"ชินลง" ในวงล้อมมิตรภาพ

รู้จัก เพื่อนเตกโก ญาติตะกร้อ กีฬาเชิงวัฒนธรรมประจำลุ่มอิระวดีโบราณ เปิดตัวอย่างเป็นทางการในซีเกมส์ครั้งแรกที่เมียนมาร์
หลังจากการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 27 ที่กรุงเนปิดอว์ ประเทศเมียนมาร์ เปิดฉากขึ้นตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม เหรียญแรกที่นักกีฬาไทยประเดิมหยิบติดมือกลับมาฝากแฟนกีฬาชาวไทยได้ก็คือ 2 เหรียญทองจากกีฬา "ชินลง"
จากภาพข่าวหน้าจอโทรทัศน์ กลุ่มคนที่ล้อมวงผลัดกันเดาะ "ลูกหวาย" สลับกันไปมา อาจทำให้หลายคนสงสัยว่า ตกลง ชินลง กีฬาประจำชาติเมียนมาร์นั้นต่างจาก "วงตะกร้อไทย" ตรงไหน
วงระบำปลายเท้า
เป็นธรรมดาของสวนสาธารณะที่จะคลาคล่ำไปด้วยผู้คน แต่ดูเหมือนเช้าสุดสัปดาห์ของสวนสราญรมย์จะค่อนข้างคึกคักเป็นพิเศษ จากท่วงท่า และลีลาชินลง จากกลุ่ม Happy Chinlone อิมพอร์ตตรงมาจากมัณฑะเลย์ เพื่อเผยแพร่ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับนักตะกร้อไทย
ลูกหวายลอยระดับเอว ก่อนที่ใครบางคนจะกระโดดสปริงตัวขึ้น ยกเท้าข้างหนึ่งข้ามลูก ก่อนใช้อีกข้างแปลูก แล้วบิดตัวกลางอากาศก่อนกลับลงพื้น ดูคล้ายท่า "มะนาวตัด" ในตะกร้อลวดห่วง แต่นี่คือ "วายต์จี" หนึ่งในลูกเล่นระดับ "แม่ไม้ชั้นครู" ของตระกร้อพม่า
...หลังจากเท้าขาหลักแตะถึงพื้นเสียงปรบมือก็ดังขึ้นพร้อมกัน
"ชินลงเป็นภาพที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปที่เมียนมาร์นะครับ" อู จอ เต็น (U Kyau Thein) ผู้อาวุโสของกลุ่มเล่าถึงลักษณะของการเล่นลูกหวายแดนอิระวดี
จากเอกสารทางวิชาการเกี่ยวกับ ชินลง หรือ ชินโลน (Chinlone) นั้นระบุว่า เดิมกีฬาชนิดนี้ถือเป็น ศิลปะการละเล่นดั้งเดิมที่มีมากว่า 1,500 ปี ของเมียนมาร์ เป็นการผสมผสานกันระหว่างกีฬากับการเต้นรำ เล่นกันเป็นทีม ไม่มีคู่ต่อสู้ แต่ละท่าในการเล่นต้องผ่านการฝึกฝน เพราะจะมีการใช้ลีลา ทักษะ ตลอดจนความสมดุลของร่างกายแตกต่างกันไป โดยนิยมเล่นกันทั้งผู้ชาย และผู้หญิง ในปัจจุบันมีการนำออกแสดงโชว์เป็นอาชีพหนึ่งอย่างแพร่หลาย
ท่วงท่า และความสวยงามของผู้เล่นชินลง ทำให้ครั้งหนึ่ง เกร็ก แฮมิลตัน (Greg Hamilton) ผู้กำกับหนังสารคดีเรื่อง Mystic Ball เคยเอ่ยถึงศิลปะการเล่นชินลงว่า
...ไม่มีที่ใดในโลกอีกแล้ว ที่จะมีระดับความพิเศษสุดยอดของทักษะการใช้เท้าและความเลอเลิศสง่างาม ผสานกับการแสดงออกเชิงศิลปะ และมีความลึกซึ้งทางจิตวิญญาณเท่ากับเกมชินลงที่เล่นในเมียนมาร์
"การเดาะของเขานี่ต้องยอมรับว่าเป็นที่หนึ่งในโลก" ผจญ ภู่ยงยุทธ ผู้ฝึกสอนตะกร้อลอดห่วง และตะกร้อลีลาให้ความเห็นเมื่อได้มาสัมผัสกับชินลง
