กว่าจะเป็นเบเกอรี่...หน้าตาดี

ไม่ใช่แค่เบเกอรี่หน้าตาน่ากิน แต่ยังมีสำนึกต่อผู้บริโภคและความห่วงใยโลก
“ขนมเค้กใช่ว่าถูกๆ บางทีอยากกินสามรส แต่มีเงินร้อยเดียว ก็กินไม่ได้ เราจึงขายให้ถูกลง เพื่อทำให้คนได้กินหลายรส แต่ทำแบบนี้ เลี้ยงชีพได้ไหม...ไม่ได้ กำไรน้อยมาก" แจง-อนุช สาขากร เจ้าของเบเกอรี่ โฮมเมด Jmee เล่าให้ฟัง
เบเกอรี่ของเธอ ใช่ว่าจะซื้อหาที่ไหนก็ได้ มีเฉพาะตลาดนัดสีเขียว หรือไม่ก็สั่งทำ เธอทำโดยใส่ความห่วงใยที่มีต่อโลกใบนี้ และสิ่งที่ตามมาก็คือ เบเกอรี่เพื่อสุขภาพ เนื่องจากใช้วัสดุออร์แกนิกประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ และวัสดุอื่นๆ เท่าที่จำเป็น
ทำไมคนทำงานออกแบบตกแต่งภายใน (บริษัท โพลีแกรม ดีไซน์) มานานกว่า 10 ปี และไม่เคยมีความรู้เรื่องการทำอาหาร หันมาทำเบเกอรี่ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เรียน และทำจนรสชาติลงตัว เพื่อออกขาย และเปิดคอร์สสอนทำเบเกอรี่ รวมถึงออกหนังสือ little bakery by พี่แจง ที่เธอเขียนและวาดรูปด้วยตัวเอง
นั่นก็เพราะคุณแม่ลูกหนึ่ง อยากมีเวลาเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง จึงหันหลังให้งานประจำ มาเป็นฟรีแลนด์ทำงานตกแต่งภายใน แต่ในที่สุดก็ทำได้ไม่เต็มที่ และนี่คือจุดเปลี่ยนในชีวิต ไม่ต่างจากหลายคน
เธอบอกว่า เมื่อลาออกจากงานประจำ ก็ทำอะไรไม่เป็นเลย ต้องให้สามีรับผิดชอบค่าใช้จ่าย แม้จะรับงานฟรีแลนด์มาทำ แต่ก็มีปัญหาเรื่องเวลาในการคิดงาน กระทั่งลูกเข้าโรงเรียน จึงมีเวลาหัดทำเบเกอรี่ หัดทำจากการอ่านหนังสือ ถามผู้รู้ โดยการบันทึกและวาดภาพไว้ในบล็อก เพื่อบอกสูตรการทำ
“ตอนทำขนม ลูกเข้าสู่วัยอนุบาลแล้ว กำลังเรียนรู้ ก็เลยเอาขนมมาเล่นกับลูก เพื่อเสริมทักษะให้ลูก ซึ่งเขาก็ได้เรื่องการชั่งตวง ได้เรียนรู้ก่อนเด็กคนอื่น พอลูกเข้าสู่วัยประถม เราก็ต่อยอดงานใช้ส่วนผสมออร์แกนิค จนเขียนหนังสือสูตรขนม วาดรูป ซึ่งเป็นอาชีพหลักในชีวิตอยู่แล้ว"
ก่อนหน้านี้ เธอเคยนั่งคิดดูว่า คนวัยกว่า 40 อาชีพอะไรที่ทำให้เธอไม่เครียดและไม่ทุกข์ เธอก็ได้คำตอบกับตัวเองว่า วาดรูปและทำเบเกอรี่
"มีคนบอกว่า บุคลิกแบบเรา ทำขนมไม่ได้หรอก เพราะเราไม่ได้เกิดมาเป็นแม่พลอย แต่เราก็ทำได้ แม้จะทำหก ตก หล่น ซุ่มซ่ามเหมือนเดิม เราก็ได้วาดรูปอาหาร เขียนคำอธิบาย ซึ่งนี่แหละคือคำตอบของชีวิต เป็นสิ่งที่เราทำจนถึงทุกวันนี้ เพราะเรามีมานะในสิ่งที่คนสบประมาท คิดว่าเราทำไม่ได้แน่"
1.
