เวียดนาม ในสงคราม 'การเมือง'

ถอดบทเรียน "สงครามกลางเมืองเวียด" ที่ฝังเป็นความบาดหมางฝังลึกอยู่ในใจระหว่างคนเวียด เหนือ-ใต้ อะไรทำให้คนเห็นต่างร่วมทางกันได้
โฮจิมินห์ นอกจากจะเป็นเหมือนนิยามของทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเวียดนามแล้ว ยังถือเป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้กับหญิงสาวคนหนึ่งหันมาสนใจ และกระตือรือร้นที่จะทำความรู้จักกับดินแดนชายฝั่งทะเลจีนตะวันออกแห่งนี้ให้มากขึ้น
"โฮจิมินห์เป็นเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างของคนเวียดนามค่ะ" มรกตวงศ์ ภูมิพลับ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์การเมืองเวียดนาม จากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยืนยัน
จากความสนใจในตัวของ "ลุงโฮ" และแง่มุมทางประวัติศาสตร์ของสงครามเวียดนามทำให้เธอเลือกลงรายละเอียดกับเวียดนามอย่างจริงจัง
"พูดไปมันก็จะดราม่านะคะ" อาจารย์สาวออกตัวด้วยรอยยิ้ม
โจทย์ในหัวเธอมีอยู่ว่า ทำไมเวียดนามจึงเอาชนะอเมริกากับฝรั่งเศสได้ ซึ่งในสายตานักเรียนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาอย่างเธอคิดว่า เป็นจุดที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับภูมิภาคนี้ ด้วยแรงบันดาลใจดังกล่าว ทำให้วันนี้ เธอกลายเป็นนักวิชาการรุ่นใหม่อีกคนหนึ่งในรั้วท่าพระจันทร์ที่ผลิตงาน และร่วมงานเกี่ยวกับเวียดนาม ตลอดจนภูมิภาคอุษาคเนย์มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งวงวิชาการ ทั้งงานบริการสาธารณะ
ไม่ว่าจะเป็น การร่วมงานกับองค์กร Alliance Anti Trafficking เกี่ยวกับการค้ามนุษย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้ช่วยวิจัยโครงการ Migration of Thai workers in Singapore ของมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ล่ามแปลภาษาไทย-เวียดนาม-อังกฤษ ให้คณะนักวิจัยไทย จากมหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เกี่ยวกับธุรกิจส่งออกอาหารทะเลเวียดนาม ผู้แปล และกองบรรณาธิการของสารเวียดนามศึกษา รวมทั้งการทำงานในเอกสารวิชาการเกี่ยวกับเวียดนาม และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา เป็นต้น
ในสภาวการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองอันส่งผลกระทบไปถึงทุกคนในสังคมไทยขณะนี้ "สังคมเวียดเหนือ-ใต้" ก็ถือเป็นอีกบริบทที่น่าสนใจสำหรับนักวิชาการอย่างเธอ
เพราะอย่างน้อยที่สุด...
"ภายใต้การปกครองแบบพรรคเดียวก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีความขัดแย้งกัน" เธอบอก
ทำไมคุณถึงสนใจเรื่องเวียดนามเป็นพิเศษ
ตอนนั้นที่มาเรียนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เราก็สนใจ หลงใหล คลั่งไคล้ว่า ทำไมเวียดนามจึงเอาชนะอเมริกากับฝรั่งเศสได้ มันเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับภูมิภาคนี้ เหมือนอย่างที่คนไทยหลายๆ คนคิด เวียดนามเป็นประเทศเล็กๆ ไม่มียุทโธปกรณ์ และกำลังทหาร เราก็เลยเรียนภาษาเวียดนามเพราะตรงนี้มาจุดประกายเรา แล้วเราก็รู้สึกว่าเราอยากจะอ่านข้อมูลที่มันเป็นภาษาเวียดนามจริงๆ
คือเหมือนอย่างเวลาเราเคี้ยวหมากฝรั่งเราก็คงไม่อยากเคี้ยวหมากฝรั่งมือสอง หรือมือสาม จากฝรั่งบ้าง จากคนไทยบ้าง นี่เราแกะกล่องเองเลย ส่วนใหญ่ก็ศึกษาประวัติศาสตร์การเมือง อยากรู้ว่าทำไมชนะได้ เขามีวิธีการยังไง และเมื่อได้ศึกษาไป.. ศึกษาไป.. แล้วก็จะมองเห็นว่า มีทั้งฉากของประวัติศาสตร์ และสิ่งที่ซุกไว้ใต้พรม เหมือนเหรียญมันมี 2 ด้านเสมอ (ยิ้ม)
ก็เลยทำให้เห็นเวียดนามรอบด้านมากขึ้น ?
