'กระบี่' สีสันทะเลใต้

ฟ้าใสๆ ทรายขาวๆ กับน้ำทะเลสีเขียวมรกต บรรยายไม่ถูกว่าสวยมากแค่ไหน เอาเป็นว่าที่นี่คือสวรรค์บนดินของคนรักทะเลตัวจริง
แม้ว่าสภาพอากาศจะยังเคลือบคลุมไปด้วยไอเย็นๆ ที่แผ่ลงมาจากทางเหนือ แต่นั่นก็หาใช่อุปสรรคไม่ เพราะตามนิสัยส่วนตัวของคนรักทะเลแล้ว ไม่ว่าจะฤดูไหนก็อยากไปอิงแอบแนบกายกับท้องฟ้าและผืนทะเลอันกว้างไกลอยู่ทุกครั้งไป
คราวนี้สบโอกาสดี มีพี่ๆ ใจดีจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยชวนร่วมเดินทางไปเที่ยว จ.กระบี่ ซึ่งขึ้นชื่อลือชาเรื่องของท้องทะเลที่สวยใสจนใครๆ ก็อดใจไม่ได้ที่จะหาเวลาว่างไปสัมผัสสักครั้ง ฉันเองก็เช่นกัน แทบไม่ต้องใช้เวลาคิดนานก็ตกปากรับคำในทันที
สำหรับฉันแล้วยังไม่รู้จักกระบี่มากนัก ทราบแต่เพียงว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวทางทะเลที่คึกคัก มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวปีละล้านคน และมีการคาดการณ์กันว่าช่วงฤดูท่องเที่ยวของกระบี่ในปี 2557 นี้จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามามากถึง 2 ล้านคน และมีเม็ดเงินสะพัดหลายหมื่นล้านบาทเลยทีเดียว
จะเป็นจริงอย่างที่คาดหรือเปล่าไม่รู้ รู้แต่ว่าฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่อยากไปเที่ยวกระบี่ซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่มีเบื่อ
-1-
หลังจากที่ลอยอยู่บนความสูงจากระดับน้ำทะเล 35,000 ฟุตด้วยเวลาเพียงชั่วโมงเศษๆ ฉันและเพื่อนร่วมทริปทั้งหมดก็เดินทางมาถึงกระบี่ เราเดินทางกันต่อด้วยรถตู้เพื่อมุ่งหน้าสู่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเมืองกระบี่ที่มีมากมายหลายแห่ง ไม่ว่าจะเริ่มเที่ยวจุดไหนก่อน ที่แน่ๆ คราวนี้ต้องมีเปียกน้ำกันถ้วนหน้า ทุกคนเตรียมชุดเล่นน้ำกันมาแบบจัดเต็ม ประมาณว่าถ้ามีโอกาสให้เล่นน้ำทะเลได้ทุกวันก็จะเล่นว่างั้นเถอะ
คุยกันสนุกสนานได้ไม่ทันไร รถตู้ก็พาเรามาที่ท่าเรือบริเวณปากแม่น้ำ มองเห็นเขาขนาบน้ำอยู่ใกล้ๆ เราถ่ายรูปกันได้ 2-3 ภาพ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะเข้ามาทักทายและพาเราเริ่มต้นการท่องเที่ยวกระบี่ด้วยการเข้าไปเที่ยวชมในชุมชนเกาะกลางกันก่อนเพื่อเป็นการเรียกน้ำย่อย ว่าแล้วทุกคนก็จัดแจงขึ้นเรือหางยาวข้ามฟากไปยังชุมชนเกาะกลาง ระหว่างทางเจ้าหน้าที่ก็เล่าให้ฟังว่า ชุมชนเกาะกลาง ต. คลองประสงค์ จ.กระบี่ เป็นชุมชนที่เปิดตัวกับนักท่องเที่ยวมาได้สักพักแล้ว เป็นชุมชนที่ยังคงมีวิถีชีวิตแบบบ้านๆ ให้เห็นกันอยู่ มีการจัดการท่องเที่ยวอย่างเป็นระบบโดยคนในชุมชน