ทั้งๆ ที่ไม่มีความรู้เรื่องการทำขนม ไม่เคยเรียนในสถาบันอาหารชื่อดังที่ไหน อนุช ก็ลองผิดลองถูก จนทำสูตรเบเกอรี่ที่ลงตัว ซึ่งตอนนั้นใช้กว่าสองปี เมื่อลงตัวแล้วก็ทำขาย โดยเน้นคอนเซ็ปต์รักษ์โลก รักสุขภาพ และเน้นวัตถุดิบในท้องถิ่น จากนั้นเริ่มนำไปจำหน่ายที่ตลาดนัดสีเขียว
กว่าจะเป็นเบเกอรี่หน้าตาดี อนุช ยอมรับว่า ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองทั้งหมด เพราะอยากลบคำปรามาสจากคนรอบข้าง เพื่อให้เห็นว่า คนซุ่มซ่ามอย่างเธอ ไม่เคยทำอาหารเป็นเรื่องเป็นราว ก็ทำเบเกอรี่ได้
นั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่อนุช ยอมรับนิสัยดั้งเดิมว่า เวลาหยิบจับสิ่งใด ก็มักจะหลุดมือ เพราะเป็นคนซุ่มซ่ามอันดับหนึ่งของครอบครัว และเมื่อรู้ตัวว่า ไม่เก่ง ก็พร้อมที่จะเรียนรู้อย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
“เราอยู่ในครอบครัวใหญ่ ภาพพจน์ของเราก็คือ ซุ่มซ่ามมากกว่าคนอื่น ทำอะไรก็พัง เลอะเทอะ ไม่ได้รับความไว้วางใจให้ช่วยงาน เวลาไม่มีใครอยู่บ้าน เราก็แอบทำอาหาร เพื่อลบคำสบประมาท เราไม่ได้แก่กล้าวิชา จึงพร้อมจะเปิดรับความรู้ใหม่ๆ และน้อมรับคำสอนเสมอ ดังนั้นเวลาใฝ่คว้าหาความรู้ก็จะมากกว่าคนอื่น ความที่เราทำขนมไม่เก่ง จึงมานะมากกว่าคนอื่น อีกอย่างเรามีลูกชายเล็กและคุณปู่วัย 90 กว่าปี (เพิ่งเสียชีวิตวัย 96 ปี) ทั้งสองวัยต้องการทานขนมที่เราก็อยากให้ปลอดภัย" แจง เล่าเหตุผลที่หันมาทำเบเกอรี่ เพื่อไม่ให้ลูกไปซื้อขนมซองสวยๆ แต่มีพิษรับประทาน จากนั้นเธอก็ต่อยอดไปถึงเพื่อนลูกให้ได้ทานด้วย
"ต้องบอกก่อนว่า ตอนนั้นความชอบมี แต่ความถนัดไม่มี เพราะเราเป็นคนวาดรูปมาตั้งแต่เด็กๆ เป็นคนทำงานศิลปะ และในบ้านมีน้องสาวเรียนคหกรรม เราก็ไม่ได้รับการสนับสนุนเรื่องการทำอาหาร จนมาหัดทำเบเกอรี่เอง"
2.
เมื่อคุยกันถึงเรื่องเบเกอรี่ที่มีส่วนผสมตั้งแต่ แป้ง ไขมัน ไข่ นม และเนย สารปรุงแต่ง สี กลิ่นและสารยืดอายุอาหาร แจง บอกว่า เมื่อคิดจะทำเบเกอรี่ให้เด็กๆ และผู้สูงวัยรับประทาน ก็ต้องคำนึงถึงสุขภาพ ประกอบกับได้รับคำแนะนำจากเพื่อนที่ตลาดนัดสีเขียว จึงหันมาใช้วัสดุดิบอินทรีย์ ตั้งแต่ไข่ไก่ที่เลี้ยงด้วยสมุนไพรธรรมชาติ ไม่ใช้สารปฏิชีวนะ หรือสารเร่งการเจริญเติบโต ไม่มีกลิ่นคาว เมื่อแยกไข่ขาวและไข่แดง จึงเหมาะกับการทำเบเกอรี่ ไม่ต้องใช้สารสังเคราะห์แต่งกลิ่น เพื่อกลบกลิ่นคาวไข่ไก่ ส่วนไขมันเลือกใช้นมสดออร์แกนิก ส่วนสีและกลิ่นเลือกใช้สีธรรมชาติ ยกตัวอย่าง สีแดงใช้กระเจี๊ยบ สีน้ำเงินใช้ดอกอัญชัน และหลีกเลี่ยงที่จะใช้สีสังเคราะห์และวัตถุกันเสีย
“สารปรุงแต่งเหล่านี้ ถ้าใช้ปริมาตรที่กำหนด ก็ไม่เป็นอันตรายสำหรับคนวัยพวกเรา แต่ถามว่าทำไมต้องหลีกเลี่ยง เพราะเป็นอันตรายต่อเด็กเล็กและสตรีมีครรภ์ ถ้ากินบ่อยๆ ก็เกิดการสะสมในร่างกาย ถ้าทานไม่มากก็ขจัดได้ในกระบวนการของร่างกาย แต่ถ้าเลี่ยงได้...ก็ดี ดังนั้นเมื่อเราต้องการทำขนมให้เด็กเล็กและผู้สูงวัยกินก็ต้องศึกษาเอง เพราะส่วนใหญ่แล้วการทำเบเกอรี่ทั่วไปจะใช้ไขมันปาล์ม ซึ่งมีไขมันทรานส์ ทำให้เกิดไตรกลีเซอไรด์มากกว่าคอเลสเตอรอล บางคนเป็นมังสวิรัติ ก็ไม่รู้ว่า ถ้าไม่ทานไขมันสัตว์ หันมาทานไขมันปาล์มที่ผ่านกระบวนการทางเคมี หรือไขมันเทียม ก็คือ เอานมผงมาผ่านกระบวนการ ผลคือ เป็นตัวทำลายหัวใจ"
