ชีวิต&ตัวตน 'ป๊อป-อารียา'

เพราะรู้จักตัวเองตั้งแต่วัยเด็ก จึงไม่ได้หลงใหลไปกับกระแส
ชื่อของ ป๊อป-อารียา สิริโสภา นางงาม นางแบบ ผู้กำกับภาพยนตร์ นักเขียน ฯลฯ เป็นที่รู้จักเป็นอย่างดี ปัจจุบันเป็นครูสอนโยคะ และมีโปรดักชั่นเฮ้าส์ของตัวเอง เมื่อเร็วๆ นี้เธอได้ร่วมพูดคุยในวงเสวนา ธรรมมาหากิน ร่วมกับ เดชา ศิริภัทร ในงานวัดลอยฟ้า ญาณสังวร 101 จิตตนคร ที่สยามพารากอน
ในเรื่องการทำมาหากิน ป๊อป-อารียา บอกว่า ไม่รู้จะบอกยังไงดี ถ้าถามว่า อาชีพของเราเป็นอะไร ขอบอกว่า เป็นนักเรียน เพราะคนเราต้องเรียนรู้ตลอดเวลา ตอนเรียนโยคะ ก็เรียนรู้ที่จะรักษาตัวเอง ดังนั้นเราก็เลยมีสองอาชีพคือ นักเรียนและครู
"เราเคยเป็นนางแบบ เป็นผู้กำกับ ถ้าจิตเราไม่นิ่งพอ ก็จะหลงไปกับโลกมายา ตอนที่เข้าวงการใหม่ๆ ในช่วงแคสติ้ง ก็มีคนติเรา ประมาณว่า เธออ้วนเกินไป ผอมเกินไป แก่เกินไป ทำไมผิวเข้มไป ขาวไป ซึ่งเราเคยอยู่ในสังคมตะวันตก พวกเขาไม่ติแบบนั้น ที่สำคัญคือ แก่นของเราเป็นอะไร เราต้องรู้ จะชมหรือติ เราต้องไม่สนใจ" ป๊อป เล่าและแสดงทัศนะต่อว่า
"ถ้าจะอยู่ในวงการมายา ไม่ว่าข่าวดี ข่าวร้าย ขอให้เป็นข่าวก็ขายได้ แต่เราต้องไม่สนใจ ถ้าอ่านข่าวตัวเองเยอะ ก็จะอยู่ในโลกความกลัว แม่ป็อปจะเป็นประจำ กังวล ถ้าถามว่าโลกมายาเป็นอย่างไร ต้องมองทุกสิ่งทุกอย่างเป็นมายา ไม่มีความจริง"
ถ้าเข้าใจวงการมายาก็จะไม่ตกหลุมพรางวังวนแห่งกิเลส โดยเฉพาะเรื่องความสวยความงาม ป๊อป บอกว่า เวลามีคนบอกว่า ใช้ครีมแบบนี้จะสวยขึ้นขาวขึ้น ป๊อปอยากบอกว่าไม่มีความจริงเลย เราต้องทำที่ตัวเราเอง
"ถามจริงๆ เถอะมีอะไรในโลกนี้ทำให้ไม่แก่ ยังไงคุณก็ต้องแก่และตายในที่สุด ถ้าโชคดีก็แค่ถูกรถชนทันทีไม่ต้องแก่"
เมื่อถูกถามจากพิธีกรว่า เหตุใดทำให้เธอไม่หวั่นไหวกับคำติคำชม เธอบอกว่า อาจเป็นความโชคดีของป๊อป เพราะอยู่อเมริกามานาน ตอนเด็กๆ เราก็ไม่ใช่คนสวย ไม่เคยมีใครมาชม ไม่เคยมีผู้ชายมาบอกว่า เราผอมไปหรือเก่ง พอมาเมืองไทยตกใจมาก เรายิ้มให้กล้องแล้วได้เงินด้วยหรือ นั่นจริงหรือ