"เรามีที่พักด้วย คือโฮมสเตย์บ้านเกาะกลาง รับรองแขกได้ 200 คน เราได้รับมาตรฐานโฮมสเตย์ไทย 2 ปีซ้อน ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติจะชอบมาค้างคืนกับเรา เขาชอบที่ชาวบ้านเป็นกันเอง ยิ้มแย้มทักทายพูดคุยกับแขกที่มา และที่พักเราสะอาด มีระบบการจัดการท่องเที่ยวที่ดี" เยาวภา มีล่าม เจ้าของร้านอาหารมะหญิง และเป็นหนึ่งในสมาชิกชุมชน เล่าให้ฟัง
เธอบอกอีกว่า นอกจากมีอาหารทะเลสดๆ รสชาติดีไว้บริการแล้ว ที่นี่ยังมีกิจกรรมท่องเที่ยวให้เลือกทำมากมาย เช่น พายเรือคายัค นั่งสามล้อชมนาข้าว ชมโป๊ะน้ำตื้น ชมวิถีชาวบ้านและกลุ่มอาชีพต่างๆ เก็บหอยหวาน เป็นต้น ซึ่งทุกโปรแกรมจะเป็นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ นอกจากนี้ในช่วงต้นปีที่นี่ยังเป็นแหล่งดูนกอพยพด้วย โดยจะมีนกจากไซบีเรียสายพันธุ์ต่างๆ อพยพมาอยู่ที่หลังเกาะ เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ที่นักท่องเที่ยวจะรอคอยมาชมกัน
ที่นี่เป็นเกาะเล็กๆ ตั้งอยู่กลางแม่น้ำกระบี่ ห้อมล้อมด้วยป่าชายเลนบริเวณปากแม่น้ำ จึงยังมีความอุดมสมบูรณ์อยู่มาก ใครอยากมาเที่ยวบรรยากาศบ้านๆ แบบนี้ ก็เดินทางมาได้ง่ายๆ อย่างที่บอกคือนั่งเรือข้ามฟากมา โดยจะมีท่าเรือบริการอยู่ 2 แห่งคือ ท่าเรือสวนสาธารณะธารา ข้ามมายังท่าเรือท่าเล และท่าเรือเจ้าฟ้าข้ามมายังท่าเรือท่าหิน เมื่อมาถึงที่เกาะกลางก็จะมีบริการรถสามล้อพาชมหมู่บ้าน หรือเช่าจักรยานปั่นเที่ยวตามหมู่บ้านก็ได้ โดยรอบเกาะมีระยะทางประมาณ 11 กิโลเมตร
ส่วนกลุ่มของเราที่มากันทริปนี้ เลือกเที่ยวรอบเกาะด้วยวิธีแรก นั่นคือการนั่งรถสามล้อ(สีสันสดใสมากๆ) เพราะทั้งนั่งสบาย ได้ชมวิวแบบเต็มตา ได้ถ่ายรูปแบบจุใจ แถมเวลานั่งไปชมไปก็ได้รับลมเย็นๆ สบายๆ จนลืมกลิ่นควันรถและฝุ่นผงของเมืองกรุงไปเลย เราไปชมจุดเด่นของชุมชน 3 แห่ง ด้วยกันคือ แหล่งปลูกข้าวสังข์หยด ข้าวรสอร่อยที่กำลังโด่งดังและเป็นที่ต้องการของตลาด ว่ากันว่าด้วยสภาพน้ำกร่อยของที่นี่ทำให้ดินในนามีสภาพคล้ายดินบริเวณทุ่งกุลาร้องไห้ในแถบภาคอีสาน ซึ่งเป็นดินประเภทที่ปลูกข้าวได้คุณภาพดี มีกลิ่นหอม นุ่ม น่ารับประทาน ช่วงเวลาที่ไปนั้นข้าวกำลังโตมองดูเขียวขจีเต็มทุ่งนา
ถัดมาเราไปเยี่ยมชมการทำ ผ้าปาเต๊ะ ของกลุ่มแม่บ้าน ผ้าปาเต๊ะที่นี่มีลวดลายและสีสันฉูดฉาด แถมสวยสะดุดตาคนชอบซื้อผ้า งานนี้เริ่มต้นช้อปกันตั้งแต่แว๊บแรกที่เห็น หลังจากนั้นก็เข้าไปชมวิธีการทำผ้าปาเต๊ะของชาวบ้าน ซึ่งต้องบอกว่าแม้จะดูคล้ายกันมาก แต่การทำผ้าปาเต๊ะแตกต่างจากการทำผ้าบาติค โดยผ้าปาเต๊ะจะทำลวดลายบนผ้าโดยการใช้บล็อกเหล็ก(ที่ดัดเป็นลายต่างๆ)ชุบเทียนไขแล้วปั๊มลายลงบนผ้า ส่วนบาติคจะไม่มีการปั๊มเทียน แต่จะใช้สีวาดลายลงไปบนผ้าเลย ซึ่งเท่าที่เห็นผลงานออกมาก็สวยงามน่าชม เห็นเป็นกลุ่มอาชีพเล็กๆ แบบนี้แต่ก็มีออเดอร์จากกรุงเทพฯ สั่งมาไม่ขาด