ค่ะ (ยิ้ม) แต่เราก็รู้สึกว่าการเรียนภาษา กับการเข้าใจประวัติศาสตร์ก็ทำให้เข้าใจว่า ปัจจุบันทำไมเขาเป็นแบบนี้ด้วย เราเรียนภาษา เราเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่เป็นออริจินัลได้ มันก็เลยทำให้เราอ่านเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ (จากหนังสือ) ทำให้เราสามารถไล่เรียงมา และเห็นเหตุการณ์ในปัจจุบันที่เกิดขึ้นได้ แต่เวลาอ่านประวัติศาสตร์เวียด เราก็ไม่ได้อ่านจากคนเขียนคนเดียวนะ ก็พยายามอ่านจากคนเขียนหลายๆ คน และวิธีการเขียนก็มีหลายๆ แบบ บางคนก็สนับสนุนพรรค บางคนก็ไม่เห็นด้วย ก็อ่านแล้วมาวิเคราะห์ คือ เราไม่อยากให้มองว่าโลกนี้มีแค่ขาวกับดำ เหมือนที่เมืองไทย หรือประเทศอื่นๆ ทั่วโลกก็มีประวัติศาสตร์หลายฉบับ ที่นักประวัติศาสตร์หลายคนเขียนถึง
เรารู้สึกว่า ประวัติศาสตร์มันไม่มีคำตอบตายตัวหรอก ไม่ว่าประวัติศาสตร์จะเป็นยังไงก็แล้วแต่ เราควรจะศึกษา และเรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้น เพราะตอนนี้เพื่อนบ้านก็คงจะมองไทยอย่างมาก ถ้าคุณจะเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนได้จริงๆ เราก็ต้องอาศัยความร่วมมือจากคุณด้วยเหมือนกัน ไม่ใช่คุณไม่มีศักยภาพทางการเมืองภายในแล้วเราจะไปได้ยังไง เออีซีไม่ได้แข่งขันกันเอง แต่ว่าเราจะต้องไปด้วยกัน
แต่หลายๆ ความเห็นก็มองว่าเออีซีคือการแข่งขัน ?
ช่วยกันแข่งมากกว่ามั้งคะ ช่วยกันแข่งกับคนอื่น ทำให้ตัวเองต้องพัฒนาตัวเองให้มากขึ้นมากกว่า เพราะถ้าเกิดคุณจะแข่งกันคุณก็ไม่ต้องรวมกันหรอก ก็แย่งแข่งกันไปเองเถอะ พูดง่ายๆ ว่าถ้าจะรวมกันแล้วยังกลัวกันจะได้ดีเนี่ย จะรวมเพื่ออะไร คือ เราไม่ปฏิเสธหรอกในความเป็นจริงมันย่อมต้องมีการแข่งขันกัน แต่อย่างน้อยที่สุดมันก็คือการช่วยกันแข่งกับคนอื่นในโลก
เรามักได้ยินเรื่องของการผลักดันไทยให้เป็นผู้นำภูมิภาคอยู่บ่อยๆ ช่วงนี้ ในสายตานักวิชาการด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา 'ไทย' อยู่ตรงไหนของอาเซียน
ใครๆ ก็อยากเป็นผู้นำหรือเปล่าคะ ? แต่ถามว่าเราทำไมต้องหาผู้นำ เพราะถ้าหาผู้นำเราก็ไม่ควรให้คนอื่นเขานำเราถูกไหม ที่สำคัญการหาผู้นำมันไม่ใช่ความร่วมมือในลักษณะประชาคมถูกไหม ถ้าเราอยากจะนำ คนอื่นก็อยากจะนำ มันก็จะแข่งกันเถียงว่า ใครจะเป็นผู้นำ แล้วมันจะไปต่อยังไง แต่คนไทยเราชอบคิดแบบนั้น
เราไม่ปฏิเสธต้นทุนในเรื่องของการพัฒนาที่ดีกว่าหลายๆ ประเทศเพราะเราไม่เคยเจ็บกับการสู้รบภายใน อย่างเขมรแดง หรือเวียดนาม กว่าเขาจะผ่านพ้นสงครามมาได้ ซึ่งมันก็แค่ไม่กี่ปีเองที่จะหายจากบาดแผลสงคราม แต่เราอาจจะสบายจนเคยชินหรือเปล่า ในขณะที่คนอื่นเขาไม่เคยได้สบาย เขาก็อยากสบาย แล้วเขาก็หาวิธีการยังไงที่ทำให้เขาสบาย เขาก็ทำ ขณะที่เราไม่เคยทุกข์ไม่เคยลำบาก
เวลาเราเดินทางไปประเทศเพื่อนบ้านก็จะมี "แก๊งคนไทย" ... ดูสิ ทำไมที่ไทยไม่เห็นมีเลย ดูเป็นของแปลก เราชอบเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางแล้วไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ไม่เคยเอาตัวเองเข้าไปสมมติเป็นคนในประเทศนั้น แล้วมองจากมุมคนในประเทศนั้นถ่ายทอดออกมา ถือเป็นสิ่งที่เราต้องปรับตัวอย่างยิ่งในเรื่องการมองคนอื่น การทำความเข้าใจคนอื่น แล้วเราจะเข้าใจตัวเอง
แล้วความขัดแย้งที่เกิดขึ้นกับสังคมไทยวันนี้ล่ะ มองจากมุมของอาเซียนจะแปลความหมายออกมาได้อย่างไรบ้าง
หากมองในแง่อาณาบริเวณอุษาคเนย์ศึกษา ประเทศเพื่อนบ้านของเราทั้งหมดล้วนเคยตกเป็นอาณานิคมของต่างประเทศ พูดง่ายๆ ก็คือมันมีตัวแปรของต่างชาติเข้ามาในอุษาคเนย์ทั้งหมด ยกเว้นของไทย หมายถึงทางตรงนะคะ ส่วนของเราเข้ามาในทางอ้อมมากกว่า เราไม่ได้ถูกยึดอำนาจอธิปไตยไปเหมือนประเทศอื่นๆ เพราะฉะนั้น แต่ละประเทศในอุษาคเนย์ก็จะมีภาวะเปลี่ยนผ่าน ซึ่งไทยไม่ได้ประสบพบเจอ โดยภาวะเปลี่ยนผ่านที่ว่าก็คือ มันจะต้องมีการเลือดตกยางออก เสียเลือดเสียเนื้อ ผ่านขบวนการเคลื่อนไหวต่างๆ ที่มันเกิดขึ้น นั่นก็คือการต่อต้านอาณานิคม ไม่ได้เกี่ยวกับการสู้รบภายใน
ถ้าหากคิดถึงเรื่องบริบทการแบ่งขั้วทางการเมืองเราอาจจะมองผ่านเพื่อนบ้านไม่ได้ ?