ขณะที่ คนเล่นตะกร้อที่ได้มีโอกาสเข้าไปร่วมวงชินลงอย่าง ณัฐวัชร์ กิการโกศล จับสังเกตถึงรูปแบบการเคลื่อนไหวที่แตกต่างกัน คือ ตะกร้อไทยจะประจำจุด แต่ชินลงจะเดินวน ซึ่งตรงนี้ ถือเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งสำหรับชินลงในการเล่นเป็นทีม โดยจะมีผู้เล่น 6 คน หนึ่งคนอยู่ตรงกลางคอยคอนโทรลเกม และโชว์ทักษะชินลงของตัวเอง โดยมีเพื่อนๆ คอย "ชง" ให้ ซึ่งตำแหน่งนี้เรียกกันว่า "มินดา" แปลว่า "เจ้าชาย" (ถ้าเป็นผู้หญิงจะเรียก มินดานี - เจ้าหญิง)
แต่ที่เราเห็นในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์นั้น จะมีการใช้ท่าพื้นฐาน 6 ท่า อันประกอบด้วย หลังเท้า หน้าเท้า เข่า ฝ่าเท้า ส้นเท้า และข้างเท้า เท่านั้น
"ท่าของชินลงถ้านับจริงๆ ก็ตกประมาณ 200 กว่าท่าน่ะครับ" อู จอ เต็น ให้รายละเอียด
ลีลาล้วน "มิตร"
นอกจากความฉับไวในการเล่นที่แสดงให้เห็นถึงการฝึกฝนมาอย่างโชกโชน อย่างลูกไม้ของ กู กู โซ (Ko Ko Zaw) นักชินลงดีกรีแชมป์จากมัณฑะเลย์จะสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับคนดูแล้ว การโชว์ลีลาชินลงผาดโผนของ เม พิว ออง (May Phyo Aung) นักชินลงสาว ยังทำให้ผู้บรรยายถึงกับออกปากชมว่า วัฒนธรรมลูกหวายนี้ "น้ำหนัก" ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับคนเล่นเลยแม้แต่น้อย
แน่นอนว่า นี่ถือเป็นคำอธิบายถึงวิถีของชินลงที่แทรกซึมอยู่ในการใช้ชีวิตของชาวเมียนมาร์อย่างแนบสนิทเป็นเนื้อเดียวกันไปแล้ว เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว กู กู โซ คงไม่ออกตัวว่า จะรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้ง หากวันไหนไม่ได้เล่นชินลง หรือสาวเมที่บ่อยครั้งเดินสายโชว์ชินลงให้ดูกันฟรีๆ เพียงเพราะต้องการเล่นกับเพื่อน
"การเล่นกีฬาชนิดนี้ไม่สามารถเล่นคนเดียว หรือโดดเดี่ยวได้ เราก็เลยต้องเล่นเป็นวง ในการเล่นเป็นวงทำให้เกิดบรรยากาศเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เริ่มต้นด้วยมิตรภาพ เมื่อพบกันในวงชินลงแล้ว มันก็มีเรื่องพูดคุยกันต่อไป ใครทำอะไร เกี่ยวพัน และจะช่วยเหลือกันอย่างไร" ผู้อาวุโสแห่งวงการชินลงคนเดิมเล่าถึงสิ่งที่สอดแทรกอยู่ในเนื้อหาของวงลูกหวายนี้ ไม่ต่างจากเทศกาล โซชินลง ที่มัณฑะเลย์ อันเป็นที่รู้จักกันในวงการนักเล่น และแฟนชินลงว่านี่คือเทศกาลรวมนักชินลงที่ใหญ่ที่สุดแห่งปีของเมียนมาร์ ซึ่งจะจัดขึ้นพร้อมงานบุญของวัดมหามุนีเป็นประจำทุกปี โดยสารัตถะของงานก็อยู่ที่การแลกเปลี่ยนทักษะ ประสบการณ์ และร่วมบุญเป็นพุทธบูชานั่นเอง
"การเล่นชินลงสะท้อนถึงสังคมพม่าอย่างชัดเจนนะครับ" คามิน คมนีย์ ผู้เขียนหนังสือเรื่อง ไปเป็นเจ้าชายในแคว้นศัตรู แบ่งปันมุมมองถึงชินลงที่ตัวเองได้เข้าไปคลุกคลีอยู่กว่า 8 ปี เขามองเห็นการเอื้อเฟื้อ แบ่งปัน ที่ไม่ต่างกับสังคมไทยสมัยก่อน ซึ่งการเป็นผู้ให้ และเป็นผู้รับถือเป็นอัตลักษณ์ที่สอดแทรกเอาไว้อย่างชัดเจนไม่ว่าจะเป็นตะกร้อวง หรือชินลงหมู่
