อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี "อย่าหาเหตุผลให้ความเลว"

อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี

"อย่าหาเหตุผลให้ความเลว"

การเมือง ณ วันนี้...บานปลาย เพราะต่างฝ่ายต่างใช้เหตุผลอธิบายเรื่องเดียวกันในมุมที่ต่างกัน แล้วการเมืองหนุ่มคนนี้คิดอย่างไร

ในบรรดาแกนนำ กปปส. อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นอีกคนที่โดดเด่นในการปราศรัยบนเวที เขาเน้นการให้ข้อมูลมากกว่าการใช้วาจาแห่งความเกลียดชัง (Hate Speech ) นั่นหมายถึง นักกฎหมายคนนี้ต้องเตรียมตัวมาอย่างดี แม่นยำในข้อมูล มีแหล่งข่าวที่หลากหลาย เชื่อถือได้

และที่แน่ๆ เขาเป็นนักวางแผนชีวิตตั้งแต่เด็ก มีความเป็นผู้นำ เคยเป็นประธานนักศึกษานิติศาสตร์รุ่น 61 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมุ่งมั่นที่จะเป็นนักกฎหมาย หลังจากจบกฎหมายที่ธรรมศาสตร์ ก็บินไปเรียนต่อปริญญาโท ด้านกฎหมายการธนาคารและการเงิน มหาวิทยาลัยบอสตัน อเมริกา กระทั่งรับราชการอยู่ที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลังอยู่พักหนึ่ง จากนั้นโดดเข้าสู่เวทีการเมือง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอยู่สองสมัย และนั่นทำให้เขาได้รู้เห็นข้อมูลในการทุจริตหลายเรื่อง เมื่อมีโอกาสก็อยากเล่าสู่กันฟัง

ที่สำคัญคือ วิธีการเล่าบนเวที กปปส.

ด้วยลีลา จังหวะการเล่า แววตาที่แข็งกร้าว ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ หวีผมแปล้ ประหนึ่งคุณชาย และเมื่อใดนักการเมืองหนุ่มคนนี้เดินขึ้นเวที บทเพลงละครสุภาพบุรุษจุฬาเทพ ก็ดังกระหึ่ม เพื่อให้รู้ว่า นี่คือ ช่วงเวลาของสุภาพบุรุษอรรถวิชช์ กำลังจะปราศรัย บอกเล่าเรื่องราวการคอรัปชั่น ด้วยภาษาที่สั้น กระชับ ได้ใจความ ขมวดปมประเด็นชัดเจน

และนี่คือ บทสนทนานอกเวที...

คุณวางแผนที่จะเดินบนเส้นทางนักการเมืองตั้งแต่เมื่อไหร่

ตอนแรกว่าจะรับราชการก่อน แล้วค่อยลาออกมาเล่นการเมือง แต่พอมีปฏิวัติรัฐประหารก็คิดว่า น่าจะกระโดดเข้าสู่การเมือง ก็ถือว่าเป็นจังหวะดี เพราะตอนนั้นมีการถ่ายเลือดใหม่ในปีพ.ศ. 2549 หลายคนถูกตัดสิทธิทางการเมือง ก็ใช้จังหวะนั้น ผมมองว่า นักการเมืองที่ดีต้องกล้าที่จะทำประโยชน์ให้ประเทศ บางคนกล้าทำ แต่ดันโกง บางคนไม่โกงแต่ไม่กล้าเปลี่ยนแปลง ถ้าในคนเดียวๆ กัน สามารถไม่โกงและกล้าทำประโยชน์ ผมว่าประเทศไปรอด ซึ่งผมคิดว่า การเป็นนักการเมืองต้องกล้าทนต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ได้

แต่เราต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่า ต้องไม่โกง และจะไปคาดหวังให้ทุกคนเป็นเหมือนเรา...คงไม่ได้ ถ้าจะปราบปรามทุจริตให้หมดสิ้นจากเมืองไทย ผมคิดว่า ต้องเริ่มที่ตัวเรา กล้าที่จะทำประโยชน์และไม่โกงก่อน เพราะเราไม่สามารถเปลี่ยนคนอื่นได้ จึงต้องทำที่ตัวเรา ผมคิดแค่นั้น ผมไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่น ทั้งๆ ที่บางเรื่องผมเห็นว่าไม่ถูกไม่ควร แต่เราเปลี่ยนแปลงอะไรได้ไหม ถ้าไม่ได้ก็เปลี่ยนที่ตัวเรา ถ้าคิดแบบเรามากเท่าไหร่ การเมืองก็จะดีขึ้นมากเท่านั้น

นั่นเป็นอุดมการณ์ของคุณ ?