ที่เกี่ยวกับการสู้รบภายในก็อย่างกรณีของเวียดนาม นี่ก็เป็นกรณีของสงครามตัวแทน เป็นสงครามละหว่างเจ้าอาณานิคมกับคนใน กรณีของเวียดนามคือ สงครามเวียดนามกับฝรั่งเศส หลังจากนั้น แม้ว่าเขาบอกว่าสงครามเวียดนามมันคือการรบระหว่างเหนือใต้ แต่ในที่สุดการรบระหว่างเหนือใต้ก็คือ Proxy War หรือสงครามตัวแทน เดิมทีหลังจากเวียดนามชนะฝรั่งเศสที่เดียนเบียนฟูแล้ว ก็ได้มีการตกลงทำสนธิสัญญาเจนีวา เพื่อตกลงให้มีการเลือกตั้ง แต่พอดีว่า ทางใต้เขาก็คิดให้ โง ดิ่ญ เสี่ยม หรือ โง ดินห์ เดียม (Ngô Đình Diệm - ประธานาธิบดีของเวียดนามใต้ ตั้งแต่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2498 จนกระทั่งถูกสังหารเมื่อ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2509) ขึ้นมาเป็นตัวแทนภายใต้การหนุนของอเมริกา มันกลายเป็นว่า สงครามตัวแทนก็ทำให้คนเวียดนามภายในแตกแยกกันเอง
เวลาเราพูดถึงอาณานิคมเข้าไปปกครอง เรามักจะเข้าใจว่า คนเวียดนามทุกคนจะต้องเป็นคนรักชาติ และเมื่อเห็นฝรั่งเศสทุกคนจะต้องยิงทิ้ง ไม่ชอบขี้หน้า แต่ในความเป็นจริงแล้วโลกมันก็ไม่ได้มีแค่ขาวกับดำ คือในขณะที่ฝรั่งเศสเข้าไปปกครองก็มีคนเวียดนามที่เป็นข้าราชการ หรือเป็นคนที่สนับสนุนการปกครองของฝรั่งเศสเพราะคนกลุ่มนี้ได้ผลประโยชน์ แล้วก็มีคนเวียดนามที่ไม่เห็นด้วยนั่นแหละ ซึ่งภายหลังคนกลุ่มนี้ชนะ
ถ้าถามว่าทุกสังคมมีขาวกับดำชัดเจนเลยหรือเปล่า ก็ไม่ มันก็มีเทา เทามาก เทาน้อย พอเราพูดถึงในกรณีเวียดเหนือกับเวียดใต้ บ้านเราตอนนี้กำลังขัดแย้งกัน เวียดนามเหนือกับเวียดนามใต้รบกัน ไม่ได้หมายความว่าคนเวียดนามเหนือรบกับแค่อเมริกา แต่สงครามมันมีความซับซ้อนมากกว่านั้น กองทัพของเวียดนามใต้ซึ่งเห็นพ้องกับการเข้ามาของอเมริกาก็รบ และฆ่าคนเวียดนามเหนือ ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมประเทศเดียวกันเพียงแต่ว่าอยู่คนละข้าง
ทีนี้ พอสงคราม 30 ปีในเวียดนามจบลง ระหว่างทางสู่ชัยชนะนั้นก็มีสงครามระหว่างคนเวียดนามด้วยกันแล้ว ก็ยังมีเรื่องของทัศนคติด้านการปกครองที่ต่างกันอันนำไปสู่ความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ และความบาดหมาง รวมทั้งแผลในใจระหว่างคนเวียดนามเหนือกับคนเวียดนามใต้
ตะกอนความเกลียดชังเหล่านั้นก็ยังตกทอดมาสู่คนเวียดนามในปัจจุบัน ?