"พอเราเล่นไปเรื่อยๆ ก็จะได้ซึมซับถึงเรื่องของการแบ่งปัน ผลัดกันให้ ขณะเดียวกันเราก็มีโอกาสเข้าไปตรงกลางวงโดยที่เพื่อนๆ ช่วยเรา ทำให้เราสามารถก้าวไปถึงจุดที่ดีที่สุดได้ โดยไม่จำเป็นต้องมาแข่งขันกัน แต่เป็นการช่วยเหลือกัน ใครที่ยังไม่ดีก็จะดี ใครที่ดีอยู่แล้วจะดียิ่งขึ้น"
แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับทักษะ และความคิดสร้างสรรค์ของนักชินลงแต่ละคน
ขณะเดียวกัน เหรียญรางวัลสำหรับชินลงในซีเกมส์วันนี้ ไม่ได้มีความหมายเพียงแค่รางวัลอย่างเดียวเท่านั้น ในทางกลับกัน ผู้ฝึกสอนชินลงอย่างอู จอ เต็น ยังหวังว่า นี่จะถือเป็นก้าวแรกให้อาเซียนได้รู้จักกับวัฒนธรรมลูกหวายจากบ้านเขา และทำให้เป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลกในอนาคต
ไม่ต่างจากวงชินลง ที่เริ่มต้นด้วยการล้อมวง ก่อนจะจบลงด้วยมิตรภาพ และความกลมเกลียวในที่สุด
การเดินทางของลูกหวาย
- ความหมาย คำว่าตะกร้อ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้คำจำกัดความเอาไว้ว่า "ลูกกลมสานด้วยหวายเป็นตา สำหรับเตะ" -
ในการค้นคว้าหาหลักฐานเกี่ยวกับแหล่งกำเนิดการกีฬาตะกร้อในอดีตนั้น ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้อย่างชัดเจนว่า "ตะกร้อ" นั้นมีต้นกำเนิดจากไหน หากมีข้อสันนิษฐานถึง "วัฒนธรรมร่วม" ของลูกหวายที่มีปรากฏการเล่นอยู่ในหลายประเทศของภูมิภาคต่างวาระกันไป
สหภาพเมียนมาร์ ราวพ.ศ. 2310 กองทัพพม่ามาตั้งค่ายอยู่ที่โพธิ์สามต้น ก็เลยเล่นกีฬาตะกร้อกัน เรียกตามภาษาพม่าว่า ชิงลง (chinlone) ทาง มาเลเซีย ก็ประกาศว่า ตะกร้อเป็นกีฬาของประเทศมาลายูเดิมเรียกว่า ซีปักรากา (Sepak Raga) คำว่า Raga หมายถึง ตะกร้า ฟิลิปปินส์ ก็นิยมเล่นกันมานานแล้วแต่เรียกว่า Sipak
ที่ จีน ก็มีกีฬาที่คล้ายกันแต่เป็นการเตะตะกร้อชนิดที่เป็นลูกหนังปักขนไก่ ซึ่งจะศึกษาจากภาพเขียนและพงศาวดารจีน ชาวจีนกวางตุ้งที่เดินทางไปตั้งรกรากในอเมริกาได้นำการเล่นตะกร้อขนไก่นี้ไปเผยแพร่ แต่เรียกว่า เตกโก (Tek K’au) ซึ่งหมายถึงการเตะลูกขนไก่ ขณะที่ เวียดนาม ก็มีการเล่นนี้ไม่ต่างกัน โดยเรียกว่า Shuttle cok ส่วน เกาหลี ก็มีลักษณะคล้ายกับของจีน แต่ลักษณะของลูกตะกร้อแตกต่างไป คือใช้ดินเหนียวห่อด้วยผ้าสำลีเอาหางไก่ฟ้าปัก
สำหรับ ประเทศไทย กีฬาตะกร้อก็นิยมเล่นมายาวนาน มีหลายประเภท เช่น ตะกร้อวง ตะกร้อลอดห่วง ตะกร้อชิงธง และการแสดงตะกร้อพลิกแพลงต่างๆ ซึ่งมีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องมาตามลำดับทั้งด้านรูปแบบและวัตถุดิบในการทำจากสมัยแรกเป็นผ้า, หนังสัตว์, หวาย, จนถึงประเภทสังเคราะห์ (พลาสติก) โดยได้มีการบรรจุตะกร้อเข้าไว้ในการแข่งขันกีฬาแหลมทองครั้งที่ 3 ที่ประเทศมาเลเซีย และได้รับความนิยมเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน




