้งหลายที่หาคนมาลงหน้าจอเท่าไหร่ก็ดูเหมือนจะไม่พอ ก็เริ่มกลายเป็นอีกหนึ่งประเด็นร้อนเสียยิ่งกว่าอากาศบ้านเราเวลานี้

  • ชิงนาง หน้านา

"มันเหมือนกับหน้านาเลยล่ะ.." เสียงเปรย จากโปรดิวเซอร์ใหญ่จากสถานีวาไรตี้เจ้าหนึ่งเปรียบเทียบให้เห็นถึงภาวะขาดคนหน้าจอที่เป็นอยู่ เมื่อทุกๆ เจ้าก็มีรายการต้องผลิตกันทั้งนั้น การแย่งชิงตัวคนทำงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

โดยเฉพาะกับสถานีที่ตนเองทำงานอยู่นั้นก็ไม่ได้มีนักแสดงในสังกัดจำนวนมาก เพราะเดิมเป็นเพียงคอนเทนท์โปรวายเดอร์ แต่เมื่อมาลงแข่งในสนามวาไรตี้ซึ่งชนกันอย่างจังกับบรรดาค่ายเพลง ค่ายบันเทิงที่มีศิลปิน ดารา นักร้อง อยู่ในสังกัดจำนวนมากและผันตัวมาเป็นเจ้าของสถานีเช่นกันนั้น พฤติกรรม 'กั๊กเด็ก' ก็เริ่มเกิดขึ้น โดยไม่ยอมปล่อยให้เด็กในสังกัดไปโผล่ในช่องวาไรตี้คู่แข่งเป็นอันขาด

"จริงๆ มันไม่ใช่แค่เรื่องดาราหรอก อย่างค่าลิขสิทธิ์เพลงตอนนี้ก็ปวดหัวกันจะตายอยู่แล้ว เพราะค่ายเพลงขึ้นราคามหาโหดมาก" เขาเสริม

นอกจากปัญหาเด็กมีค่ายถูกกั๊ก ไม่ให้ไปรับงานช่องอื่น โดยเฉพาะช่องคู่แข่งแล้ว สำหรับใครที่ไม่สังกัดช่อง ก็ได้เวลาขึ้นราคากัน ชนิดไม่แคร์สื่อ

"โห.. บางคนขึ้นค่าตัวแบบน่าช็อคเลยค่ะ เคยจ้างกันคิวละ 2 หมื่น ขึ้นเป็น 6 หมื่น 7 หมื่น คือผู้จัดการดาราก็ไม่รู้นางเป็นอะไรกัน ทำเหมือนว่า ถ้านางสามารถขึ้นค่าตัวให้เด็กได้เยอะๆ เด็กนางก็จะเลอค่าขึ้นมาได้ ซึ่งมันไม่ใช่เลยไง" เป็นความเห็นถึงประสบการณ์ที่เจอมากับตัวของ กัลยา เนตรายน แคสติ้ง ไดเร็คเตอร์ ที่รับงานคัดเลือกนักแสดงให้กับกองถ่ายภาพยนตร์ต่างชาติที่มาถ่ายทำในไทยเป็นหลัก

เพราะถึงแม้จะรับงานหนัง แต่แวดวงแคสติ้ง อย่างไรก็ต้องทานข้าวหม้อเดียวกัน เพราะดาราที่ใช้ก็คือหน้าเดิมๆ ในวงการบันเทิงนี่แหละ..

ไม่ต่างกันกับข้อมูลที่ได้จากแคสติ้งกองละครค่ายใหญ่ของจอแก้วเมืองไทยรายหนึ่ง ที่บอกว่า ตอนนี้ช่อง 7 ก็ขึ้นค่าตัวให้กับนักแสดงตัวหลักๆ ราว 50 เปอร์เซ็นต์ เช่นเคยจ่ายให้ที่ 8 หมื่นบาทต่อตอนออกอากาศ ก็ขยับขึ้นมาเป็น 1.2 - 1.5 แสนต่อตอน ขณะที่ช่อง 3 เองก็ได้ข่าวว่า ปรับราคาขึ้นด้วยเช่นกัน

..ราคาสูงขนาดนี้ 'เธอ' ยังแว่วมาว่า ช่องละครน้องใหม่อย่างช่อง 8 (อาร์เอส) ก็ยอมสู้