ใช่ค่ะ เพราะมันมีสิ่งที่เรียกว่า อคติ ตลอดจนความคลางแคลงใจระหว่างคน 2 ภาคอยู่แล้ว อย่างเมื่อตอนเดินทางไปเวียดนามใต้ ไกด์เล่าให้ฟังว่า ถ้าผู้ชายมีครอบครัวที่เคยทำงานเป็นอดีตทหารของอเมริกา หรือกองทัพเวียดนามใต้ อยากจะไปแต่งงานกับลูกสาวนายตำรวจซึ่งเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ แต่งได้ไหม แต่งไม่ได้ เพราะเขาถือว่าเป็นกบฏ คิดคด ทรยศต่อชาติมาก่อน คุณจะแต่งงานได้ก็ต่อเมื่อเจนเนอเรชั่นที่ 3 ผ่านไป พูดง่ายๆ ก็คือต้องรุ่นหลานถึงจะแต่งงานได้ มันเป็นกฎที่พรรคคอมฯ เขาตั้งไว้
แต่ภาพที่เราเห็นในมุมของคนนอกที่มองเข้าไป ก็ไม่ได้รู้สึกถึงความบาดหมางของคนเวียดนามกันเองสักเท่าไหร่ ในทางกลับกันเขาก็สามารถขับเคลื่อนสังคม เศรษฐกิจของประเทศต่อไปได้ เพราะอะไร
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ถามว่าคนเวียดนามเขามีความคลางแคลงใจกันไหม คำตอบก็คือ มีอยู่ด้วยแผลประวัติศาสตร์ ถามว่าทำไมเขาถึงเติบโตในเชิงเศรษฐกิจได้ค่อนข้างดี ทั้งๆ ที่ผ่านสงครามมาตั้ง 30-40 ปี มันเป็นเพราะว่า เวียดนามได้เจอสภาวะที่แย่ที่สุดมาแล้ว ไม่รู้จะกินอะไร ข้าวก็ไม่ได้ปลูกกินดีๆ ปลาจะหากินจะออกไปหากินธรรมดาๆ ก็ยังทำไม่ได้ มันแร้นแค้นสุดๆ แล้วก็บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย สะบักสะบอมทั้งคู่
ทีนี้ ถามว่า แล้วคุณจะทำอะไร ในภาวะแบบนี้ คุณจะเอามีดไปฆ่าเขาเหรอ แล้วคุณจะอยู่ยังไง คุณพอใจไหม คุณฆ่าเขาแล้วคุณติดคุก คุณโอเคไหม คือ จากบาดแผลสงครามที่พวกเขาผ่านมานั่นแหละ ที่ทำให้เขาฉุกคิดได้ว่า ไอ้สิ่งที่เกิดขึ้นในสงครามแม้ว่า คนในชาติจะขัดแย้งกันเองแต่ว่า จะทำยังไง จะใช้ให้เป็นบทเรียนเพื่อที่จะทำให้ปัจจุบัน กับอนาคต ตัวเอง หรือลูกหลานสามารถอยู่ได้อย่างสงบสุข ไม่ไปเจอกันภาวะสงครามเหมือนที่เคยเป็นมาในอดีต
เรียนรู้ที่จะเปลี่ยนผ่านจากสภาวะเหล่านั้น ?
เพื่อที่จะไม่สนใจกับแผลบางอย่างที่มันฉกาจฉกรรจ์...
ในประวัติศาสตร์การเมืองเวียดนามเองพรรคคอมมิวนิสต์เองก็เคยมีการบริหารที่ผิดพลาดและสร้างบาดแผลฉกรรจ์ให้คนเวียดนามเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่ายสัมมนาหลังจากไซ่ง่อนแตกและรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์ของเวียดนามเหนือประกาศชัยชนะ หรือกระทั่งกรณีนโยบายปฏิรูปที่ดินที่พรรคคอมมิวนิสต์นำมาใช้ในทศวรรษที่ 1950 ในเวียดนามเหนือก็ล้มเหลวส่งผลให้คนอดอยากและเสียชีวิตเรือนแสน พรรคคอมมิวนิสต์เลือกที่จะขอโทษและยอมรับว่าเป็นความผิดพลาด แต่ก็เลี่ยงที่จะไม่พูดถึง
การเมืองทุกประเทศมีระเบิดเวลาในตัวของมันเอง ในยุคโลกาภิวัตน์ข่าวสารไร้พรมแดน ชาวเวียดนามรับข่าวสารจากประเทศอื่นขณะเดียวกันก็ตั้งคำถามกับรัฐบาล กระแสสังคมเวียดนามที่วิพากษ์รัฐบาลมากขึ้นทำให้องค์กรปกครองสูงสุดอย่างพรรคคอมมิวนิสต์เองต้องปรับเปลี่ยนเพื่อยืดระเบิดเวลานั้นออกไป