ผมมั่นใจว่า คนเราต้องมีความกล้าทำและไม่โกง ผมชัดเจนเรื่องนี้ อย่างผมเป็นนักการเมืองในสภา เรื่องที่ผมพูดแล้วลงรายละเอียด อาจเป็นเรื่องไกลตัวในตอนนั้น สังคมก็ไม่ได้รับรู้ แต่พอผมปราศรัยบนเวที ประชาชนได้รู้ ได้เห็นในสิ่งที่ผมพูด

เห็นมีคนบอกว่า คุณมีความเป็นผู้นำตั้งแต่เด็กๆ ?

สมัยเรียนธรรมศาสตร์ ผมเป็นประธานรุ่นนิติศาสตร์ ทำกิจกรรมเป็นระยะ แต่ตอนอยู่อเมริกา ผมจะรีบเรียนหนังสือ ตอนนั้นเรียนด้านกฎหมายการธนาคารและการเงิน ซึ่งต่างจากคนทั่วไปที่เรียนกฎหมายอย่างเดียว แต่ผมเรียนด้านนี้ ก็ต้องไปเรียนด้านการเงิน บัญชี ก็ต้องขยัน เพราะทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ถนัด ส่วนใหญ่นักกฎหมายจะทิ้งเรื่องการคำนวณ แต่เราชอบเรียนด้านนี้ พอไปเรียนก็สนุก จึงอยากศึกษาบริบทกฎหมายด้านการเงินเยอะๆ จบมาก็ได้ร่างกฏหมายหลายฉบับทีเดียว

เป็นนักค้นคว้าที่หาตัวจับได้ยาก ?

นิสัยนี้เป็นตั้งแต่ตอนเรียนปริญญาตรีและปริญญาโท ต้องอ่านกฎหมายหลายฉบับอยู่แล้ว จะอ่านและศึกษาลงลึกจนถึงต้นตอของสิ่งนั้น สมัยเรียนหนังสือตอนผมศึกษาเรื่องกฎหมายการเงิน ผมจะลึกลงไปอีกว่า คนเขียนหนังสือเล่มนั้น อ้างอิงถึงใคร แล้วผมก็ไปตามอ่านฉบับอ้างอิงอีก พอมารับราชการอยู่ที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เป็นงานด้านนโยบาย เวลากำหนดนโยบาย ถ้าจะไปซ้ายหรือขวา เราต้องไปให้สุด ซึ่งเหมาะกับนิสัยเราที่ชอบค้นคว้าหาต้นตอว่า เกิดจากแนวคิดอะไร ทำให้การทำงานทางการเมืองได้ลงรายละเอียดเชิงลึก ถ้าเราทำแบบผิวเผิน ประเทศจะเสียหาย ซึ่งเวลาทำงานด้านนี้ ถ้าแนวทางนโยบายเป็นซ้ายก็ซ้ายสุด หรือจะขวาก็ขวาสุด อย่าทำแบบวัวพันหลัก ตั้งแต่เรียนจนถึงทำงาน เราก็เป็นประเภทที่ว่าเจาะข้อมูลจนถึงต้นตอ

นั่นเป็นนิสัยนักกฎหมายหรือนิสัยส่วนตัว ?

สงสัยเป็นนิสัยส่วนตัว ผมเป็นคนละเอียดตั้งแต่เรื่องงานอดิเรก เพราะผมมีงานอดิเรกชอบสะสมรถโบราณ เวลาจะรื้อรถแต่ละคันมาซ่อม ผมต้องอ่านหนังสือทุกเล่มที่เกี่ยวกับรถรุ่นนั้น ผมเคยซ่อมรถคันหนึ่ง ต้องใช้น็อตหัวแฉก ซึ่งรถยนตร์บางรุ่นไม่ได้ใช้น็อตประเภทนั้นแล้ว ถ้าจะซื้อน็อตประเภทนั้นผมต้องหาในประเทศต้นตอ

เพื่อนๆ คุณที่เล่นรถโบราณ ส่วนใหญ่นำไปซ่อมในอู่รถ แต่คุณซ่อมเองที่บ้าน ?

