สอนเด็กให้เป็น..ดารา

สอนเด็กให้เป็น..ดารา

ตลาดนักแสดงเด็กคึกคัก แต่พ่อแม่ที่อยากดันดาราอาจจะต้องคิดใคร่ครวญ จากประสบการณ์และมุมมองของผู้อยู่เบื้องหลังเ

เด็กน้อยที่กรีดน้ำตาควักหัวใจผู้ชมหน้าจอแก้ว จากละครฮิต กับบทบาทที่ดูเกินกว่าวัย และกลายเป็นดาวเด่นแซงหน้านักแสดงผู้ใหญ่หลายคน ตลาดนักแสดงเด็กคึกคัก แต่พ่อแม่ที่อยากดันดาราอาจจะต้องคิดใคร่ครวญ จากประสบการณ์และมุมมองของผู้อยู่เบื้องหลังเส้นทางชีวิตมายาของดาราเด็ก

เด็กมาแรง

กระแสเห่อ นักแสดงเด็ก ในละครทีวีเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ไม่ได้เป็นเพียงกระแสเดียว แต่คนในวงการยอมรับว่า ตลาดนักแสดงเด็กกำลังอยู่ในช่วงมาแรง

เม้ง ภัทรเดช ทรงศิริวรกุล ตำแหน่ง เมเนจจิ้งไดเร็คเตอร์ บริษัท บริดจ์ไนน์ จำกัด ซึ่งทำงานด้านโมเดลลิ่ง จัดหานักแสดงเด็ก ที่เริ่มจากอายุ 4 ขวบครึ่งถึง 10 ขวบ ถือเป็นเด็กรุ่นจูเนียร์ และ เด็กอายุ 11-15 ปีเป็นซีเนียร์ ส่วน 16ปีขึ้นไป กลุ่มวัยรุ่นนั้น ภัทรเดชบอกว่า ขอผ่าน และยกให้เป็นความถนัดของผู้เชี่ยวชาญอย่าง เอ ศุภชัย และพจน์ อานนท์ ที่ปั้นดาราวัยรุ่นเข้าวงการมากมาย

เหตุผลหลักที่บริดไนน์ฯ เลือกจัดหานักแสดงเด็กวัยเริ่ม 4ขวบครึ่งคือ

"เริ่มที่อายุ ประมาณนี้ เพราะตลาดละครต้องการเด็กวัยนี้เยอะ ถ้าได้เด็กอย่างน้องเมลิค (จากละคร ทองเนื้อเก้า ปี 2556 ) สบายเลย" ภัทรเดช กล่าว ให้ความเห็นว่า หากมองในตลาดของโมเดลลิ่งเด็กในช่วงนี้ ถือว่ากำลังอยู่ในช่วงคึกคัก ไม่เฉพาะดาราเด็กได้ใจผู้ชมในละครทีวี แต่ยังรวมถึงตลาดสินค้าที่เจาะกลุ่มพ่อแม่และเด็ก

"ตลาดของโมฯ(โมเดลลิ่ง)เด็ก ค่อนข้างเวิร์กนะตอนนี้ ตลาดกำลังมานะ เพราะว่าละครที่เอาเด็กมาเล่น เขาเฟ้นหาเด็กที่มีความสามารถ พยายามหาเพชรกัน โมเดลลิงก็เกิดขึ้นเยอะ ทางเราเองก็พยายามจัดกิจกรรม ประกวดและหาที่ลงข่าว (ออกสื่อ)ให้กับเด็กที่ทางโมเดลลิ่ง เพื่อดันเด็ก"

และในแง่ของค่าตอบแทน ถือว่า ได้เงินเยอะ

"เด็กคนหนึ่งอาจจะได้หลายแสนบาทนะครับ อย่างมีเด็กในสังกัดของเราที่สามารถได้งานถ่ายโฆษณาไปถึง อินโดฯ ฟิลิปปินส์ ซึ่งได้ค่าตอบแทนดี บางคนได้ 5-6 แสนไทยเลยนะ และก็เด็กที่มีหน้าตาเป็นลูกครึ่ง ไทยเยอรมัน ฝรั่งเศส ฯลฯค่อนข้างไปไกล เนื่องจากตลาดโฆษณาอินเตอร์มองหาเด็กลูกครึ่ง และมัน(ธรรมเนียม)ว่าเด็กถ่ายโฆษณาห้ามหน้าซ้ำ เพราะฉะนั้น(เจ้าของสินค้า) เขาจะหาเด็กใหม่แต่ให้ได้บล็อคหน้าเดิม แต่ต้องเป็นคนใหม่ และทุกวันนี้สินค้าก็เยอะขึ้น เจาะกลุ่มครอบครัวเด็ก คนก็ให้ความสำคัญกับเด็กมากขึ้น"

โดยภัทรเดช เผยตัวเลขค่าเฉลี่ยของค่าเหนื่อยนักแสดงเด็กในปัจจุบันไว้ว่า ในงานถ่ายโฆษณาแบบออลมีเดีย จะได้หลักแสน ถ้าเป็นการแสดงละคร ได้ค่าจ้างเป็นตอน ขึ้นอยู่บทบาทที่ได้รับว่าเป็นตัวหลัก(นักแสดงนำ) ที่เรียกว่าตัวหนึ่ง หรือบทรองๆลงไป ตัวสอง ตัวสาม ซึ่งจากประสบการณ์ของเขา มีเด็กในสังกัดเล่นละครเป็นตัวสองและสามจะได้ราวเจ็ดพันไม่ถึงหนึ่งหมื่น ส่วนงานภาพยนตร์ ส่วนใหญ่จะเหมาจ่ายทั้งเรื่อง ราวหนึ่งแสนบาทต่อเรื่อง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบทบาทที่มากน้อยในการแสดง ถ้าเป็นบทนำอาจได้มากกว่านี้

หน้าตาดีต้องมีพรสวรรค์

"การที่เด็กเล่นดราม่าได้ บางคนไม่เคยผ่านการเทรนนะ แต่เขาจะทำได้ เช่นบทร้องไห้ เราไม่รู้หรอกว่าเด็ก 5 ขวบ จินตนาการอะไรอยู่ ณ ตอนนั้น" ภัทรเดช ให้ความเห็น และเสริมว่า เด็กที่จะเข้าวงการ ควรผ่านการเรียนการแสดงในระดับหนึ่ง

"เทรนด์ เด็กหน้าตาลูกครึ่งขอให้ครึ่ง ตลาดเอเยนซี่ชอบ ยุโรปเอเชีย หน้าตาต้องโอเคด้วย สำหรับงานละคร เขาจะไม่ได้เน้นหน้าตา ดูอย่างน้องลีวายส์ ที่หน้าตาเด็กกะโปโล แต่เขาเก่ง สั่งอะไรได้หมด แบบนี้เรียกเพชร มันหายากที่แบบหน้าตาดี ทำได้ทุกอย่าง ยากมาก เพชรไม่จำเป็นต้องสวยครบเหลี่ยม แต่มันต้องสว่างให้คนได้เห็นว่านี่คือ เพชร" ภัทรเดชอธิบาย

ครูโอ๋ เบญญาภา บุญพรรคนาวิก ครูสอนการแสดงและผู้ก่อตั้งสถาบันแอคติ้งมาเนีย Actingmania by Kru Oh (www.actingmania.com)มองจากมุมของผู้สอนการแสดงและผ่านงานแอ็คติ้งโค้ชรวมกว่า 20 ปี

แยกส่วนของการสอนการแสดงให้กับเด็ก เป็น 2 กลุ่ม ในแนวทางและเป้าหมายที่แตกต่างกัน นั่นคือ กลุ่มเด็กทั่วไปที่เรียนการแสดง ครูโอ๋จะสอนเน้นเพื่อการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เป็นการพัฒนาอีคิวและไอคิวในอีกทางหนึ่ง

แต่สำหรับ การสอนกลุ่มดาราเด็ก ซึ่งหมายถึง เด็กจะนำการแสดงเพื่อไปใช้งาน นั้นจะเริ่มจากพื้นฐานการวางบุคลิกและบทบาทของตัวละคร

โดยส่วนที่เป็น "ดาราเด็ก" หรือเด็กที่จะเป็นดารานั้น มีส่วนประกอบสำคัญคือ (1)บุคลิกหน้าตาดี รูปลักษณ์จะเป็นเหมือนตัวแสดงในวัยโตขึ้น (2) เขาต้องมีทักษะเช่น ความสามารถในการอดทน อดทนต่อการทำซ้ำ เพราะการแสดงที่ต้องมีการทำบางอย่างซ้ำหลายรอบในการถ่ายทำ และ (3)พรสวรรค์ติดตัวมาบ้าง