เรียกว่า "หลับตาข้างเดียว" ได้ไหม
ก็น่าจะใช่นะคะ เลือกที่จะไม่มองน่ะ เห็น แต่เลือกที่จะไม่สนใจ ไม่หยิบขึ้นมา แต่ก็สามารถมองได้อีกแง่หนึ่งด้วยนะว่า คนเราต่างก็อยากอยู่อย่างสงบใช่ไหม ตอนนี้ในสังคมเวียดนามเองก็มีการล้อมกรอบด้วยกฎหมายต่างๆ ซึ่งตรงนี้ บ้านเราอาจจะโชคดีเสียอีกที่มีสิทธิในการประท้วง แต่คนเวียดนามไม่มีสิทธิในการประท้วง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการวิพากษ์วิจารณ์การเมือง คุณอาจจะถูกจำคุกโดยที่ไม่ได้รับการไต่สวน ถ้ามีคนแจ้งความคุณ หรือฟ้องร้องคุณและเขามีหลักฐานว่าคุณเป็นปฏิปักษ์ต่อพรรค... ข้อหา "เป็นปฏิปักษ์ต่อพรรค" และ "เป็นภัยต่อความมั่นคงทางการเมืองต่อพรรค" แค่นี้คุณก็โดนจับเข้าคุกไป เราอาจจะโชคดี เราน่าจะใช้ความโชคดีของเราให้มันถูกต้อง มันก็ต้องมีกรอบมีช่องอะไรบางอย่างที่เราจะต้องยึด ไม่อย่างนั้นมันก็แกว่งไปตามอารมณ์
ถ้าอย่างนั้น คนเวียดนามเองเขามองการเมืองไทยเหมือนกันหรือเปล่า ถ้าเขามอง เขามองมุมไหน
เขาสนใจนะ จากที่เคยได้ไปอยู่กับครอบครัวคนเวียดนามมา ตั้งแต่ปี 2549-2550 ก็จะมีข่าวการเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง เขาก็ถามว่า คุณปล่อยให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไรในสังคมไทย ถ้าเป็นเวียดนามนะโดนจัดการขั้นเด็ดขาดไปแล้ว และเพราะอย่างนี้นั่นแหละที่ทำให้การเมืองไทยไม่มีเสถียรภาพ คือ คนจำนวนมากมองว่าเสถียรภาพของรัฐบาลเป็นสิ่งสำคัญ เพราะว่ามันสามารถขับเคลื่อนนโยบายทางเศรษฐกิจต่อไปได้
สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทย มุมหนึ่งเขาก็คิดนะว่ามันก็ดี อย่างน้อยคุณก็ได้แสดงถึงสิทธิในการแสดงออกทางความคิด เพราะเขาไม่ได้รับในเรื่องนี้เหมือนอย่างที่คนไทยได้รับ แต่ขณะเดียวกัน บางคนก็มองว่า การเมืองไทยจำเป็นต้องมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ ไม่อย่างนั้นเรื่องการค้าการลงทุนมันก็ไม่สามารถเดินหน้าไปต่อได้
เหมือนอย่างที่คุณพูดเมื่อสักครู่ว่า ถึงความคลางแคลงใจยังมีอยู่ แต่เขาก็เลือกที่จะไม่หยิบขึ้นมาเป็นเรื่อง ตรงนี้จริงๆ แล้วมันคือส่วนหนึ่งของการสร้างดุลยภาพของความขัดแย้งเพื่อพยุงสังคมหรือเปล่า
เรามองว่าเรื่องของปากท้อง หรือเรื่องความเป็นอยู่แบบสันติถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนเวียดนามไม่ต้องไปเจอความขัดแย้ง หรือสงครามมากกว่า พูดง่ายๆ ก็คือบาดแผลมันทำให้เขาคิดว่า ชีวิตที่อยู่ดีกินดี อยู่อย่างสงบนั่นแหละคือสิ่งที่คนเวียดนามต้องการ ทำไมจะต้องไปสนใจเรื่องความขัดแย้งด้วย สำหรับคนส่วนใหญ่นะ อาจจะยังไม่ถึงขนาดดุลยภาพ เพราะมันไม่ได้มีความขัดแย้งถึงขั้นต้องประนีประนอมกัน แต่ว่าคนเวียดนามจะคิดถึงเรื่องการดำรงชีวิตมากกว่า