"เราอาจโชคดีที่พ่อแม่คลอดเราออกมา แล้วหน้าตาแบบนี้ ทำให้สังคมยอมรับ เพราะคนเราเลือกไม่ได้ว่าจะหน้าตายังไง เราเลือกไม่ได้หลายอย่างที่เราจะเป็นแบบนี้ อย่างตอนป๊อปผ่านสี่แยกพระรามเก้า เห็นเด็กขายพวงมาลัย ก็สงสัยว่าทำไมต้องมาขายช่วงดึกๆ เพราะพวกเขาไม่ได้มีโอกาสเหมือนเรา และสิ่งที่เราได้ในชีวิตนี้ เราก็เห็นค่าสิ่งที่เราได้รับ บางคนเรียกว่าบุญ บางคนเรียกว่าดวง แล้วแต่คุณจะเรียก มันแค่บังเอิญที่เราโชคดีมาก ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เราไม่ควรเปรียบเทียบกับคนอื่น"
นอกจากนี้เธอเล่าถึงตอนเติบโตในอเมริกาว่า ถ้าเปรียบเทียบกับเด็กฝรั่ง เธอตัวเล็กมาก มาเมืองไทยกลายเป็นคนตัวโต ดังนั้่นถ้าเราอยู่ที่ไหน แล้วเราอยากเปลี่ยนให้เหมือนพวกเขา นั่นเราไม่เป็นตัวของตัวเอง เราต้องเห็นค่าของตัวเองก่อน
"ตอนที่เราเป็นวัยรุ่น ทุกคนอยากจะแต่งตัวเหมือนกัน แต่บังเอิญเราไม่เป็นที่ยอมรับตั้งแต่เด็ก เพื่อนนักเรียนที่นั่นถามอยู่เรื่อยๆ ว่า เมื่อไหร่จะกลับบ้าน พวกเขาไม่รู้ว่าประเทศไทยหน้าตายังไง ถ้าเราไม่มีจุดยืนพยายามเป็นเหมือนพวกเขา มันก็เป็นได้แค่ตัวสำรองใช่ไหมคะ พอมาเมืองไทย คนไทยก็บอกว่า ไม่เป็นไรหรอกป๊อปเป็นฝรั่ง อยู่อเมริกาเขาบอกว่า เราเป็นมาเลเซีย แล้วเราเป็นใครกัน ต้องค้นให้เจอ" เธอเล่าถึงสิ่งที่คนอื่นมองตั้งแต่เด็กๆ
เมื่อมาอยู่เมืองไทย ป๊อปโดนนักข่าวถามว่า รู้สึกยังไงที่มีคนบอกว่า เธอเป็นนางงามอินดี้ ติสต์แตก
เธอพยายาม แปลความหมายนั้นว่า คงจะหมายถึงนางงามที่เป็นตัวของตัวเอง หรือไม่มีใครเอา ไม่มีค่าย ไม่มีเพื่อน เพราะตอนที่สร้างหนัง แล้วไปเสนอตามค่ายใหญ่ หลายค่ายไม่มีใครเอา เพราะหนังไม่มีกะเทย ไม่มีคู่รัก ไม่มีแอ็คชั่น เขาว่าหนังขายไม่ได้
"ก็เลยคิดว่า ต้องเป็นอินดี้แล้วละ เพราะไม่มีใครเอา ต้องทำเอง ดังนั้นเราต้องหาตัวเองให้เจอว่า เราทำอะไรได้บ้าง เพราะความที่เราเชื่อมั่นสิ่งที่เราคิด มันมีแก่นของเรื่องที่เราทำ เมื่อเราทำไปแล้วไม่มีใครเสียหาย ทำไปแล้วมีอะไรแบ่งปันได้ เราสบายใจ ก็เลยทำ ถ้าให้ป๊อปสิบล้านหรือร้อยล้าน แล้วสร้างภาพขึ้นมา เราไม่ทำนะ เพราะเราไม่สบายใจ เราทำอะไรก็ได้ที่สบายใจ จะเรียกว่าธรรมะก็ได้ มันเป็นเรื่องจิตของเรา"