ผมจะมีโรงซ่อมของตัวเอง เวลากลับบ้านดึกๆ ก็จะไปนั่งประกอบบางชิ้นที่มันละเอียดมาก โดยเฉพาะหน้าปัดรถ

อะไรคือ แรงดึงดูดที่ทำให้คุณหลงใหลรถโบราณ

เพราะดีไซน์และวิธีคิดของผู้ผลิตรถไม่เหมือนกัน ผมชอบศึกษาเรื่องราวและชอบที่จะขับรถและซ่อมรถโบราณ รถคันแรกผมซื้อด้วยเงินตัวเอง ผมรื้อชิ้นส่วนออกมาทั้งคันเพื่อจะประกอบใหม่ และทำไม่ได้อยู่ 10 ปี ผมเพิ่งประกอบได้ไม่กี่ปีนี่เอง เพราะตอนนั้นผมทำโดยไม่ได้ศึกษาข้อมูล เนื่องจากเป็นรถคันแรก นั่นทำให้ผมมีประสบการณ์ ถ้าเราจะทำอะไรสักเรื่อง ต้องรู้จริงรู้ลึก พอผมศึกษาอ่านหนังสือ ผมก็ประกอบเอง ซ่อมเองได้ เวลาผมซื้อรถโบราณมาประกอบใหม่ คันหนึ่งผมใช้เวลาทำไม่ถึงปี ก็เสร็จแล้ว

ส่วนใหญ่เป็นรถโบราณที่ไม่สมบูรณ์ บางคันไม่ต่างจากขยะ ?

ผมชอบซื้อรถที่มีสภาพเหมือนซาก นำมาซ่อมเหมือนการปั้นดินให้เป็นดาว บางคันเคยเป็นกรงเลี้ยงแมว บางคันเป็นที่ปลูกต้นไม้ ผมก็เอามาซ่อมใหม่ แต่ผมต้องรู้ก่อนว่า รถคันนั้นมีพื้นฐานการดีไซน์ที่ดี มีวิธีคิดในการสร้างรถไม่เหมือนรถคันอื่น ผมต้องรื้อดูว่า มันต่างกันอย่างไร ผมจะสะสมรถก่อนสงครามโลก หลังสงครามโลก และรถยุคคลาสสิก แต่ละยุคจะดีไซน์ไม่เหมือนกันเลย

มีบ้างไหมที่เพื่อนๆ ซ่อมไม่ได้ แล้วให้คุณช่วยซ่อม

มีเยอะและบ่อย เพราะเราชอบทำในสิ่งที่เขาทำไม่ได้ บางระบบซับซ้อนมาก ต้องเป็นคนที่อ่านแผงวงจรไฟฟ้าได้ เราก็พยายามเอาส่วนที่เพื่อนซ่อมไม่ได้ มาซ่อมให้ แต่ไม่ได้ซ่อมให้ใคร แค่มานั่งคุยแนะนำว่าจะทำยังไงต่อ ส่วนไหนมีปัญหา

เพราะชอบลงรายละเอียดในทุกเรื่อง ทำให้คุณเป็นนักการเมืองคนหนึ่งที่มีข้อมูลเชิงลึก ?

เพราะนิสัยส่วนตัวเป็นคนละเอียด และการเรียนกฎหมายการเงิน จำต้องใช้ความละเอียด อีกอย่างพ่อผมเป็นอัยการ และแม่ผมทำงานด้านการเงิน ผมจึงเลือกเดินสายนี้ เมื่อผมมาเป็นผู้แทนราษฎร และเป็นกรรมาธิการร่างกฎหมาย ทำให้ผมรู้กฎหมายหลายตัว เพราะประเด็นที่มีปัญหามาจากเรื่องกฎหมาย ทำให้ผมเก็บเกี่ยวข้อมูลได้เยอะ ในช่วงหนึ่งผมพูดอยู่ในสภา คนก็ไม่ค่อยได้เห็นผมมากนัก แต่ในช่วงนี้คนสนใจการเมืองมากขึ้น ตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงคนสูงวัย คนก็เลยสนใจเวลาผมพูดบนเวที