ส่วนอีกจุดที่เราไปชมกันคือ กลุ่มเรือหัวโทง กลุ่มนี้ก่อตั้งมา 11-12 ปีแล้ว เป็นกลุ่มที่อนุรักษ์การทำเรือหัวโทงไว้ไม่ให้สูญหาย โดยกลุ่มนี้จะทำสินค้าเป็นเรือหัวโทงขนาดเล็ก มีทั้งแบบแจวและแบบเรือเครื่อง นับว่าเป็นกลุ่มอนุรักษ์แห่งเดียวที่เหลืออยู่ ช่างทำเรือจะผลิตเรือจิ๋วโดยให้มีส่วนต่างๆ เหมือนของจริงมากที่สุด ชิ้นงานของที่นี่เป็นแฮนเมดทุกขั้นตอน มีหลายขนาดทั้งเล็ก กลาง ใหญ่ สนนราคาลำใหญ่ที่สุดอยู่ที่ 11,000 บาท
-2-
มาทะเลทั้งที ก็ต้องลงเรือไปเที่ยวทะเล โปรแกรมถัดมาเราเริ่มต้นด้วยการเที่ยวชมวิวทะเลจากบนเรือ พร้อมกับแวะชมถ้ำหินปูนต่างๆ ที่มีอยู่มากมายหลายแห่งระหว่างทาง เราไปกันที่เส้นทางท่องเที่ยว แหลมสักและบ้านบ่อท่อ อ.อ่าวลึก โดยจากในตัวเมืองกระบี่เรานั่งรถตู้มาตามถนนเส้นหลัง ผ่านที่ว่าการอำเภอ จากนั้นเลี้ยวซ้ายไปทางแหลมสัก ก็จะพบกับท่าเรือที่จะพาเราท่องเที่ยวไปกับผืนน้ำทะเลอันกว้างใหญ่
ลงเรือมาได้สักพัก ทวีศักดิ์ ไตรรัตน์ ประชาสัมพันธ์เครือข่ายท่องเที่ยวโดยชุมชน ก็ชี้ชวนให้เราดูที่หลืบหินที่มีภาพเขียนสีจางๆ ปรากฏอยู่ บริเวณนี้เรียกว่า ถ้ำชาวเล เป็นจุดชมภาพเขียนสีโบราณจุดแรกที่เราพบ ภาพนั้นมีลักษณะเหมือนคนตัวเล็กๆ แต่ดูไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง ต่อจากนั้นไม่ไกลเราก็ล่องเรือไป แหลมชาวเล ผ่านช่องตลาด ซึ่งเป็นร่องน้ำที่คนสมัยก่อนใช้แล่นเรือค้าขายกันระหว่างชาวกระบี่กับชาวพังงา และยังคงไปมาหาสู่กันอยู่จนทุกวันนี้ ขณะที่นั่งเรือผ่านไปนั้นก็จะมองเห็นทิวเขาของ จ.พังงา ด้วย
จากนั้นเราก็พบกับ เขาเหล็กโคน มีลักษณะเหมือนเขาตะปูของ จ.พังงาไม่มีผิด แต่ขนาดอาจจะเล็กกว่าหน่อย ตรงบริเวณนี้เป็นจุดชมวิวที่สวยงามอีกจุดหนึ่งที่ทุกคนไม่พลาดที่จะบันทึกภาพไว้เป็นที่ระลึก ใช้เวลาไม่นานเราก็ล่องเรือต่อ เราไปกันที่ ถ้ำเขาไฟไหม้ เป็นถ้ำอีกแห่งที่มีภาพเขียนสีโบราณประทับอยู่ตามหลืบผา ก็สวยแปลกตาอีกเช่นกัน
ล่องเรือชมรอบๆ เขาสักพัก เราก็มุ่งหน้าต่อไปที่ กระชังปลากลางทะเล ซึ่งเท่ห์มาก เพราะเป็นกระชังปลาขนาดใหญ่วางลอยอยู่ท่ามกลางทะเลที่เวิ้งว้างโดยที่ไม่มีส่วนไหนติดพื้นดินเลย(ปกติเคยเห็นแต่กระชังปลาริมฝั่ง) ที่นี่ชาวบ้านเลี้ยงปลาทะเลหลายชนิด รวมถึงหอยนางรมและหอยแมลงภู่ไว้ส่งขาย ซึ่งการเลี้ยงกับธรรมชาติแบบนี้ทำให้ได้เนื้อปลาและหอยที่หวานอร่อยกว่านั่นเอง แถมคนเลี้ยงก็คงมีความสุขเพราะวิวที่นี่สวยกินขาดบาดใจมากกว่าที่อื่นที่ผ่านมา
ฟินกับบรรยากาศตรงหน้าได้เพียงครู่ ก็ได้เวลาเดินทางต่อ คราวนี้แหละเราได้ชมไฮไลต์ของจริง เพราะเรากำลังจะไปดู ภาพเขียนผีหัวโต อันโด่งดังของกระบี่ ภาพเขียนนี้ถูกประทับไว้ที่ ถ้ำผีหัวโต (เดิมชื่อถ้ำผีหัวกะโหลก) คาดการณ์ว่าเป็นภาพวาดที่มีอายุประมาณ 3-5 พันปีมาแล้ว ว่ากันว่ามีอายุอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันกับภาพเขียนสีที่ผาแต้ม นอกจากภาพผีหัวโตแล้ว ในถ้ำยังมีภาพเขียนสีอื่นๆ อีกมากมาย ส่วนใหญ่เป็นภาพลายเส้น มักเขียนเป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์ ใช้สีแดง ดำ และเหลืองในการเขียนภาพ นอกจากนี้เรายังได้ชมหินงอกหินย้อยที่สวยงามใน ถ้ำรอด และถ้ำคลัง
โดยเฉพาะในถ้ำคลังจะพบกับความอลังการที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว เพราะภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อยพิเศษที่เรียกว่าหินย้อยแบบ 'หลอดกาแฟ' (Tube/Straw) ปรากฏเรียงรายไปทั่วอยู่เป็นพันๆ แท่งสวยงามมากจนติดอันดับถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยสวยงามระดับเอเชีย แต่บอกก่อนว่าหากต้องการมาชมจะต้องประสานเจ้าหน้าที่และต้องมีไกด์พาชมเท่านั้น เพราะด้านในมืดมากบวกกับมีห้องถ้ำประมาณ 13 ห้องถ้ำ นักท่องเที่ยวอาจหลงทางได้ จึงไม่อนุญาตให้เข้าชมด้วยตัวเอง
-3-
หลังจากรอคอยมานานก็ได้เวลาเล่นน้ำทะเลอย่างจริงจัง สำหรับโปรแกรมของวันสุดท้ายก่อนกลับกรุงเทพ เป็นช่วงเวลาสุดโปรดของหลายๆ คน เนื่องจากได้ลงเรือไปชม 4 เกาะบวกกับ 1 ทะเลแหวก
เราออกเรือจากอ่าวนางประมาณ 20 นาทีก็มาถึงบริเวณที่เรียกว่า หมู่เกาะห้อง บริเวณนี้เรียกว่ามีเกาะเล็กเกาะน้อยกระจัดกระจายอยู่มากมาย เริ่มต้นจากการล่องเรือเข้าไปชม ลากูน(อ่าวห้อง) กันก่อน ตรงนี้มีลักษณะพิเศษคือเป็นเวิ้งน้ำเข้าไปข้างในเป็นเหมือนห้องห้องหนึ่ง พอเข้าไปด้านในก็พบกับผาหินสูงชันที่ล้อมรอบน้ำทะเลไว้แบบ 360 องศา ชมวิวได้สวยงามรอบตัว ว่ากันว่าที่นี่มีปลาดาวเยอะ ด้านในน้ำใสมากจนมองเห็นพื้นทรายข้างล่าง บริเวณนี้นักท่องเที่ยวมักจะมาพายเรือคายัคชมธรรมชาติที่สวยงาม เหมาะกับการพักผ่อนอย่างแท้จริง
