มรดกที่ถูกทิ้ง

มรดกที่ถูกทิ้ง

ขณะที่พม่ากำลังเปิดประตูสู่ระบบเศรษฐกิจใหม่ AEC สถาปัตยกรรมตึกรามบ้านช่องยุคโบราณอาจมีแนวโน้มถูกรื้อทิ้ง หรือกลับมาอนุรักษ์

ในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง มีโอกาสเดินทอดน่องท่องเมืองมอญ นามว่า ย่างกุ้ง เป็นครั้งแรก ตื่นตาตื่นใจที่เห็นรถลาขวักไขว่มากมาย ซึ่งต่างจาก 10 ปีที่เคยมาเยือน

ปัจจุบันมีรถยนตร์ยี่ห้อใหม่ป้ายแดง แม้กระทั่งรถแท็กซี่ก็ดูใหม่ มีแอร์เย็นฉ่ำ มีโชว์รูมรถให้เห็นบ้างแล้ว แถมยังมีโรงแรม 5 ดาว ทยอยสร้างอย่างต่อเนื่อง บ่งบอกถึงความเจริญที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาสู่เมืองแห่งนี้

การเดินทางครั้งนี้กับนกแอร์ มีโอกาสเดินกินลมชมตึกเก่าที่สร้างขึ้นในสมัยอาณานิคมอังกฤษ ตึกพลเรือนส่วนใหญ่ยังเปิดใช้งานอยู่ แม้ว่าจะเก่ามากแล้ว บ้างก็ถูกปล่อยให้ทิ้งร้าง มีต้นไม้งอกงามอยู่ที่ปลายยอดตึก กลายเป็นสถาปัตยกรรมที่มีชีวิตไปอีกแบบ ทำให้คิดว่า อนาคตสถาปัตยกรรมอันล้ำค่าในเมืองย่างกุ้งของพม่า จะมีลมหายใจต่อไปยังไง จะถูกทุบทิ้งแล้วสร้างตึกใหม่ หรือจะมีใครยื่นมือเข้ามาดูแลอนุรักษ์ไว้หรือไม่

สถาปัตย์ที่หาดูได้ยาก

ภภพพล จันทร์วัฒนกุล อาจารย์พิเศษ มหาวิทยาลัยศิลปากร และมหาวิทยาลัยรังสิต ฯลฯ ไกด์ทัวร์ประจำทริปเล่าว่า การที่ตึกเก่าเหล่านี้ยังไม่ได้ถูกทำลายไป เพราะพม่าปิดประเทศมานาน สถาปัตยกรรมต่างๆในเมืองย่างกุ้งจึงมีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์มาจนถึงปีคศ. 1990 ที่พม่าเริ่มเปิดประเทศ

เรามีโอกาสเดินเท้าชมสถาปัตยกรรมเก่าแก่เริ่มต้นจากย่านถนนสุเลพญา ใจกลางเมืองย่างกุ้ง อันเป็นสถานที่นัดชุมนุมทางการเมืองหลายครั้ง เป็นศูนย์รวมของสถานที่ราชการ เหมือนเป็นจตุรัสของเมืองแถบประเทศยุโรป รายรอบด้วยอาคารที่สร้างขึ้นสมัยอาณานิคม ถนนหนทาง รวมทั้ง ผังเมืองในสไตล์วิกตอเรียน ที่อังกฤษได้วางเอาไว้ให้ อาคารสำคัญๆ อาทิเช่น ศาลาว่าการกรุงย่างกุ้ง สำนักงานเลขานุการ อาคารศาลฎีกา และศาลสูง ซึ่งอยู่ด้านตะวันออกของสี่แยก รวมถึงอาคารของศาลสูง รูปทรงโคโลเนียล

แถบอาคารที่เป็นศูนย์รวมสถานที่ราชการ ยังมีพระเจดีย์สุเล ศาสนสถานหลักใจกลางเมืองย่างกุ้ง มีอายุหลายร้อยปี นอกจากนี้มีโบสถ์คริสต์เก่าแก่ ซึ่งเป็นศิลปะแบบกอธิค ที่ทำการโทรเลขที่แยกออกจากที่ทำการไปรษณีย์ เปิดใช้ตั้งแต่สมัยสร้างตึกจนถึงปัจจุบันนี้ ชาวพม่ายังคงติดต่อสื่อสารทางโทรเลข และส่งแฟกซ์

หากเดินวนไปชมย่านธนาคารเก่าแก่ ราวกับว่าท่องเมืองยุโรป ทว่าผู้คนนุ่งโสล่ง ปะแป้งทานาคา

