ว่าด้วยเสียงทรัมเป็ตในดนตรีซิมโฟนีของมาห์เลอร์

บวรพงศ์ ศุภโสภณ เขียนถึงการบรรเลงคอนเสิร์ตของ ทีพีโอ
“ศิลปินสามารถแสดงคุณลักษณะทางดนตรี ได้เพียงบางประการ ในการแสดงดนตรีแต่ละครั้ง และไม่สามารถแสดงทุกสิ่งทุกอย่างที่นักประพันธ์ดนตรีเขียนไว้ในสกอร์ดนตรีได้ครบถ้วน ในการแสดงดนตรีเพียงครั้งเดียว”
นี่คือวาทะของ ดาเนียล บาเรนบอย์ม (Daniel Barenboim) ศิลปินเดี่ยวเปียโนและวาทยกรระดับโลก ที่กล่าวไว้ในบทความเรื่อง “อิสรภาพแห่งความคิดและการตีความ”(Freedom of thought and Interpretation) จากหนังสือ Everything is connected,The Power of Music ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวของผม หลังจากการบรรเลงซิมโฟนี หมายเลข1(Titan) ของ กุสตาฟ มาห์เลอร์ (Gustav Mahler) โดยวง ทีพีโอ (Thailand Philharmonic Orchestra) สิ้นสุดลงในเย็นวันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ.2556 ที่ หอแสดงดนตรี วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ใช่แล้ว นี่คงมิได้เป็นการบรรเลงที่กล่าวได้ว่า “ดีเลิศ” หากแต่สามารถกล่าวได้ว่า มันเป็นการบรรเลงที่มีความหมาย,มีทิศทางรูปแบบที่ชัดเจน แสดงให้เห็นถึงหมุดหมายที่วงออร์เคสตราวงนี้กำลังดำรงอยู่ในปัจจุบัน
วงทีพีโอ ได้ก้าวเข้าสู่สมัยกาลที่ 9 ในเดือนพฤศจิกายน ปีนี้ และมีการเสริมกำลังนักดนตรีในระดับหัวหน้ากลุ่ม (Principal),เพิ่มรายการแสดงจากเดือนละ 2 รายการเป็น 3 รายการ (รายการละ 2 ครั้ง นั่นคือมีการแสดงคอนเสิร์ต 6 ครั้งต่อเดือน!) สำหรับการแสดงในครั้งนี้อยู่ภายใต้การอำนวยเพลง โดย คลอด วิลลาเรต์ (Claude Villaret) วาทยกรรับเชิญหลัก,สุภาพบุรุษทางดนตรีขวัญใจของนักดนตรีหลายคนในวง ซึ่งการบรรเลงซิมโฟนี ของมาห์เลอร์ในครั้งนี้ อาจทำให้แฟนๆ ซิมโฟนีของมาห์เลอร์ ที่นิยมชมชอบ ความเจิดจ้า,ร้อนแรง ดุดัน ต้องรู้สึกอัดอั้นหรือไม่สะใจกันไปบ้าง แต่ในทางตรงกันข้าม การบรรเลงในครั้งนี้ อาจทำให้เราต้องกลับมานั่งคิดกันใหม่ เกี่ยวกับคุณค่า หรือคุณลักษณะดนตรีของ มาห์เลอร์ว่า เป็นดนตรีที่มีแง่มุมและมีพื้นที่ทางความคิด ที่กว้างขวางมากกว่าที่เราเคยรู้จักหรือคาดหวังไว้ ซึ่งนี่ถือเป็นคุณค่าทั้งทางดนตรีหรือศิลปะในแขนงอื่นๆ ด้วยซ้ำที่ว่า ศิลปะที่ดีย่อมสามารถตีความให้มีคุณค่าแตกต่างกันไปได้ในหลากหลายลักษณะ