สาเหตุดังกล่าวทำให้ แจงตระหนักรู้ว่า การทำขนมให้ผู้บริโภครับประทาน อย่างน้อยๆ ต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งการทำเบเกอรี่ บางครั้่งก็ยากที่จะเลือกวัตถุดิบทั้งหมดเป็นออร์แกนิค แต่เธอก็พยายามเลือกส่วนผสมหลักให้เป็นออร์แกนิคมากที่สุด
"ในกลุ่มตลาดสีเขียวที่เราอยู่ในเครือข่ายจะสนับสนุนให้ใช้วัสดุจากท้องถิ่น จึงไม่จำเป็นต้องไปซื้อแป้งออร์แกนิคจากอิตาลีที่มีราคาแพง เมื่อเริ่มทำขายในปีที่ 3 ถามว่าท้อไหม ก็ไม่ท้อ เพราะเราทำไปเรื่อยๆ วิธีจดบันทึกก็วาดรูปเป็นผังการทำขนม กลายเป็นเรื่องสนุก เพราะเป็นความชอบ เริ่มตั้งแต่ทำเค้ก คุ๊กกี้ ส่วนขนมปังทำง่ายที่สุด ต้นทุนต่ำ แต่ใช้เวลา เราเลือกทำเป็นตัวสุดท้าย เพราะเราไม่ค่อยมีความอดทน "
3.
การทำเบเกอรี่และวาดภาพ จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของความสุขในชีวิตแจง เมื่อเเธอเห็นว่า เค้กก้อนหนึ่ง ราคาก็เกือบร้อยบาท และมีเพียงรสเดียว เงินที่มีอยู่จำกัด จึงยากที่จะกินได้หลายรส
นั่นคือ โจทย์ที่เธอแก้สมการโดยการขายไม่แพง
“ตอนแรกเราก็แค่คิดว่า ไม่อยากให้เพื่อนลูกไปทานคุ้กกี้ไม่มีคุณภาพ จึงใช้วิชาศิลปะออกแบบหีบห่อให้น่ารัก เป็นทางเลือกให้เด็กๆ และผู้ปกครองก็ตรวจสอบได้ว่า ใช้ส่วนผสมอะไรบ้าง "
เมื่อได้ทำสิ่งที่ชอบ ใช่ และไม่เป็นทุกข์มากกว่าอาชีพอื่น จึงเป็นอีกเหตุผลทำให้เธอเปิดคอร์สสอนทำเบเกอรี่ที่บ้าน โดยใช้ผนังห้อง ทำเป็นกระดานดำ วาดรูปไป สอนทำขนมไป
"ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เวลาสอนทำเบเกอรี่ อาจมีพลาด เบี้ยว สีไม่สวย เหมือนวันแรกที่เราหัดทำขนม ก็ต้องลองผิด ลองถูก ถ้าเกิดพลาด ก็ไม่ต้องกังวล อย่างเรามีมะนาวอยู่ เราก็บอกเด็กๆ ว่า สามารถทำขนมได้สามอย่างคือ เลมอนเค้ก สังขยามะนาว และเลมอนคุ้กกี้"
การสอนทำเบเกอรี่ของเธอ จึงไม่ได้มีรูปแบบเหมือนทั่วไป ลงมือทำขนมก่อน แล้วค่อยลงลึกทฤษฎี เพราะเธอเชื่อว่า ผิดเป็นครู ถ้าพลาดก็สอนเรา
"ก่อนอื่นจะนั่งคุยกันก่อน เพื่อละลายพฤติกรรมและสร้างความเข้าใจ เป็นวิธีการที่ทำให้คนเรียนทำขนมรู้สึกสนุก เรียนจากรากไปถึงปลาย คนส่วนใหญ่สอนทฤษฎีก่อนสามชั่วโมง แล้วให้ลองทำ แต่เราใช้วิธีการลงมือทำเลย เพราะเมื่อ6 ปีที่แล้วเราก็ทำแบบนั้น แล้วก็กลับมาดูว่าพลาดอะไร เมื่อพลาดก็จด แล้วแก้ไข "
ไม่ว่าจะเป็นเด็กหกขวบหรือผู้ใหญ่วัยหกสิบ ก็สามารถลงมือทำเบเกอรี่ได้ ถ้ามีความพร้อมอยากเรียน เธอรับมือได้หมด ไม่ว่าจะเรียนเพื่อทำกินเองที่บ้าน เรียนเพื่อเปิดร้าน รวมถึงให้เด็กๆ มาเรียนรู้ทักษะการทำขนม
“คนอื่นขายขนมจนรวย แต่เราขายไม่รวย จึงต้องมาสอนทำขนม และทำขายในตลาดนัดสีเขียว "
.............................
หมายเหตุ : ผู้สนใจแจงสอนทำขนม แจงสอนทำขนม ดูได้ที่ facebook.com/playacademie หรือติดต่อ081 2969662