เมื่อคุยเรื่องการปฏิบัติธรรม ป๊อป บอกว่า เพราะคุณพ่อคุณแม่ปฎิบัติธรรม และจับเรานั่งสมาธิตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นต่อต้านไม่อยากนั่งเลย คุณพ่อพยายามให้นั่งสมาธิก่อนสอบ เพราะวิชาที่เรียนยากมาก พอนั่งสมาธิทำให้ดูดซับข้อมูลการเรียนได้เยอะ นอนหลับตื่นขึ้นมาก็สดชื่น
"เราก็คิดว่า การนั่งสมาธิเป็นแค่เครื่องมือทำให้เรียนหนังสือเก่งขึ้น แต่ป๊อปไม่ใช่เด็กดีอะไร ตอนนั้นก็คิดว่า สมาธิเป็นเครื่องมือพัฒนาตัวเองให้เรียนเก่ง "
ส่วนเรื่องการฝึกโยคะที่หลายคนรู้ดีว่าช่วยสร้างสมดุลให้ร่างกาย ป๊อป บอกว่า ฝึกโยคะมานานกว่าสิบปี เพราะอยากรักษาตัวเอง เนื่องจากตอนนั้นหลังเจ็บ แต่สิ่งที่ได้จากการฝึกคือ สติและการฝึกฝนให้รู้จักตัวเองมากขึ้น ก่อนฝึกโยคะจะต้องนั่งสมาธิให้จิตนิ่ง เพราะความคิดของเราจะเป็นอุปสรรค มันเป็นแค่การสมมติ มันเป็นแค่ความจำเท่านั้นเอง
"สิ่งที่เราต้องการคือ การทำจิตให้นิ่ง ผูกโยงกับลมหายใจ การที่เรานั่งสมาธิก็เพื่อที่จะทำให้กายจิตและลมหายใจเป็นหนึ่งเดียวกัน ฝึกให้คนรู้จักตัวตนของตัวเองมากขึ้น แรกๆ คนที่เข้ามาเรียนโยคะ หลายคนตามแฟชั่น มีบางคนถามว่า เล่นโยคะแล้วน้ำหนักลดไหม ต้องบอกว่า ถ้าเล่นโยคะเสร็จ ต้องมีสติในการกิน การนอน ไม่ใช่แค่โยคะสวยงาม ทำท่าสวยๆ นั่นไม่ใช่เป้าหมาย"
สิ่งที่ป๊อป ย้ำก็คือ จิตจริงๆ ต้องสวยงาม ไม่ว่าวัยไหนก็เรียนโยคะได้ และตอนนี้มีนักเรียนอายุมากสุด 65 ปี และเด็กสุด 20 กว่าๆ
"ผู้ชายก็เล่นโยคะได้ แต่ส่วนใหญ่ไม่กล้าเล่น ชอบบอกว่า โยคะเป็นศาสตร์ของผู้หญิง จริงๆ แล้วเป็นศาสตร์ของผู้ชาย ผู้หญิงเพิ่งมาเล่นได้ไม่ถึงร้อยปี ซึ่งโยคะก็คือ หลักธรรมชาติที่โยคีใช้ดัดตน และมีเรื่องธรรมะ ซึ่งป๊อปมองว่า คนเราจะทำอะไรก็ได้ เพื่อให้รู้จักตัวเองมากขึ้น จะเป็นกีฬา ดนตรี โยคะ ก็ให้จิตเราเติบโต เมื่อจิตเรานิ่ง การงานก็จะเกิด ความรู้นั้นมาจากภายนอก จากสื่อ จากหนังสือ จากครู แต่ปัญญาเกิดจากภายใน แม้กระทั่งพระพุทธเจ้าเรียนมาจากครู แต่แก่นก็คือ ทำจิตให้สงบนิ่ง เมื่อสงบนิ่งแล้ว พระพุทธเจ้าก็นิพพานได้" ป๊อป เล่า เพื่อผนวกให้เห็นว่า
"เมื่อจิตสงบ ปัญญาก็เกิด"