และครูโอ๋ยังแบ่งกลุ่มนักแสดงเด็กที่จะมีจุดเด่นต่างตาม "ความต้องการของเจ้าของงาน" งานโฆษณาเน้นหน้าตามาก่อนพรสวรรค์ แต่หนังละครต้องการความสามารถ เนื่องจาก หนังทุนต่ำและเรียกร้องการแสดงบทบาทที่มากกว่า ขณะที่ละคร ใช้เวลาในการถ่ายทำเยอะมากในเวลาหนึ่งวัน จึงต้องอาศัยความอดทนของเด็กมากกว่างานอื่น

"เด็กหน้าตาน่ารักดีแต่เล่นไม่เก่ง ก็มี ซึ่งเด็กประเภทนี้จะได้เล่นหนังโฆษณาเป็นส่วนใหญ่" ครูโอ๋อธิบาย และอ้างอิงถึงเทรนด์ความต้องการของเจ้าของสินค้าต่างๆ ที่ต้องการหน้าตามาก่อนพรสวรรค์ และเพราะโฆษณามีเม็ดเงินสูง สามารถหา "ตัวช่วย"อย่างการจ้างแอ็คติ้งโค้ชมาช่วยให้เด็กหน้าตาดีที่ถูกเลือกมาแสดงได้ตามที่ต้องการ หรือกระทั่งการหลอกล่อให้เขาทำได้ในการถ่ายทำเพียงสั้นๆ หนึ่งวันได้ แต่สำหรับเด็กที่ต้องแสดงในละครหรือภาพยนตร์ จำเป็นต้องมีความสามารถเด่นกว่าหน้าตา

อยากให้ลูกเป็นดารา

ขณะที่ฝ่ายโมเดลลิ่งเห็นว่า การดันเด็กเข้าสู่วงการบันเทิงนั้น พ่อแม่จะเป็นอีกทางหนึ่งที่เป็นแรงขับเคลื่อนไม้หนึ่ง มาก่อน โมเดลลิ่งเป็นไม้สองช่วยดันต่อ คือครอบครัวต้องผลักดันตัวน้อง เด็กถูกพ่อแม่ปั้นมาแล้วระดับหนึ่ง แบบนี้จะโตไว

"ถ้าตัวน้องเลือกที่เล่นเป็นศิลปินดารา เราก็ดูแลไป พ่อแม่ก็ต้องดูว่า เด็กพร้อมรับแรงกดดันไหม และมีพรสวรรค์แค่ไหน เด็กเองไม่รู้หรอก แต่เราก็ต้องดู โมเดลลิงถึงต้องดู(แวว)"

ในมุมเรื่องความพร้อมของเด็กที่จะเป็นดารา ภัทรเดช บอกว่า เขาเห็นเด็กมีแวว และเด็กเหล่านั้นส่วนใหญ่จะมี วุฒิภาวะในการทำงานเกินคนวัยเดียว

"จากที่เห็นเด็กที่มา(ทำงาน) เขายอมแลกชีวิตส่วนตัวของเขา ตอนเย็น เขาต้องเอาเวลามาฝึกการแสดง เด็กพวกนี้ก็จะโตก่อนวัย เขาถูกปลูกฝังมายังงี้ โดยส่วนใหญ่ จากในโมเดลลิ่งของผมนะ 18 คนใน 20 คน เขาจะยอมแลกชีวิตส่วนตัว คือเลิกเรียนแล้วทำการบ้านให้เสร็จ เพื่อมาฝึกการแสดง ขณะที่คนอื่นอาจจะเล่นอยู่"

"เด็กที่อยากมาเอง บุคลิกเขาเป็นผู้ใหญ่ น้องเรียนการแสดง เขาพร้อมที่จะแลกเวลาส่วนตัวเพื่อฝึกฝน"

ส่วนกรณีเด็กที่ถูกพ่อแม่ บังคับให้มาเป็นนักแสดง นั้น ภัทรเดชบอกว่า มีเช่นกัน

บางคนมีพ่อแม่บังคับนะ เด็กที่ถูกบังคับมา เด็กจะดื้อ สังเกตได้เลย สายตาเขามองผู้กำกับหรือมองในห้อง ฟีลลิ่งมันไม่ได้เลย มาถึงก็เล่นไอแพด ถามไรก็ไม่ตอบ แคสฯงานไม่ค่อยได้ นอกจากพ่อแม่รวย เขาจะดันตัวเองทุกวิถีทาง บางคนยอมเพย์ (จ่าย)เพื่อให้ลูกได้ถ้วย เพื่อให้ลูกยิ้ม ซึ่งเด็กประเภทนี้ มักจะแคสติ้งงานไม่ผ่าน เพราะเขาทำไม่ได้จริงๆ สิ่งที่น่ากลัวคือ พ่อแม่สร้างโมเดลท่เด็กไม่อยากเป็น เด็กประเภทนี้มีเยอะมาก แบบพ่อแม่บังคับมา และปัญหาว่าพ่อแม่ไม่ค่อยยอมรับว่าลูกตัวเองเป็นยังไง ก็มี"

และในแง่การจัดการ พ่อแม่จำเป็นต้อง "รู้ทาง" ไม่ว่าจะเป็นการเซ็นสัญญากับโมเดลลิ่ง หรือจะรับเป็นผู้จัดการดาราให้ลูกตัวเอง

"การผ่านไม่ผ่านโมเดลลิ่ง บอกตามตรงเลยว่า ค่าแรงก็ต้องโดนหัก 30% แต่การผ่านโมฯก็จะมีผู้ช่วยสกรีนงานได้ ซึ่งอันนี้สำคัญ เพราะในธุรกิจ วงการนี้ ผมมองพ่อแม่ที่จะดูแลสกรีนงานลูกเองร้อยเปอร์เซนต์ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ทำงานในวงการหรือเคยอยู่ในวงการจึงจะทำได้ การจัดการต้องเก่ง ต้องทำออลอินวันให้เขาแต่เทียบสัดส่วนแล้ว ตอนนี้มีน้อยที่พ่อแม่ดูแลดาราเด็กเอง น่าจะเป็นสัก 10% ที่มีอยู่ในวงการนะ และจะเรามองเห็นเลยว่า เด็กจะเสียเพราะพ่อแม่นะ เด็กถูกตามใจ แฟมิลี่สำคัญมาก ถ้าตัวคุณยังไม่พร้อม ก็ต้องดูด้วย และบางคนไม่ได้เป็นเพชรมาเลย ก็ต้องรอดูว่าลูกคุณถูกขัดเกลาได้ไหม"

"การทำโมเดลลิงเด็กยากตรงการใส่ใจรายละเอียด การไปขายงานลูกค้า ต้องชูจุดเด่นและเอกลักษณ์ยังไง พ่อแม่คอนโทรลยาก เราจึงเลือกเซ็นสัญญาแค่ 2คนต่อปี ส่วนคนอื่นๆ ก็เป็นการคอนซัลท์กันแบบไม่เป็นทางการมากกว่าครับ" ภัทรเดช เล่า

และสิ่งที่โมเดลลิง เห็นว่า เป็นความเข้าใจผิดของพ่อแม่ ที่อยากให้ลูกเป็นดารา และน่าเป็นห่วงสำหรับการเติบโตของเด็กอย่างมากคือ "การซื้อรางวัลให้ลูก"

"บางคนซื้อรางวัลหรือซื้อโหวต ซึ่งไม่ควรเลย เพราะ ควรจะให้เด็กได้ตามความสามารถของเขาจริงๆ เราคิดว่าพ่อแม่อาจจะมองว่า การให้ลูกมีชื่อเสียงจะเป็นเกียรติ แต่จริงๆ แล้วผมมองว่าผิด พอเด็กโตขึ้นมา มาเห็นรางวัลที่ซื้อมา เขาจะเสียใจมาก จะกลายเป็นเรื่องพ่อแม่รังแกฉัน จะเป็นปมด้อย โจทย์มันจะถูกตอบเมื่อเด็กโต แล้วปมนั้นจะแก้ไม่ได้ ตอนโตวัยรุ่นร้องเพลงไม่ได้ แต่ทำไมเขาได้รางวัลมามากมาย คือเด็กจะไม่รู้ตัวเองเลย ทุกวันนี้ฉันเก่ง มีร้อยกว่าถ้วย(รางวัล) แต่พอถึงวันหนึ่งเขาโตมา พบว่า เขาทำไม่ได้อย่างนั้น ไม่น่าจะถึงระดับได้รางวัลเลย เด็กจะร้องไห้ และจะไม่มีแรงผลักดันเลย ในสังคมนี้รู้ๆกันอยู่ว่า ถ้าซื้อโหวตแล้ว คุณต้องเก่งๆ จริง ให้สมรางวัลที่หนึ่งนะ เมื่อไรไปออกในฟรีทีวีเมื่อไร จะโหดร้ายมาก สำหรับเด็กนะ อยากให้พ่อแม่คิดตรงนี้"

ในส่วนของครูโอ๋ มองจากสถานการณ์จริงในสถาบันการแสดงแอคติ้งมาเนียของเธอว่า ส่วนใหญ่นักเรียนจะมาเรียนการแสดงเพื่อเสริมทักษะ มากกว่าเป็นกลุ่มส่งลูกเรียนเพื่อเป็นดารา และสำหรับกลุ่มเด็กที่มาเรียนการแสดง (มีรุ่นจูเนียร์ 6-10 ขวบ) ทำให้เห็น ภาพของสังคมยุคปัจจุบันว่า พ่อแม่ยุคใหม่เป็นครอบครัวเดี่ยว จึงจะพาลูกไปทำกิจกรรม เรียนนั่นนี่หลายอย่าง

แต่สิ่งที่พบมากกว่าแค่ "สอนการแสดงเด็ก" เพราะครูโอ๋พบว่าในชั้นเรียน สิ่งที่น่าสนใจคือพ่อแม่ในปัจจุบัน ยังขาดความเข้าใจกับเด็ก หลายครั้งที่การส่งลูกมาเรียนการแสดง กลายเป็นการเรียนรู้ระหว่างพ่อแม่กับเด็ก โดยครูโอ๋ในฐานะคุณแม่คนหนึ่ง ถือว่า ความเข้าใจนี้เป็นส่วนสำคัญที่สุด ไม่แพ้ทักษะของเด็กที่จะเป็นนักแสดงเลยทีเดียว

"สอนคลาสแบบนี้ เราต้องเอ็ดดูเคทคุณพ่อคุณแม่ด้วย เพราะบางทีเขาอยากให้ลูกเป็นดารามาก กดดัน เช่น แม่คนหนึ่งบอกลูกว่า อย่าทำให้คุณครูเสียเวลานะ เป็นการขู่ลูกน่ะ เราก็บอกให้พ่อแม่รู้วิธีพูดกับเด็ก ต้องพูดเชิงบวก อย่าดุ อย่างเคสของพ่อบางคนจะกลัวว่าถ้าชมลูกแล้วลูกจะเหลิง จนลูกต้องพยายามจะวินเอาชนะใจพ่อ แม่ก็สงสารก็เลยตามใจมากไปอีก คุณพ่อคนนี้บอกว่า ผมไม่เคยเป็นพ่อคนน่ะ เราก็บอกไปว่าว่า ลูกก็เพิ่งเคยเป็นลูกเหมือนกันนะคะ"

ครูโอ๋อธิบายต่อว่า เรื่องนี้จะเป็นผลติดตามตัวเด็กไปมากกว่าที่ผู้ใหญ่คิด

"อย่างที่เราพบว่า เด็กที่โตเป็นวัยรุ่น มีการไล่ตามคนที่ไม่รักเป็นปมจากวัยเด็กทั้งสิ้น ครูโอ๋สอนม.กรุงเทพฯมา 10 ปี เคยเจอนักศึกษาที่มีปัญหา พอย้อนรอยต้นทางแล้ว พบว่า พ่อแม่มักไม่อยากชมกลัวลูกเหลิง กับอีกเรื่องคือ worried ตลอดเวลา หรือ คุณแม่มักจะตั้งคำถามทำไมๆ ลูกทำไม่ได้ ยังงั้นยังงี้ ซึ่งคำถามทำไม เด็กตอบไม่ได้หรอกค่ะ ต้องทำความเข้าใจกันค่ะอย่าเอาแต่ตั้งคำถาม"

ด้านมืดของโลกมายา

บทเรียนจากการถ่ายโฆษณา ที่เห็น "ความไม่เหมาะสม" ในการทำงานร่วมกับ นักแสดงเด็ก เป็นทั้งอุทาหรณ์สอนใจคนที่จะทำงานกับเด็ก พ่อแม่ที่จะนำเด็กเข้ามาสู่วงการ ว่าต้องเตรียมรับมือ และควรจะใส่ใจในรายละเอียดของการทำงานบันเทิงด้วย