มีวิธีการค้นข้อมูล เพื่อปราศรัยอย่างไร

ถ้าจะเลี้ยวซ้าย ก็บอกว่า เลี้ยวซ้าย ถ้าจะเลี้ยวขวาก็บอกว่า เลี้ยวขวา อย่ารำวง ถ้าเราต้องการอธิบายเนื้อหาอะไรสักเรื่อง สำบัดสำนวนมากไป ก็อธิบายให้คนฟังไม่เข้าใจ บางเรื่องเนื้อหามีอยู่ไม่เกินห้าประโยค แต่คนส่วนใหญ่พูดไปเยอะแยะ ผมคิดว่าคนยุคปัจจุบัน ต้องการข้อมูลที่สั้น กระชับ เร็ว เพราะฉะนั้นเรามีข้อมูลเยอะ ก็ต้องอธิบายเร็วๆ ที่ผ่านมา กปปส.ชุมนุมจะครบห้าเดือน ยังถ่ายทอดข้อมูลไม่หมดเลย

แหล่งข้อมูลของคุณ เชื่อถือได้แค่ไหน

ผมอยู่ในวัย 36 ปีที่เพื่อนหลายคนเป็นกำลังคิดสำคัญในหลายองค์กร ผมมีเพื่อนเยอะ พอโทรไปหาเพื่อน พวกเขาจะบอกข้อมูล ผู้ใหญ่หลายคนก็ยินดีให้ข้อมูล เพราะผมไม่มีวัตถุประสงค์ในการโจมตีใคร เราต้องการแค่การปราบปรามการทุจริต หลายคนก็พยายามอธิบายกลไกให้เราฟัง เพราะพวกเขารู้ว่า ผมไม่มีผลประโยชน์ ไม่มีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนั้นเลย และที่สำคัญนิสัยแบล็คเมล์ ไม่เคยมีในชีวิต แม้จะอภิปรายไม่ไว้วางใจใครในสภา ก็ไม่เคยแบล็คเมล์ใคร เมื่อเราตั้งต้นทำความดี เพื่อนและผู้ใหญ่ก็รัก แม้ผมจะเป็นนักการเมือง แต่ผมไม่เล่นการเมืองกับคนอื่น

เพราะผมมีเพื่อนทั้งในวงราชการและเอกชน เพื่อนบางคนไม่กล้าเปิดเผยข้อมูลที่อื่นแต่ให้ข้อมูลผม ถ้าเรื่องไหนพูดไปแล้วส่งผลกระทบคนอื่น ก็ต้องคัดกรอง ต้องเอาเรื่องจริงมาพูด เรื่องที่ผมพูดทุกวันนี้ยังไม่เคยโดนฟ้องเลย เพราะเป็นเรื่องจริง ถ้าให้จริงมากกว่านั้น ผมก็ลงรายละเอียดได้อีก

มีกระบวนการตรวจสอบข้อมูลอย่างไร

ผมมีทีมทำข้อมูล 5 คน ประกอบด้วย นักกฎหมาย นักการเงิน ฝ่ายค้นหาข้อมูลและฝ่ายศิลป์ ต้องมีคนทำพาวเว่อร์พ้อย เพื่อให้คนเข้าใจง่ายๆ

ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ?

ก่อนหน้านี้คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะให้โอกาสผมเยอะ ผมเคยเป็นประธานกรรมาธิการกิจการชายแดนไทย ตอนนั้นอายุน้อยมาก และเคยเป็นกรรมาธิการชุดใหญ่ในการพิจารณากฏหมายหลายเรื่อง ผมจึงรู้ข้อมูล กระทั่งคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ไม่คิดจะเล่นการเมืองอีก ผมก็เลยเอาข้อมูลพวกนั้นมาช่วยกำนัน ถ้าไม่เอาข้อมูลมาให้ประชาชนรับรู้ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร และผมอยากตอบแทนบุญคุณคุณสุเทพที่ทำเพื่อสังคม คือ การเล่าความจริงให้ประชาชนฟัง ผมกล้าพูดเลยว่า คนที่อยู่บนเวที ผมเป็นคนที่โดนรัฐบาลหลอกมากที่สุด ตอนผมเป็นกรรมาธิการร่างกฎหมายสำคัญๆ ในการต่อรองผมก็ช่วยประสานงาน แต่พวกเขาทำเพื่อผลประโยชน์คนๆ เดียว ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่สามารถคุยต่อได้