คุณคิดดูว่า ขนาดคนเวียดนามที่หนีออกไปสมัยที่ไซ่ง่อนแตก ก็แน่นอนเขาเป็นศัตรูกับพรรค ตอนนี้ไปอยู่อเมริกาแล้วมีความเป็นอยู่ที่ดี มีกินมีใช้ แล้วเขาก็ส่งเงินกลับมาเวียดนาม พรรคก็ชอบมาก และเงินที่ส่งมาจากกลุ่มเวียดนามโพ้นทะเลในแต่ละปีก็มีสูงมาก มันก็เกิดคำถามขึ้นมาว่า อ้าว ปกติคุณไม่ถูกกันไม่ใช่เหรอ แต่ทำไมถึงส่งเงินกลับมาล่ะ ตรงนี้มันก็เป็นเรื่องสำนึกของความเป็นคนเวียดนั่นแหละ คนเวียดนามบางคนไปอยู่อเมริกา ไปอยู่ออสเตรเลีย อยากกลับมาตายที่เวียดนามก็มี เขาก็ยังคิดว่าการที่เขาส่งเงินเข้ามา เขาก็ยังมีญาติ หรืออย่างน้อยที่สุด ช่วงบั้นปลายชีวิตเขาก็อาจจะกลับมาตามที่เวียดนามก็ได้ ก็ยังมีแนวคิด เกิดที่นี่-ตายที่นี่ แต่นั่นไม่ใช่เวียดนามโพ้นทะเลรุ่นลูกรุ่นหลานที่เกิดที่อเมริกานะ
ถ้ามองบ้านเรา บ้านเขา เราสามารถเรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้ได้ ?
เพราะเขาเจ็บ แต่เราไม่เคยเจ็บค่ะ เราไม่เคยเจ็บจากคนข้างนอก เราจึงไม่รู้ว่า ความเจ็บจริงๆ มันเป็นยังไง เราก็เลยอยากเจ็บ คือ เราอาจไม่มีบทเรียนสั่งสอนจากประสบการณ์ตรง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเราโชคดีหวุดหวิดมาโดยตลอด ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 หวุดหวิดกับการที่จะถูกคนต่างชาติเข้ามา เราก็เลยไม่รู้ว่าเราเจ็บ ความเจ็บมันคืออะไร เพราะเราไม่ถูกทำให้เจ็บมาก่อน พอมาถึงตอนนี้ก็เลยรู้สึกว่ามันก็ต้องสู้เลือดรักชาติมันเยอะ บางคนก็เป็นเรื่องอุดมการณ์ หลักการสำคัญกว่าชีวิตคน นี่ก็ถือเป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องของคนเวียด การสูญเสียพ่อแม่พี่น้อง สามี หรือคนในครอบครัว พวกเขาซาบซึ้ง เขาเรียนรู้เรื่องความสูญเสียคนที่เขารักหรือคนที่เป็นเพื่อนร่วมประเทศของเขาไปมันเป็นยังไง แต่ขณะที่ประเทศไทย การเรียกร้องก็ส่วนหนึ่ง แต่เรื่องคนตายในเหตุการณ์กลับไม่ค่อยมีใครพูดถึงเลย ตรงนี้มันน่าเศร้านะคะ
+++++++
...แม้ปัจจัยภายนอกที่นำไปสู่ความแตกแยกในสังคมจะไม่ได้มาจาก "คนนอก" แต่หากปล่อยให้สังคมถลำลึกลงไปสู่ความเกลียดชังโดยสมบูรณ์ ซึ่งอาจจะนำไปสู่ความรุนแรงอะไรก็ได้ บทเรียนจากประเทศเพื่อนบ้านไม่ว่าจะเป็นกัมพูชา หรือเวียดนามจึงน่าจะอีกกรณีศึกษาที่จะนำมาชวนฉุกคิดต่อ รวมทั้งการก้าวข้ามความแตกต่างทางความคิดเพื่อประคับประคองให้สังคมเดินหน้าต่อไปได้อีกด้วย
แน่นอนว่า สิ่งเหล่านี้น่าจะสำคัญกว่าชัยชนะบนความย่อยยับของฝ่ายตรงข้าม เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว คำตอบสุดท้ายที่รออยู่บนซากปรักหักพังของประเทศ ก็คงหนีไม่พ้น คำว่า "เราต่างแพ้กันทุกคน"







