อาบจันทร์...บนตาจอ

ต้องยอมรับว่ากว่าจะขับรถเข้ามาจนถึง บ.ช้างเชือก ต.เหล อ.กะปง จ.พังงา ที่ตั้งของกลุ่มรักษ์ภูตาจอก็เล่นเอาผมงงทางไปหมด
ชุมชนย่านนี้ดูจากสภาพบ้านเรือน การตั้งชุมชน รวมทั้งร่องรอยอะไรหลายอย่าง ผมฟันธงว่าน่าจะเป็นชุมชนที่เกิดมาจากการทำแร่ที่เคยเฟื่องฟูในอดีต ที่นี่ถ้าใครอยากจะขึ้นภูตาจอ และไม่มีรถ 4 WD มา ก็ต้องมาเช่ารถเอาที่บ้านช้างเชือกนี้ เขามีชมรมรักษ์ภูตาจอพาบริการขึ้นเขา แต่ครั้งนี้ ผมนัดหมาย “ดำ” ทัศนัย สูน้าหู หัวหน้าหน่วยพิทักษ์ป่าภูตาจอให้มารอรับที่ชมรม ส่วนผมต้องจอดรถคันเก่งไว้ข้างล่าง เพราะคิดว่าสภาพรถปิกอัพคงขึ้นภูตาจอไม่ไหว
ภูตาจอนั้น เป็นส่วนหนึ่งของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนปริวัตรที่รู้จักกันมานาน สภาพป่าเหมือนป่าดั้งเดิมของทางใต้ คือต้นไม้สูงใหญ่ เบียดเสียด ไม้ระดับล่าง เถาวัลย์หนาแน่น แสงแดดแทบแทงแสงลงมาไม่ถึงพื้นแม้จะเป็นหน้าแล้งก็ตามที ไม้ไม่มีการผลัดใบเพราะไม่ต้องลดการคายน้ำ น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ ป่าแบบนี้แหละถึงเรียกได้เต็มปากว่าป่าต้นน้ำ ป่าที่ให้กำเนิดน้ำ
ทางถนนที่เข้าไปในป่า ค่อยๆ ขึ้นเขาไปเรื่อยๆ บางช่วงก็ชัน ดินมีกรวดปน ซึ่งดินแบบนี้แหละถ้าเป็นหน้าฝนละคุณเอ๊ย...รถ 4 WD ได้ดิ้นกันสะบัด แล้วจะรอดหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ได้ดิ้นกันเหนื่อยแน่
ป่าบางช่วงผมแอบเห็นสวนยางพารา แทรกในผืนป่า บางช่วงเห็นการแอบถางป่าไผ่รอเปิดหน้าดิน อุตส่าห์แอบกัด “ดำ” ว่าไหนรักษาป่าได้ดี ทำไมมีสวนยางพาราแทรก
“เขตป่าสงวนครับพี่ ไม่ใช่ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเรา”
เฮ้ย...บ้าไปแล้ว นี่ขนาดขับรถขึ้นเขามาเป็นกิโลๆ ยังไม่ใช่เขตรักษาพันธุ์อีกเหรอ การทำงานที่ต่างคนต่างก้าว ดูๆ ก็แปลกดีจนไม่น่าเชื่อว่านี่คือหน่วยงานราชการด้วยกัน ซึ่งผมเข้าใจเลยเพราะถ้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าจะมีกฎหมายบังคับเฉพาะของเขาที่บังคับใช้อย่างเข้มงวด เราจึงเห็นมีพนักงานพิทักษ์ป่า นอนเฝ้าป่า เดินลาดตระเวนในป่า แต่ป่าสงวน จะใช้กฎหมายป่าสงวนธรรมดา ซึ่งแม้จะมีหน่วยป้องกันป่าฯเหมือนกัน แต่กันเฉพาะที่อยู่รอบๆหน่วยฯ พอห่างไปก็ถางกันเหี้ยน ผมก็แปลกใจว่าทำไมทางเขตรักษาพันธุ์ไม่ขอผนวกป่าด้านนอกซะเลย “เขาไม่ให้..มันคนละกรมกัน” จบการสนทนา...ผมไม่มีอารมณ์สนทนาต่อเอาดื้อๆ