อย่างพรบ.นิรโทษกรรม ผมนี่แหละเป็นคนเจรจาต่อรองกับพวกเขา เจรจาเสร็จเรียบร้อย วันดีคืนดีเอาคดีทุจริตคุณทักษิณ ชินวัตร ใส่เข้ามา โดยไม่ได้อยู่ในข้อตกลง อย่างนี้ก็วงแตก แทนที่จะยอมรับกติกาที่ตกลงกัน กลับเอาคดีทุจริตยัดเข้ามา หรือกรณีแก้รัฐธรรมนูญสองฉบับที่ศาลสั่งเป็นโฆษะ ผมก็เป็นคนเจรจากับฝ่ายรัฐบาล เขาก็ยังดันทุรังทำสิ่งที่ผิดกฎหมายต่ออีก พรบ.เงินกู้สองล้านล้านบาท ผมเสนอทางออกให้พวกเขาว่าจะทำอย่างไรไม่ผิดกฎหมาย พวกเขาก็ไม่เอา ถ้าเรื่องไหนมีคุณทักษิณนำหน้า หักทุกเรื่อง

กลัวถูกปองร้ายบ้างไหม

ผมไม่กลัว ทั้งๆ ที่ผมโดนหนักไม่แพ้แกนนำกปปส.คนอื่น สิ่งที่คนอื่นโดน ไม่ว่าระเบิดปิงปอง ยิ่งปืนขู่ ผมโดนมาหมด แต่ผมไม่อยากแจ้งความ ซึ่งครอบครัวผมก็ไม่กลัว พวกเขาบอกว่า เต็มที่เลย

หลายเรื่องที่คุณปราศรัย เรื่องไหนทนไม่ได้มากที่สุด

พรบ.นิรโทษกรรม เงินกู้สองล้านล้าน และจำนำข้าว เรื่องพวกนี้สุดๆ เลย ผมมองว่า นโยบายพวกนี้ใช้ไม่ได้เลย และกลไกการแก้รัฐธรรมนูญสองฉบับก็ใช้ไม่ได้ ไม่ว่ารัฐบาลชุดไหนในอดีตก็ไม่กล้าทำอะไรแบบนี้

คุณมองเรื่องต่างสี ต่างอุดมการณ์อย่างไร

กลุ่มเสื้อเหลืองก็มีคุณูปการต่อประเทศไทย อยากปราบปรามทุจริต เกลียดการทุจริตทุกรูปแบบ กลุ่มคนเสื้อแดงก็มีคุณูปการ คือ เชิดชูระบบประชาธิปไตย ทั้งสองเรื่องเป็นเรื่องที่ดี ทำให้คนตื่นรู้ แต่รัฐบาลกำลังใช้คนเสื้อแดงไปในทางที่ผิด ยกตัวอย่างการด่าศาล ใช้ปืนยิ่งศาล อันนี้ไม่ใช่ประชาธิปไตย เราก็เป็นนักวิชาการ หลักการแบ่งแยกอำนาจสามฝ่าย นิติบัญญัติ ตุลาการ และบริหาร เมื่อ 300 ปีที่มองเตส กิเออร์ ชาวฝรั่งเศส เป็นคนคิดทฤษฎีระบบประชาธิปไตย ผมจึงมั่นใจว่า คนเสื้อแดงจำนวนมากไม่เอารัฐบาล

เพราะรัฐบาลชุดนี้ไม่ได้สะท้อนความเป็นประชาธิปไตยอีกแล้ว ต่างจากตอนนั้นตรรกะที่ว่า คุณทักษิณถูกทำร้ายโดยระบอบเผด็จการ เรื่องนั้นจริง เพราะเขามาจากการเลือกตั้ง แต่คุณทักษิณไม่ใช่ตัวแทนของระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง หลายอย่างที่เห็นชัดเลยว่า ขัดขวางการทำงานของปปช. (คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ) ,ป้ายสีตุลาการ เพราะอำนาจมีสามฝ่าย ตอนนี้มีแค่ตุลาการที่ค้านอำนาจ เพราะทั้งสองฝ่ายเป็นของเขาหมด ผมคิดว่าแกนนำคนเสื้อแดง ปลุกคนเสื้อแดงไม่ติดหรอก เพื่อนผมก็เป็นคนเสื้อแดงอุดมการณ์ และยังคุยกันได้ อีกอย่างผมมองว่า ความมุ่งมั่นและจิตสำนึกที่ดีที่เราจะฝ่าไปได้ คือ อย่าหาเหตุผลให้ความเลว ถ้าเราหาเหตุผลให้ความเลว ประเทศเดินต่อไม่ได้