การบรรเลงซิมโฟนีของมาห์เลอร์ในครั้งนี้ นอกจากจะไม่ดุดัน-เผ็ดร้อน ดังที่หลายท่านอาจคาดหวังไว้แล้ว บางช่วง,บางตอน ยังอาจฟังดูอืดๆยืดๆ ด้วยซ้ำไป สีสันทางเสียง (Tone Colour) ที่ไม่แสดงออกอย่างฉูดฉาด หลากหลาย (ทั้งๆ ที่วาทยกรหรือวงออร์เคสตราหลายวง แสดงออกได้อย่างกระจ่างชัด) แต่ทว่าในทางตรงกันข้าม มันกลับทำให้ซิมโฟนีของมาห์เลอร์แสดงคุณลักษณะอีกด้านหนึ่ง อันเป็นประเด็นสำคัญที่น่าสนใจอย่างยิ่ง นั่นก็คือด้านของความคลาสสิก,สมดุล,พอเหมาะพอดีในการแสดงออก อันเป็นความหมายหรือคุณลักษณะอีกด้านหนึ่งที่วาทยกรและวงออร์เคสตราที่ทรงพลังสูงด้วยเทคนิคแบบปัจจุบัน มักมองข้ามไป และก็มักจะใช้ดนตรีซิมโฟนีของมาห์เลอร์ในการโอ้อวดความทรงพลัง,เทคนิคทางดนตรีขั้นสูงและสีสันอันเจิดจ้า เพราะนั่นดูจะเป็นมุมมองการตีความดนตรีของมาห์เลอร์ที่หยิบฉวยได้ใกล้มือกว่า
ความแตกต่างทางการบรรเลงของวงทีพีโออันสำคัญในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งมาจากกลุ่มทรัมเป็ต (Trumpet) ของวงทั้งหมด ได้หันมาใช้ทรัมเป็ตในระบบกระเดื่องหมุน (Rotary Trumpet) แทนที่จะใช้ทรัมเป็ตแบบลิ้นลูกสูบ (Valve Trumpet) ตามแบบปกติที่ใช้กันอยู่เป็นประจำ นี่เป็นประเด็นที่อาจดูเล็กน้อย แต่มันกลับสร้างผลลัพธ์ทางเสียง ในภาพรวมที่แตกต่างได้อย่างมีนัยสำคัญ
ทรัมเป็ตระบบกระเดื่องหมุน นี้ นิยมใช้กันในวงออร์เคสตราในแถบเยอรมนี และออสเตรีย ในขณะที่วงออร์เคสตราอื่นๆ ทั่วโลกจะใช้ทรัมเป็ตแบบลิ้นลูกสูบกันเป็นปกติ ความแตกต่างระหว่างแตรสองชนิดนี้ก็คือ Rotary Trumpet จะให้สุ้มเสียงที่ฟังดูกลมและทึบกว่าเล็กน้อย เมื่อเทียบกับ Valve Trumpet ที่ให้เสียงที่แผด,เจิดจ้าและคมคายกว่า
อีกประเด็นหนึ่งที่เราน่าพิจารณาก็คือ Rotary Trumpet นี้ เป็นเครื่องดนตรีที่ใช้กันใน ออสเตรีย-เยอรมนี มายาวนานประดุจจารีตของดนตรีคลาสสิกในสกุลนี้ ซึ่งสิ่งหนึ่งที่เราไม่น่ามองข้ามก็คือ เสียงทรัมเป็ตในมโนทัศน์(Concept) ของมาห์เลอร์ หรือดุริยกวีคนอื่นๆ ในสาย ออสเตรีย-เยอรมัน จึงน่าจะเป็นแบบ Rotary Trumpet ที่คนฟังดนตรีอย่างเราๆ ไม่คุ้นชินกัน ดังนั้น การที่กลุ่มทรัมเป็ต ของวงทีพีโอทั้ง 4 คน ได้ใช้ทรัมเป็ตระบบโรตารีในครั้งนี้ จึงทำให้เสียงทรัมเป็ตในซิมโฟนีของมาห์เลอร์ ฟังดูกลมกล่อม และละเมียดละไมขึ้นมาก
แน่นอน มันจึงไม่คม, แผดจ้า แบบที่เราฟังกันในวงออร์เคสตราทั่วไป การลดดีกรี ความร้อนแรง นี้จึงสร้างภาพรวมทางเสียงในหมวดเครื่องเป่า ให้ออกมาดูมีสมดุลและความกลมกลืนที่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญมาก
นอกจากประเด็นเรื่องเสียงจากกลุ่มทรัมเป็ตแล้ว คงต้องยอมรับว่า กลุ่มเครื่องสาย ของวงทีพีโอ สามารถสร้างมาตรฐานการบรรเลงได้อย่างเป็นที่น่าชื่นชมอยู่เสมอ ซึ่งเมื่อวงออร์เคสตรามีกลุ่มเครื่องสายที่เข้มแข็งแล้ว ปัญหาเชิงเทคนิคในภาพรวมก็ลดลงไปได้อย่างมาก เพราะเป็นที่รู้กันอยู่ว่ากลุ่มเครื่องสายนั้น เป็นหลักสำคัญในทางโครงสร้างของวงซิมโฟนีออร์เคสตรา บุคลิกภาพและแนวทางดนตรีของวาทยกรอย่าง คลอด วิลลาเรต์ ยังมีผลต่อซิมโฟนีของ มาห์เลอร์ ในครั้งนี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ
นั่นก็คือ นอกจากการลดด้านความจัดจ้านร้อนแรงลงไปแล้ว เราจะเห็นความเป็นระบบระเบียบในดนตรีของมาห์เลอร์ได้ชัดเจนขึ้น รวมถึงลักษณะความอ่อนโยน,ละเมียดละไมต่างๆ เช่น แนวทำนองหลัก (1st Theme) ในท่อนแรกที่บรรเลงโดยกลุ่มเชลโล (Cello) นั้น นุ่มนวลและลื่นไหลแบบ เพลงขับร้องอย่างแท้จริง (แนวทำนองนี้ มาห์เลอร์หยิบยกมาจากเพลงร้องที่เขาเคยแต่งไว้เมื่อหลายปีก่อน) หรือแนวทำนองรอง(2nd Theme) ในท่อนสุดท้าย ที่ คลอด วิลลาเรต์ สร้างมิติแห่งเสียงได้อย่างชวนฝัน และยิ่งเมื่อมันย้อนกลับมา (Recapitulation) ในช่วงท้ายท่อนนั้น ผมขอใช้คำว่า มันให้ความรู้สึกประดุจ “ในม่านเมฆ” หรือ “กึ่งความฝัน” อย่างแท้จริง ความรู้สึกหรือรสแห่งดนตรีในทำนองนี้ มักจะไม่ถูกขับ,เน้นให้แสดงออกในดนตรีซิมโฟนีของ มาห์เลอร์ เท่าใดนัก ความร้อนแรง-อึกทึก(ซึ่งน่าจะเป็นคุณลักษณะที่ผิวเผินกว่า) ต่างหากที่มักจะถูกหยิบยก ออกมาแสดงกันอยู่เสมอๆ ซึ่งทำให้เรามองเห็นคุณลักษณะดนตรีซิมโฟนีของ มาห์เลอร์ได้ไม่รอบด้าน
บทเพลงคอนแชร์โตในครึ่งแรกของการแสดงนั้น ทางวงทีพีโอ เลือกบรรเลง ทรัมเป็ตคอนแชร์โต ในบันไดเสียง เอแฟลต เมเจอร์ ผลงานการประพันธ์ โดย อเล็กซานเดอร์ อารูทูเนียน (Alexander Arutiunian) ดุริยกวีชาวอาร์เมเนีย (Armenia) แห่งศตวรรษที่20 และศิลปินเดี่ยวทรัมเป็ตในครั้งนี้ก็คือ สุรสีห์ ชานกสกุล หัวหน้ากลุ่มทรัมเป็ตของวงทีพีโอนั่นเอง ซึ่งบทเพลงนี้ดูจะสอดคล้องกับบุคลิกภาพทางดนตรีของ สุรสีห์ เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในตอนเปิดการบรรเลงอย่างน่าตื่นเต้น ในลักษณะ “กึ่งร่าย” (Recitative) ที่แสดงออกราวกับบทบาทอันระทึกใจ,ร้อนแรงในอารมณ์ (Drama) โดยนางเอกอุปรากร ด้วยน้ำเสียงที่เข้มข้นและการใช้ Vibrato (การสั่นไหวของน้ำเสียง) แบบถี่กระชั้น
ณ จุดนี้ สุรสีห์ เปิดขึ้นมาได้อย่างน่าประทับใจทีเดียว ในช่วงการเข้าสู่แนวทำนองหลักด้วยจังหวะเร็วนั้น เป็นจังหวะเร็วมากจนทำให้เขาพลาดไปเล็กน้อย ซึ่งไม่ได้เป็นประเด็นสำคัญใดๆ สิ่งดีงามเล็กๆน้อยๆที่ไม่น่ามองข้ามเห็นจะได้แก่ เสียงปี่คลาริเน็ต (Clarinet) ที่บรรเลงในช่วงสั้นๆ ในลักษณะการเชื่อมต่อ (Transition) เข้าสู่แนวทำนองที่สองนั้น เป็นเสียงคลาริเน็ตที่ฟังดูโดดเด่น “ผิดหู”ไปทีเดียว เป็นเสียงที่เข้มเรียบ ประดุจผลึกนิล(นี่เองที่เรามักได้ยินกันมานานว่า “German dark rich tone”) เธอเป็นสาวจีนที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งใหม่ในวงทีพีโอ ไม่บ่อยครั้งนักที่เสียงคลาริเน็ต (ช่วงสั้นๆ) จะดึงความสนใจจากเราได้แบบนี้