หน่วยพิทักษ์ป่าภูตาจอตั้งอยู่กลางป่า เพิ่งสังเกตว่ามีรั้วลวดหนามล้อมรอบจริงๆ กั้นแบ่งให้รู้หมุดหมายกัน พื้นที่เขตรักษาพันธุ์เริ่มต้นตรงนี้ บ้าไปแล้ว ขับรถเข้าป่ามา 6 ก.ม. เพิ่งจะเข้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าจริงๆ ป่าที่ผ่านมาคือป่าสงวน เอวัง...นี่ใครจะมาเป็นรัฐบาลใหม่ ช่วยเอาไอ้กรมอุทยานฯกับกรมป่าไม้มานั่งคุยเนื้องาน คุยหน้าที่กันสักทีดีไหม แล้วเอากันให้ชัดว่าใครจะทำอะไร คุยกันไม่รู้เรื่องก็ยุบไปสักกรม ใครก็อยากเป็นอธิบดี ใครก็อยากได้ซีสูงๆ เลยแยกไปอีกกรมจะได้แบ่งๆ กันนั่ง แต่งานการไม่ได้เรื่อง ปัญหาจึงอย่างที่เห็น
ตรงหน่วยฯภูตาจอนี้จะมีน้ำตกเล็กๆ ที่ตกลงมาจากหน้าผาสูงราว 20 เมตร ไหลอยู่ตลอดปี แม้กระทั่งหน้าแล้ง แต่พอไหลๆ มาก็จะซึมหายไปในดิน แล้วอาจจะไปโผล่ที่ใดสักที่หนึ่งด้านล่าง ป่าไม้สูงใหญ่ล้อมรอบหน่วย เสียงชะนีร้องโหยหวนไปทั้งป่า ใครชอบสงบๆ คงถูกใจที่นี่
ยอดภูตาจอห่างจากหน่วยนี้ขึ้นไปราวๆ 7 กม.โดยประมาณ ระหว่างทางมีน้ำตกโตนต้นหมาก ที่เดินลงไปอีกราว 500 เมตร เป็นแก่งน้ำกว้างและลานหิน ผาน้ำตกสูงราว 5 เมตร แต่น้ำใสเหลือเกิน วักดื่มกินจืดสนิท เสียแต่มีท่อเหล็กขนาดใหญ่ขึ้นสนิม เกะกะหน้าน้ำตก นั่นคือผลพวงมาจากการทำเหมืองแร่ในอดีต ถนนทั้งหมดที่เราอาศัยเดินทางนี้ก็มาจากการทำเหมืองแร่จากบนยอดภูตาจอนั่นเอง
แม้จะเป็นกลางเดือนมีนาคม แต่บัวผุดก็กำลังตูมรอเวลาเบ่งบาน ขนาดยังตูมๆ ขนาดก็ย่อมกว่าลูกฟุตบอลไม่มาก บัวผุดเป็นดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นพืชเบียนที่ต้องอาศัยเถาวัลย์เติบโต แบบเดียวกับกระโถนฤาษี แม้จะรู้ว่ามีมากในป่าทางแถบนี้ แต่ก็ใช่ว่าจะได้พบเห็นบ่อยๆ ลูกที่เห็นนี้กลางเดือนมีนาคมยังตูม ผมว่าอีกเกือบเดือนนั่นแหละกว่าที่มันจะบาน