จากประสบการณ์ส่วนตัวของครูโอ๋ ที่พบเห็น ผู้กำกับโฆษณาคนหนึ่งที่ใช้วิธีกระทืบของเล่นของ(นักแสดง)เด็ก ประมาณ 4 ขวบ ผู้กำกับเขาต้องการภาพโคลสอัพ แต่เด็กไม่ยอมทำตามที่เขาต้องการได้เลย ด้วยระยะเวลาของงานถ่ายโฆษณาที่มีไม่มากและผู้กำกับก็ไม่รู้วิธีที่จะสื่อสารกับเด็ก เขาเลยทำแบบนั้นเพื่อขู่ให้เด็กกลัว และยอมแสดงให้ได้ตามบทที่เขาอยากได้ เด็กยอมทำตามเพราะกลัว ต่อมาตอนหลังผู้กำกับซื้อของเล่นให้ใหม่เป็นการปลอบโยน ซึ่งเป็นวิธีการที่ครูโอ๋เห็นว่า ไม่เหมาะสม เนื่องจากผลกระทบต่อจิตใจและพฤติกรรมเลียนแบบของเด็ก

ซึ่งครูโอ๋บอกว่าเห็นเด็กน้อยคนนั้นกระทืบของเล่นเหมือนที่ผู้กำกับทำในเวลาต่อมาด้วย

หลักการสำคัญของงานการช่วยเด็กในการแสดง ไม่ว่าจะเป็นการเป็นโค้ชการแสดงในกองถ่าย หรือการสอน (ซึ่งต้องใช้ระยะเวลานานกว่า เพื่อเตรียมความพร้อมของเด็ก) ครูโอ๋ เชื่อว่า มีหลายวิธีที่จะทำให้เด็กแสดงได้

แต่สิ่งสำคัญไม่ว่าจะใช้วิธีไหนคือ เด็กทุกวัย สามารถพูดคุยให้เข้าใจถึงเนื้อหาการแสดงได้ "คือการอธิบายให้เด็กเขารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น "

"โดยส่วนใหญ่เด็กเขาจะรีเลตกับพ่อแม่ได้ง่าย ถ้าเราอธิบายสถานการณ์ในซีนนั้น และเทียบว่าคุณแม่ของหนูทำกับหนูแบบนี้ (ทอดทิ้งไม่ใส่ใจ)หนูจะรู้สึกยังไงคะ เด็กเขาก็จะร้องไห้ออกมาได้ "

โดยสรุปว่า บรรยากาศและสถานการณ์และนักแสดงผู้ใหญ่ที่เข้าฉากนั้น คือสิ่งสำคัญในการช่วยเด็กแสดงออกมาได้

และในมุมกลับ ต้องพยายามไม่ทิ้งรอยบอบช้ำในใจจากการแสดงให้เด็ก โดยการอธิบายให้เด็กเข้าใจว่านั่นคือการแสดง

"เด็กเขาแยกแยะเขาได้นะคะ เพราะในวัย 6-7-8 ขวบ เขาอยู่ในช่วงวัยรุ่นของวัยเด็กนะ ลูกสาวของครูโอ๋ยังไม่ถึงสามขวบเขาก็สามารถแยกแยะได้แล้ว อยู่ที่การทำความเข้าใจของเราค่ะ"

และบทเรียนเป็นสิ่งที่ครูโอ๋ บอกว่า พ่อแม่ที่พาลูกเข้ามาวงการต้องระวังในรายละเอียด

โดยครูโอ๋ ชี้แนะว่า สิ่งที่เป็นอันตราย ในการทำงานแสดงของเด็ก นั้นมีในแง่จิตวิทยาพัฒนาการการเติบโตด้วย คือความเข้าใจของพ่อแม่ บางคนบอกว่าลูกตัวเองสวยแล้ว เก่งแล้ว มันเป็นการปลูกฝังให้ลูกไม่รู้ตัว และกลายเป็นใช้งานลูกหาเงินให้ครอบครัว

"จริงๆถ้าคิดว่าเป็นชอยส์ที่น่าสนใจ ไม่เสียเวลาเรียนก็ไป มันคือการให้ความสำคัญกับสิ่งในชีวิตเด็ก และบางคน สปอยล์ลูกเกินไป เพราะเห็นว่าลูกเป็นคนหาเลี้ยงครอบครัว จนเด็กบางคนใช้พ่อแม่เป็นคนใช้เลยก็มี อยากให้พ่อแม่มองการจะเลี้ยงลูกให้เติบโต เป้าหมายคืออะไร ต้องพิจารณาว่า มันคุ้มไหมที่จะแลกกับเงินงานที่ได้"