ดนตรีในช่วงท้ายเป็นการย้อนกลับเนื้อหาในช่วงต้นเพลง สุรสีห์เก็บตกโน้ต2-3ตัวที่พลาดไปในช่วงต้นกลับมาชดเชยได้ครบถ้วนในตอนนี้ ในลีลาที่ฟังดุดันตามแบบของเขา ช่วงแสดงเดี่ยวอวดฝีมือที่เรียกว่า คาเด็นซา(Cadenza) ที่อวดเทคนิคได้อย่างน่าประทับใจ นำบทเพลงจบลงอย่างงดงาม
นอกจากหัวหน้ากลุ่มทรัมเป็ตอย่าง สุรสีห์ ชานกสกุล จะสามารถ ออกมายืนแสดงเดี่ยวรับบทบาทศิลปินเดี่ยว ได้อย่างน่าภาคภูมิใจแล้ว สัปดาห์ก่อนหน้านั้น สิทธิชัย เพ็งเจริญ นักไวโอลินมือหนึ่ง หัวหน้าวง (Concert Master) ของวงทีพีโอ ก็เพิ่งจะออกมายืนหน้าวง บรรเลงเดี่ยวไวโอลินคอนแชร์โต “ฟอร์มยักษ์” ของ เอ็ดเวิร์ด เอ็ลการ์ (Edward Elgar) ผ่านไปได้อย่างงดงาม เกินความคาดหมายเช่นเดียวกัน
นี่คือข้อพิสูจน์ถึงคุณภาพ, ฝีมือของบุคลากรในวงได้เป็นอย่างดีว่า ศิลปินดนตรีระดับหัวหน้ากลุ่มของวงดนตรีวงนี้ พร้อมรับบทบาทศิลปินเดี่ยวได้เสมอเหมือนกับมาตรฐานของวงซิมโฟนีออร์เคสตราดังๆ ทั่วไป และยิ่งเมื่อผนวกกับการรับนักดนตรีฝีมือดีใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มขึ้น และรายการแสดงดนตรีที่เพิ่มขึ้น ย่อมเป็นการชี้ให้เห็นถึงคำว่า “พัฒนาการ” ได้ดีกว่าการอธิบายด้วยคำพูดใดๆ
อย่างน้อยที่สุด ซิมโฟนีหมายเลข1ของ มาห์เลอร์ที่บรรเลงในครั้งนี้ น่าจะคู่ควรแก่คำว่าบทเรียน บทเรียนที่อาจทำให้เราต้องมาพิจารณาถึงคุณค่าทางดนตรีของมาห์เลอร์กันใหม่ เพราะทุกวันนี้ ซิมโฟนีของมาห์เลอร์นั้น เป็นที่นิยมกันราวกับเป็นสินค้าแฟชั่นในวงการการแสดงคอนเสิร์ตและวงออร์เคสตรายุคปัจจุบัน ด้วยความน่าตื่นเต้นและสีสันทางเสียงที่เจิดจ้าอลังการนั่นเอง ก็คงเสมือนดังที่ ดาเนียล บาเรนบอย์ม กล่าวไว้ นั่นเอง การบรรเลงดนตรีในแต่ละครั้งไม่สามารถแสดงคุณลักษณะทางดนตรีทั้งหมดออกมาได้
การบรรเลงของวงทีพีโอในครั้งนี้ แสดงคุณลักษณะดนตรีของมาห์เลอร์ ที่เราอาจไม่พบเจอได้บ่อยนัก นั่นคือ ความละเมียดละไม,ความอ่อนโยน,กลมกลืน บทเรียนที่ทำให้เราต้องตระหนักว่า กุสตาฟ มาห์เลอร์ ยังคงมีรากฐาน จากสายธารดนตรีและแนวคิดที่เรียกว่า “คลาสสิก” อย่างแท้จริง"
........................................
หมายเหตุ : บวรพงศ์ ศุภโสภณ จัดรายการสนทนาภาษาดนตรีทางวิทยุ อสมท เอฟเอ็ม 100.5 คืนเสาร์-อาทิตย์ เวลา 22.00-24.00 น. และเป็นอาจารย์พิเศษบรรยายในหัวข้อดนตรีคลาสสิกให้แก่หลายสถาบัน