หากต้องหลอมรวมให้เป็นหนึ่งเดียว คุณคิดเห็นอย่างไร

ต้องทำให้เกิดความไว้วางใจก่อน ต่างฝ่ายต่างมองว่า เมื่อพูดแล้วจะทำตามที่พูด จริงหรือเปล่า แต่ผมอยากบอกว่า ทุกคนในกปปส.เอาชีวิตเป็นเดิมพัน คุณสุเทพประกาศไม่เล่นการเมือง ยอมทุกสิ่งทุกอย่าง ถอดความเป็นนักการเมืองทิ้ง มาอยู่กับประชาชน ปกตินักการเมืองมักจะเอาตัวรอด แต่วันนี้ผมเห็นนักการเมืองหลายคนทำจริง เรื่องนี้เป็นความไว้เนื้อเชื่อใจ

ปัญหาของสังคม ตอนนี้คือ คิดและตีความต่างกัน ?

เราควรเลิกแบ่งแยกด้วยสีได้แล้ว ประเทศไทยไม่มีการแบ่งแยกสีผิว เรามีสีสมมติ สีเหลือง สีแดง ถ้าเราแบ่งแยกคนด้วยความดีความเลว อันนี้แหละดีที่สุด ยกตัวอย่างถ้าคนเลวมีทนายความที่เก่ง ก็พูดไปได้ร้อยแปดพันเก้า แต่ถามว่า หัวใจหลักของเรื่องคืออะไร มันก็คือ ความดีและความเลว

ถ้าไม่เจรจา...เมืองไทยจะเดินต่ออย่างไร

ผมเป็นคนเชื่อในทฤษฎีการเจรจา ผมอยากให้เจรจา แต่เจรจาแล้ว ผมอกหักมาหลายครั้ง ในสภาเรื่องเงินกู้สองล้านล้านบาท และพรบ.นิรโทษกรรม ผมก็เป็นคนเจรจาทั้งนั้น ก็อย่างที่บอก ผมอกหักมากที่สุด โดนหลอกมากที่สุด แต่ผมก็อยากเดินหน้าเจรจา ส่วนคุณสุเทพบอกแล้วว่า พร้อมจะเจรจากับคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่ต้องเจรจาเดี่ยวๆ และถ่ายทอดสด ไม่ต้องดีเบท แต่คนไม่เจรจาคือ คุณยิ่งลักษณ์

ถ้ามีการเจรจา คุณคิดว่าต้องเป็นรูปแบบไหน

สิ่งที่ผมอยากเห็นอย่างมากคือ การตั้งรัฐบาลกลาง โดยที่นักการเมืองไม่เข้าไปเกี่ยวพัน แล้วทำหัวข้อปฏิรูปให้เสร็จภายใน 7 เดือน ส่งไปทำประชามติ ซึ่งเป็นประชาธิปไตยทางตรง เมื่อได้ประชามติเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง ใครชนะเป็นรัฐบาลก็แล้วแต่ ต้องทำตามประชามติของประชาชน ผมอยากเห็นแบบนี้

อีกฝ่ายก็กลัวว่า กปปส.จะมาจัดตั้งรัฐบาล ?

ถ้าไม่อยากให้กปปส.จัดการ รัฐบาลก็มาจัดการร่วมกัน เราไม่มีทางปฏิรูปได้ ถ้าไม่มีคนเสื้อแดง แต่คนที่ขวางการปฏิรูปคือ รัฐบาล ขนาดเรื่องการจำนำข้าว ถ้าคุณขายข้าวที่มีอยู่เยอะ คุณก็จ่ายเงินชาวนาได้แล้ว ทำไมไม่ขาย เพราะทุจริตไม่ต้องการทำสต็อคใหม่ทั้งหมด ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไรถึงจะปฏิรูปภายใต้ประชาธิปไตย เพราะนักวิชาการสายแดง คิดว่าประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง ถ้าไม่เลือกตั้งไม่เป็นประชาธิปไตย คุณลองสลัดบริบทนี้ออกไป แล้วลองคิดว่า ปฎิรูปอย่างไรให้เป็นประชาธิปไตย มักจะพูดว่า ต้องเลือกตั้งเพื่อเป็นประชาธิปไตย แต่ความจริงต้องบอกว่า ปฏิรูปอย่างไรถึงจะเป็นประชาธิปไตย ถ้านำไปสู่การเจรจารวมทั้งสองฝ่าย จัดตั้งรัฐบาลกลาง มีหลายทางเลือกคือ ข้อ 1. ใช้มาตรา 3 และมาตรา 7 ในการตีความ ให้มีนายกรัฐมนตรีคนกลาง ถ้าบอกว่าไม่เอาข้อนี้ ข้อ 2.ครม.ลาออกทั้งชุด ทิ้งรองนายกรัฐมนตรีพรรคคนกลางไว้ อาจเป็นพรรคคุณบรรหารก็ได้ แล้วให้ปลัดกระทรวงทุกคนปฏิบัติราชการแทน ทำหัวข้อปฏิรูป ส่งไปทำประชามติ แล้วตราพระราชกฤษฎีกา เลือกตั้งใหม่ทั้งประเทศ