"เพราะเขาเชื่อว่า ดารา คือแม่เหล็กของละคร ก็เลยยอมจ่ายเพื่อให้ได้ดาราดังๆ มาเล่นด้วย แต่ก็ต้องเป็นดาราที่ไม่ใช่เด็กช่องอยู่ดีนะ เพราะเด็กช่องเขาไม่ปล่อยออกมาอยู่แล้ว"

และนอกจากต้นทุนค่าตัวดาราแม่เหล็กที่สูงขึ้นแล้ว อีกปัญหาที่พ่วงมาคือ เมื่อดีมานด์มีมาก ดารา ก็รับงานมากขึ้น โดยเฉพาะคนที่ผู้จัดการคิดแต่เรื่องผลประโยชน์ ก็ย้อนกลับมาลำบากที่กองละครอีกอยู่ดี เพราะถึงจะสู้ราคาจนได้คิวมา แต่ก็ต้องมาสู้ในการ 'แย่งคิว' กันเอง

"ละครจากที่ถ่ายไม่กี่เดือนจบ บางเรื่องลากยาวครึ่งปี เพราะดาราไม่มีคิวให้ ก็ลำบากอยู่เหมือนกัน แต่คิดว่า เขาคงทำแบบนี้ได้อีกไม่นานหรอก เพราะถ้า(คิว)จะเยอะขนาดนั้น กองก็คงไม่ง้อ นอกจากจะดังจริงๆ" แคสติ้งละครเอ่ย

"เดี๋ยวนี้ กองละครเขาก็เคี่ยวมากขึ้นนะ เมื่อก่อนยังพอจะแชร์คิวกันได้บ้าง แต่เดี๋ยวนี้ โอ้โห.. ดาราแทบจะกระดิกตัวไม่ได้เลย ถ้ารับเล่นเรื่องนี้ๆ แล้ว คิวต้องเป๊ะ เขาไม่ยอมปล่อยให้ไปรับงานอื่นเลย เรียกว่า.. ขู่แฮ่ๆ เลยแหละ ซึ่งตรงนี้ก็เข้าใจเขานะ เพราะเขาเคยเจ็บตัวมาจากช่วงที่ดาราชอบหนีกองละคร อ้างว่ามีเรียนบ้าง ติดธุระบ้าง แล้วไปรับงานอีเวนท์ จนบางครั้ง ผู้จัดการกองถ่ายนั่งมอเตอร์ไซค์ตามไปดูเลยก็มี ว่า ที่จริงแล้ว เขาไปไหน สุดท้ายไปดราม่า ด่ากันกลางงานก็มี" กัลยา แถมท้าย

ทั้งนี้ ถึงจะโก่งราคา หรือ แย่งกันขนาดไหน แต่สำหรับช่องละครเจ้าหลักๆ โดยมากจะเตรียมการไว้อย่างดี ด้วยการปั้นเด็กไว้ในสต๊อค รอช้อปออกมาใช้งาน เมื่อเจองานที่เหมาะสม เพราะฉะนั้น เจ้าที่น่าจะเดือดร้อนในความเห็นของแคสติ้งละครรายนี้ เธอบอกว่า ค่ายที่ไม่ปั้นคนเอง จะประสบปัญหามากที่สุด

  • สงครามโมเดลลิ่ง

ไม่ใช่เฉพาะ 'ตัวเอก' เท่านั้นที่คิวทอง เพราะขาดแคลนยิ่งกว่ากลับเป็นนักแสดงสมทบ ไม่ว่าจะบทพ่อ แม่ ตัวตลก ทั้งหลาย เรียกว่า รับงานกันกระจาย..

"เอาจริงๆ นะ พี่ยังอยากไปเล่นบทแม่เลย งานเยอะมากก(เน้นเสียง) คิวนางแน่นไม่ใช่ย่อหย่อนนะจ๊ะ บางคนเยอะยิ่งกว่านางเอกเสียอีก" กัลยา เล่าขำๆ

แต่ต่อให้รับงานเยอะจนแน่นขนาดไหน ดาราที่เล่นได้ และมีอยู่ตอนนี้ ก็ยังถือว่า ไม่พอกับความต้องการอยู่ดี จนหลายๆ คนฟังธงว่า นับจากนี้ เราจะได้เจอดาราเก่าๆ หวนกลับคืนสู่หน้าจออีกไม่น้อย

แต่ข่าวร้ายก็คือว่า ต่อให้ดึงรุ่นป้า น้า ยาย กลับมา ก็ยังไม่พออยู่ดี เพราะฉะนั้น ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ จึงลามไปสู่ 'สงครามโมเดลลิ่ง' ไปโดยปริยาย

'โกโก้' นิรุณ ลิ้มสมวงศ์ โมเดลลิ่งรุ่นใหญ่ ซึ่งปั้นดาราระดับซูเปอร์สตาร์มานักต่อนัก ยอมรับว่า ตอนนี้หาเด็กยากขึ้นมาก คู่แข่งเยอะ

"เด็กบางคนเห็นใน IG หน้าตาก็ยังเฉยๆ คนฟอลโลว์ก็ไม่ได้มากมาย แต่มีผู้จัดการแล้วนะ" ผู้จัดการคนดังเอ่ย

และบอกว่า แม้การแข่งขันจะสูง แต่ก็ยอมรับว่า ผลพวงจากจำนวนช่องที่มากขึ้น ก็ทำให้ความต้องการใช้ดารามีความหลากหลายมากขึ้นตามไปด้วย

"เดี๋ยวนี้ดีมานด์หลากหลายมากขึ้น อย่างเมื่อก่อน ถ้าจะส่งเด็กให้ช่อง 7 ก็จะต้องหน้าไทยๆ หน่อยนะ ส่งช่อง 3 ก็ต้องหาเด็กลูกครึ่ง แต่เดี๋ยวนี้ มีดีมานด์ลงลึกไปถึงแบบ คู่เกย์ คู่จิ้น กันเลย มองอีกมุม มันก็เปิดตลาดให้กว้างขึ้น มีเด็กเข้าวงการได้มากขึ้น ซึ่งจะดีหรือไม่ดี มันก็ขึ้นอยู่กับโมเดลลิ่งเอง ว่า จะขยันหาเด็กหรือเปล่า และถ้าเจอเด็กที่ถูกใจแล้ว เราก็ต้องมีแรงจูงใจอื่นๆ เช่นการดูแล เตรียมตัวก่อนเอาไปเสนอช่อง อย่างตัวพี่จะเน้นเรื่องนี้ เด็กคนไหนพูดไม่ชัด ก็ส่งไปเรียนภาษาไทยก่อน ไปเรียนแอ็คติ้งให้เด็กพร้อมที่สุดก่อน ซึ่งบางโมฯ เขาก็ไม่ให้ตรงนั้น เด็กต้องทำเอง" โกโก้ เล่า

นอกจากโมเดลลิ่งที่แข่งขันสูงแล้ว ในส่วนของธุรกิจแคสติ้งเอง ก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

"พวกที่เคยทำแคสต์งานโฆษณา ก็หันมาจับงานละครมากขึ้น" แคสติ้งละครเจ้าเก่าเอ่ย พร้อมฟันธงว่า งานนี้ไม่ใช่ใครก็ทำได้ เพราะงานหนังโฆษณา กับ ละครต่างกันอย่างสิ้นเชิง การจะหาคนหน้าตามีแคแรคเตอร์มาพูดไม่กี่ประโยคในโฆษณาไม่ใช่เรื่องยาก แต่จะหาคนที่มี 'แวว' มีความสามารถ เล่นละครได้นั้น เธอถือว่า ปราบเซียนกว่า

เมื่อบรรดาผู้ผลิตเปิดแคสต์งานบ่อยขึ้น โมเดลลิ่งทั้งหลายย่อมต้องวิ่งวุ่นหาคน ปั้นคนกันยกใหญ่ กลายเป็นการเพิ่มดีกรีความโหด มัน ฮา ให้กับวงการโมเดลลิ่ง

"พวกโมฯ โกโรโกโส ก็เยอะมาก เกิดมาเพื่อทำลายล้างวงการเลยแหละ แถมบางเจ้าก็มาเปิดโรงเรียนการแสดง อุปโลกน์ตัวเองเป็นครูสอนการแสดง แต่สอนเด็กไม่ได้คุณภาพ เด็กที่มาก็โดนหลอก เพราะคิดว่า มาเรียนแล้วจะได้เข้าวงการ ก็กลายเป็นเสียเงินฟรี พอเขาบอกต่อๆ กัน ก็เจ๊งปิดตัวไป แต่ไม่นาน ก็อวตารมาเปิดใหม่ ในชื่อใหม่ เอากับมันสิ" กัลยา ยกตัวอย่าง

แต่ปัญหาโมเดลลิ่งไก่กา ไร้ความน่าเชื่อถือ ไม่ได้ส่งผลเสียแค่ เรื่องเงินเท่านั้น เพราะอาจบานปลายไปถึงการหลอกฟันเด็กได้อีกด้วย ซึ่งในประเด็นนี้โกโก้เองก็ยืนยันว่า ไม่ใช่ไม่มี และไม่ใช่แค่โมเดิลลิ่งมั่วๆ เท่านั้นที่เป็นอันตราย เพราะแม้กระทั่งผู้จัดละคร ผู้กำกับละครเองก็ มีความเป็นไปได้ที่จะคิดไม่ซื่อ

แน่นอนว่า อยากดังไม่ใช่เรื่องผิด แต่หากตัดสินใจผิด อาจไม่ใช่แค่เสียเวลา โกโก้ เลยแนะว่า ที่ควรทำ คือ การดูแลให้รอบคอบในการเลือกเข้าโมเดลลิ่ง หรือทำงานกับบริษัทผู้ผลิตที่น่าเชื่อถือ และถ้ามีโอกาส ก็ควรจะสอบถามจากคนในวงการร่วมด้วยเพื่อจะได้ข้อมูลที่ตรงความจริงที่สุด

0 0 0 0 0

..ผลพวงจากจำนวนสถานีฟรีทีวีที่เพิ่มขึ้น 4 เท่าตัว จนฝุ่นตลบไปทั่วทั้งหน้าจอ หลังจอบันเทิงไทยนั้น ในความเห็นของโปรดิวเซอร์รายเดิม มองว่า ที่สุดแล้ว ทุกอย่างจะกลับคือสู่ความ 'สมดุล' ด้วยหลายๆ ปัจจัย ที่จะเขย่าให้ 'ตัวจริง' เท่านั้นที่จะอยู่ได้ ไม่ว่าจะสถานีตัวจริง หรือกระทั่งดารา คนหน้าจอตัวจริงเท่านั้น ที่จะอยู่ได้ในระยะยาว โดยมีกรอบเวลา 4-5 ปีเป็นช่วงวัดผลว่า ใครจะอยู่ หรือ ไป

ขณะที่ 'สถานี' มีสายป่าน และเงินทุนเป็นตัวแปร แต่สำหรับ 'คนหน้าจอ' นั้น ในความเห็นของแคสติ้งหนังนอกอย่าง กัลยา เธอบอกว่า สถานะ 'มืออาชีพ' เท่านั้น ที่จะทำให้อยู่ได้อย่างดี จากที่เคยโก่งราคา รับคิวเยอะจนแน่นเอียดจนคนทำงานต้องวุ่นวาย แถมยังส่งผลให้การถ่ายทำต้องยืดเวลาออกไปนานขึ้นเนื่องจากคิวอันน้อยนิด สุดท้ายแล้ว กองละครก็จะเอือม และหันไปจ้างดาราคนอื่นแทน

ส่วนทางรอดของ 'ผู้ผลิตละคร' โดยเฉพาะหน้าใหม่ ถ้าเงินไม่หนา เด็กในสังกัดไม่มาก หรือไม่มีเลยนั้น ในมุมมองของแคสติ้งละครค่ายใหญ่ที่จับงานมาเป็นสิบปี เธอ แนะว่า อย่าคิดจะใช้ดาราดังเป็นแม่เหล็ก เพราะไม่มีทางสู้รายที่ทำมาก่อนได้

..แต่ที่ควรจะหันไปเน้นให้มาก คือ การซื้อลิขสิทธิ์บทละครดีๆ มาตุน จ้างผู้กำกับ และคนเขียนบทเก่งๆ มาร่วมงานด้วย เพื่อสร้างคอนเทนท์ให้แข็งแกร่งนำหน้าดาราแม่เหล็ก ซึ่งแม้จะเป็นสูตรสำเร็จ แต่ก็ใช่ว่าจะสำเร็จเสมอไป.