ไม่นานนัก เราก็ล่องเรือกันออกมาจากทางประตูด้านหน้าของลากูน (มีลักษณะเหมือนประตูห้องเพราะมีภูเขาสูงขนาบข้างไว้ทั้งสองด้าน) หลังจากนั้นเราก็มุ่งหน้าไปยัง เกาะเหลาลาดิง เป็นเกาะเกาะหนึ่งที่อยู่ในหมู่เกาะห้อง ชายหาดจะไม่กว้างมากนัก นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาก็มักจะมานั่งเล่นพักผ่อนที่ชายหาด เล่นน้ำทะเล ดำน้ำตื้นดูปะการัง เป็นต้น นอกจากนี้เรายังได้ชมทั้งเกาะทับ เกาะหม้อ และเกาะปอดะอีกด้วย
ก่อนที่จะไปปิดท้ายกันที่เกาะไก่ เราขอแวะพักกินมื้อกลางวันกันที่ไร่เลย์วิลเลจรีสอร์ทที่ อ่าวไร่เลย์ ที่นี่ขึ้นชื่อในเรื่องการปีนผา แต่ละปีจะมีนักปีนผาชาวต่างชาติให้ความสนใจมาเที่ยวและมาประลองฝีมือกันหลายคน เหมาะกับคนที่ชอบท่องเที่ยวในแบบท้าทาย ใช้เวลาพักผ่อนประมาณชั่วโมงเศษๆ เราก็ไปกันต่อที่จุดสุดท้ายซึ่งเป็นจุดไฮไลต์ของโปรแกรม นั้นคือ การชมเกาะไก่และ ทะเลแหวก แต่กว่าจะได้ชม ต้องรอเวลาที่เหมาะสมด้วย เพราะทะเลแหวกที่นี่ไม่เหมือนที่อื่นที่มีให้ชมตลอดเวลา แต่ของที่นี่ต้องรอจังหวะดีๆ ต้องเป็นวันที่น้ำลดลงในระดับที่เหมาะสมเท่านั้น จึงจะได้เห็น ซึ่งวันนี้ฉันโชคดีมากๆ เพราะในที่สุดฉันก็ได้เห็นทะเลแหวกเป็นครั้งแรกในชีวิต ซึ่งสวยงามมากๆ
และอีกสิ่งหนึ่งที่ได้ทำเป็นครั้งแรกเช่นกันคือการดำน้ำตื้นเพื่อชมโลกใต้น้ำ ที่มีทั้งปลานกแก้ว ปลาลายเสือ ปะการัง และหอยเม่น ซึ่งอย่างหลังแนะนำว่าให้ว่ายน้ำหนีมันไปให้ไกลๆ เชียว
เราดำผุดดำว่ายกันสักพักก็ได้เวลากลับเข้าฝั่ง และแล้วแสงสีส้มของดวงอาทิตย์ยามเย็นก็ค่อยๆ จางไปกับขอบฟ้าสีเข้ม ลาแล้วกระบี่ แม้ว่าจะมาเที่ยวแค่3-4 วันแต่ก็ได้ความประทับใจกลับไปเต็มกระเป๋า ถ้ามีเวลาว่างคราวหน้าฉันจะกลับมาที่นี่อีกแน่นอน
------------------
การเดินทาง
ปัจจุบันการเดินทางไปเที่ยวกระบี่นั้นง่ายมากๆ มาได้ทั้งทางรถยนต์ รถทัวร์ รถไฟ แต่ถ้าจะให้สะดวกสบายที่สุดก็คงเป็นการเดินทางโดยเครื่องบิน แนะนำให้ใช้บริการสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ที่มีเที่ยวบินตรงสู่กระบี่ทุกวัน วันละ 3 เที่ยวบิน คือ เที่ยวบิน PG222 (ขาไป) ออกจากกรุงเทพฯ เวลา 09.15 น. , PG267 เวลา 13.20 น. และ PG263 เวลา 18.15 น. สอบถามเพิ่มเติม โทร 0 2270 6699 หรือดูรายละเอียดที่ www.bangkokair.com
จากตัวเมืองกระบี่มีรถโดยสารประจำทาง (สองแถว) ไปยังแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ เช่น บ้านห้วยโต้ บ้านหนองทะเล บ้านเขาทอง หาดนพรัตน์ธารา สุสานหอย อ่าวนาง บ้านคลองม่วง บ้านในสระ อำเภอเขาพนม อำเภอเหนือคลอง อำเภอคลองท่อม บ้านบ่อม่วง บ้านหัวหิน บ้านคลองพน อำเภอลำทับ อำเภออ่าวลึก อำเภอปลายพระยา สามารถขึ้นรถได้ที่ห้างสรรพสินค้าโว้ค ถนนมหาราชในตัวเมืองกระบี่