ความเข้าใจคำว่าประชาธิปไตยก็ต่างกัน ?

ม่ต่างหรอกครับ อยู่ที่ดันทุรังหรือเปล่า ถ้าคำว่าประชาธิปไตยของแกนนำคนเสื้อแดงคือ การไม่ให้ฝ่ายตุลาการทำงานได้ ก็ผิดอีก เพราะหลักการประชาธิปไตยในการแบ่งแยกอำนาจ ฝ่ายตุลาการต้องทำหน้าที่ตรวจสอบอยู่แล้ว คือ เริ่มต้นโดยการโกหก ไม่ต้องหาเหตุผลแล้ว

จากนี้ไปอีก 1 ปี คุณคิดว่าสถานการณ์บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร

ข้อ 1 คุณยิ่งลักษณ์จะต้องเดินขึ้นศาลทุกวัน เพราะโดนฟ้องคดี ผมรับประกันว่า ไม่ต่ำกว่าสองพันคดี ทั้งคดีจำนำข้าว ,ฉ้อโกงจำนำข้าวรายบุคคล ,ปราบปรามประชาชนในวันที่ 18กุมภาพันธ์ 2557 มีคนตายสองคน ,คดีคุณถวิล เปลี่ยนสี โยกย้ายโดยไม่ชอบธรรม แล้วสิ่งที่คุณยิ่งลักษณ์จะเจอ นิรโทษกรรมไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องการทุจริต และคุณยิ่งลักษณ์จะโดนคดีเป็นหางว่าวในสิ่งที่ทำไว้

ข้อ 2 การเลือกตั้งอาจจะต้องเกิดขึ้นในช่วงปลายปี เพราะพรรคประชาธิปไตย ไม่ลงเลือกตั้งสองครั้งติดต่อกัน อาจจะถูกยุบพรรค

ส่วนชัยชนะการเลือกตั้ง ผมก็ยังเชื่อว่า พรรคเพื่อไทยยังเป็นพรรคที่มีคะแนนอันดับหนึ่ง เพราะโดยโครงสร้างทางการเมือง คะแนนเสียงภาคเหนือและภาคอีสานของพวกเขาสูงกว่าเยอะ แต่ผมก็ไม่เชื่อว่า พวกเขาจะตั้งรัฐบาลได้ เพราะการจัดตั้งรัฐบาลต้องมีพรรคร่วมรัฐบาลเข้ามาด้วย ผมคิดว่า การเลือกตั้งคราวนี้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 500 คน พรรคเพื่อไทยจะได้ไม่ถึงครึ่ง เพราะกรรมเก่าที่ทำไว้ ในอนาคตโอกาสจะมีการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองก็มีสูง

ผมมองสถานการณ์ตอนนี้มากกว่า ผมอยากให้การปฎิรูปทำสำเร็จ ห้าเดือนที่ผ่านมา เราได้จิตสำนึกของคนไทยทั้งประเทศที่มีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างมหาศาล ถ้าย้อนเวลากลับไปห้าเดือนที่แล้ว ประชาชนไม่ได้ตื่นรู้ทางการเมืองแบบนี้ วันนี้เราดีใจ เราชนะแล้ว แต่ไม่มีชัยชนะใดได้มาร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นการลงทุนที่คุ้มมาก เพราะ 1.ประชาชนตื่นรู้ทางการเมืองที่จะปกป้องประเทศชาติ 2. ใครทำชั่วในคดีทุจริตในรัฐบาลนี้ ก็จะถูกฟ้องร้อง นี่คือสองอย่างที่เราชนะ แต่ประเด็นที่เราอยากชนะคือ การนำหัวข้อการปฏิรูปไปสู่ภาคปฏิบัติจริง แค่นี้จบ

ในมุมมองของคุณ ก้าวต่อไปของประเทศไทยเป็นอย่างไร

ประเทศไทยดีขึ้นแน่นอน

ทำไมมั่นใจขนาดนั้น

ไม่ว่าจะสีไหน เราต่างมีจิตสำนึกสาธารณะร่วมกัน นักธุรกิจใหญ่ๆ ร้านค้าทั่วไปบริจาคเงินมาช่วย มาเดินขบวน ฝ่ากระสุนด้วยกัน ผมว่า เป็นการตื่นรู้ของสังคมไทยที่มีค่ามหาศาล แต่สิ่งเดียวที่ผมไม่มั่นใจคือ หัวข้อการปฎิรูปจะสำเร็จไหม รอแค่คุณยิ่งลักษณ์

ทุกวันนี้คุณต้องมีการ์ดคุ้มครอง ?

ตอนที่ผมเป็นนักการเมืองในสภา ผมมีแค่คนขับรถ แต่ทุกวันนี้ต้องมีการ์ด ชีวิตเปลี่ยนไปเยอะ ความเป็นส่วนตัวก็เปลี่ยนไป มีคนรู้จักผมเยอะขึ้น แต่ผมก็ไม่ได้อึดอัด

เวลาถกเถียงกับคนต่างขั้วทางการเมืองในรายการทีวี คุณตั้งรับอย่างไร

คุยกันด้วยเหตุผล การถกเถียงทางวิชาการ เป็นการถกเถียงทางความเชื่อ และคนที่เราถกเถียงด้วย เป็นนักวิชาการทั้งนั้น เมื่ออีกฝ่ายเชื่อแบบนั้น เขาก็ไม่ใช่คนเลว เราเคารพในความเชื่อซึ่งกันและกัน ไม่เห็นจำเป็นต้องมีอารมณ์ แต่ถ้าเป็นผู้แทนราษฎรด้วยกัน ถ้ามึงทำแล้ว กูเห็นกับตาว่า มึงทำผิด ถ้าเถียงกับคนแบบนี้ อาจเอาไม่อยู่ ไม่ใจเย็นเหมือนที่เห็น ที่ผมใจเย็นเพราะนักวิชาการพวกนั้นไม่รู้ว่า นักการเมืองเหล่านั้นทำเลวอะไรไว้ พวกเขาพูดจากหลักการและความเชื่อ หรือที่ผมชอบเรียกว่า ท่องมาจากบ้าน ซึ่งเป็นหลักการประชาธิปไตยทั่วไป และไม่มีอะไรผิด

มีแฟนคลับติดตามเยอะ คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง

ถ้าเราสามารถเป็นส่วนหนึ่งให้สังคมไทยตื่นรู้เรื่องการเมืองมากขึ้น ก็รู้สึกดี น้องๆ วัยรุ่นหันมาสนใจการเมือง ผมรู้สึกว่า ประเทศมีความหวัง และอีกอย่างเวลาผมพูดบนเวที ผมจะไม่ใช้วาจาแห่งความเกลียดชัง ผมแค่เตรียมประเด็นที่เล่า ไม่ต้องเตรียมคำด่า แต่ถ้ามี ก็เป็นไปตามอัตโนมัติ

เห็นบอกว่าคุณเคยเสียน้ำตาบนเวที ?

ตอนนั้นผมเล่าเรื่องการเสียดินแดนไทยกัมพูชา ซึ่งเกี่ยวกับการแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 190 เล่าแล้วน้ำตาไหล เพราะเรื่องที่รัฐบาลทำ ถ้าคนเข้าใจรายละเอียดลึกๆ ก็จะรู้ว่า มันไม่ไหวแล้ว ผมก็มีหน้าที่ให้ข้อมูลประชาชน และพยายามหลีกเลี่ยงการด่าที่ไม่มีเหตุผล แต่พวกพี่ๆ ที่ผมด่าบนเวที ผมตั้งใจทั้งนั้นครับ