ผมชื่นชมกับพันธุ์ไม้ระหว่างทาง ทั้งดงเฟิร์นต้น หรือมหาสะดำที่ขึ้นกันจนเป็นป่าใหญ่ ข้างทางเริ่มเห็นบัวแฉกขึ้นหนาตา ทั้งมหาสะดำและบัวแฉกทั้งคู่คือพืชโบราณในยุคไดโนเสาร์ครองโลกที่ถูกส่งต่อเผ่าพันธุ์จนมาปรากฏกายให้เห็นในยุคนี้ นี่ยังไม่นับรวมดงหม้อข้าวหม้อแกงลิง ดงยี่โถปีนังที่กำลังออกดอก ฯลฯ ผมเพลินกับต้นไม้บนป่าภูตาจอ จนลืมนึกไปว่าคนขับรถกำลังประคองรถไปบนทางอันทรหดให้ไปถึงจุดหมายปลายทางได้ปลอดภัยนั้น ต้องใช้ความสามารถขนาดไหน
แล้วยอดภูตาจอก็ปรากฏเบื้องหน้า พื้นที่ที่หลงเหลือมาจากการทำเหมือง มีร่องรอยการขุดตัดหน้าดิน บ่อน้ำขนาดใหญ่ที่เคยใช้ในกิจการเหมืองยังมีน้ำอยู่มาก พลอยให้คนเดินทางได้ใช้เมื่อมาพักแรม ซากรถจิ๊ฟขึ้นสนิมจอดอยู่ข้างทาง ก่อนนั้นมันคงเคยแล่นไปในทุกขุมเหมืองย่านนี้ มาบัดนี้เหมืองแร่เลิกไปหลายสิบปี ธรรมชาติเริ่มกลับมาชนิดเมื่อเราอยู่กันเงียบๆ ก็เห็นเก้งเดินออกมาเยี่ยมถึงลานกางเต็นท์โดยไม่ตื่นกลัว ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องทะเลหมอกตลอดทั้งปี อากาศเย็นจนค่อนข้างหนาวแม้ในหน้าแล้ง จุดชมทิวทัศน์ของป่าเมืองพังงาที่สมบูรณ์ พระอาทิตย์ขึ้นและตกที่งามตา ใครจะมาค้างแรมคงต้องเป็นแบบแค้มปิ้งอย่างเดียว หอบที่นอน อาหารมาทำกินด้วย
ก่อนอาทิตย์จะลับฟ้า ผมเดินขึ้นไปบนเนินสูงสุดบนยอดภูตาจอ ภาพป่าหนาทึบเบื้องหน้านั้นสวยงามเหลือเกิน ภูเขาทางฝั่งเขาสกสลับซับซ้อน ลมยอดเขาพัดแรงจนเดาได้ว่าถ้าแบบนี้เช้าขึ้นมาไม่มีหมอกให้ดูแน่นอน ลมพัดแรงจนไม้เล็กๆ ที่มีธงชาติผูกติดบนยอดล้มลง จนผมต้องยกขึ้นมาตั้งใหม่แล้วเอาหินมาทับโคนเสาเพิ่มความมั่นคงให้เสาธงสู้ลมแรงได้อีกครั้ง
กลางคืนกลางเดือนมีนาคมที่ผมไปเยือนอากาศเย็นสบาย พระจันทร์นวลตา สว่างไปทั้งยอดเขา เสียงนกกลางคืน เสียงเก้ง นานๆ ร้องแทรกความเงียบขึ้นมาสักครั้ง มีแต่เสียงธงชาติที่สะบัดไหวสู้ลมยอดเขาที่ดังตลอดเวลา
ผมนอนยิ้มกริ่มเมื่อนึกถึงธงชาติที่โบกสะบัดบนยอดภูตาจอ ประเทศเราสวยงามออกอย่างนี้ จะปล่อยให้ล้มไปได้อย่างไร มีแต่เราเท่านั้น ที่ต้องช่วยกันดูแลประเทศนี้....
......................................................
(สอบถามรายละเอียดการเดินทางไปภูตาจอที่ ททท.สำนักงานพังงา โทร. 076-481-900-2 หรือ ทัศนัย สูน้าหู โทร. 087-024-9260,093-690-2615)