ผู้เชี่ยวชาญคนเดิม ชี้ชวนให้สังเกตตึกเก่าสมัยอังกฤษ ศิลปะการเรียงอิฐ มีวงโค้ง ซุ้มประตู หน้าต่างสี่เหลี่ยม มองขึ้นไปบริเวณชั้น 2-3 จะมี Key Stone เป็นแท่งสีเหลืองแบกรับน้ำหนักของตัวอาคารทั้งหลัง ถ่ายเทมายังเสาทั้งสองข้าง สร้างเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นับเป็นอาคารหลังสุดท้าย เพราะหลังจากนั้นในย่างกุ้งไม่มีการสร้างอาคารใหญ่ๆ อีกเลย

อาคารแนว British Burma เป็นการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมยุโรปกับศิลปะพม่า มีลายฉลุไม้ที่เฉลียง หลังคาเป็นชั้นเชิงซ้อนๆ กัน มองเห็นอยู่เรียงรายตลอดเส้นทาง เดินเท้าชมเมืองเรื่อยไปจนถึงหน้าบริเวณหน้าโรงแรม สแตรนด์ ถัดไปเป็นสถานทูตออสเตรเลีย และสถานทูตอังกฤษ ฝั่งตรงข้ามเป็นท่าเรือแม่น้ำย่างกุ้ง ซึ่งเป็นท่าเรือน้ำลึกที่ขนส่งสินค้าอิมพอร์ตจากประเทศอังกฤษเข้ามายังพม่า ตั้งแต่สมัยอดีตจนถึงปัจจุบันยังคงใช้งานอยู่ จนกว่าท่าเรือเมืองทวายจะสร้างเสร็จ ซึ่งปัจจุบันนี้ท่าเรือทวายมีแต่โครงการไม่ได้เริ่มต้นสร้าง

ส่วนโรงแรมสแตรนด์ (Strand Hotel) เป็นอาคารสไตล์วิกตอเรียน 3 ชั้นสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พักของคนชั้นสูงอังกฤษ มีห้องพักเพียง 31 ห้อง บรรยากาศแบบผู้ดีอังกฤษ ห้องดื่มน้ำชาแบบบริติช สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารญี่ปุ่นยึดครองเป็นที่พำนักของนายทหารชั้นผู้ใหญ่อีกด้วย

ถือได้ว่าตึกเก่ายุคอาณานิคมอังกฤษนั้น เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเมืองย่างกุ้ง นับเป็นมรดกที่น่าเสียดายหากต้องถูกรื้อทิ้งไป

ภภพพล แสดงทัศนะว่า โดยส่วนตัวแล้วอยากให้ตึกเก่าเหล่านี้ยังคงอยู่ เพราะเป็นอาคารขนาดใหญ่แบบตะวันตก ออกแบบก่อสร้างโดยสถาปนิกชาวตะวันตกในสมัยนั้น มีความสมบูรณ์แบบตะวันตก มากกว่าความเป็นท้องถิ่น และได้ใช้งานจริง ย่อมมีประวัติศาสตร์ในตัวเอง หากพม่าทุบทิ้งก็จะน่าเสียดายมาก เพราะมีเพียงเมืองเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เป็นแบบตะวันตกอย่างแท้จริง ที่อื่นอาจเคยมี แต่มีการบูรณะเปลี่ยนแปลงหรือถูกทำลายไปเกือบหมดแล้ว เหลือไม่มากเหมือนย่างกุ้ง

"ส่วนคำถามที่ว่าพม่าจะทุบทิ้งหรือเปล่า ผมไม่แน่ใจนะครับ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ทุบทิ้ง แต่การซ่อมต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญและงบประมาณสูง คงต้องรองบซ่อมและผู้เชี่ยวชาญมาช่วย ส่วนตัวผมอยากให้เขาบูรณะและซ่อมเก็บรักษาไว้ เพราะสามารถใช้งานได้ต่อไป และใช้ในการศึกษาทางด้านสถาปัตยกรรมได้อีกด้วย ผมว่าคงต้องรอฟังข่าวครับ แต่คิดว่าคงเก็บรักษาและบูรณะครับ และคงติดเรื่องงบประมาณเท่านั้นเอง"

ต้องอนุรักษ์ตึกเก่า...

มีข้อสังเกตว่าพม่าทิ้งร้างตึกเก่า ในเมืองย่างกุ้ง เพื่อไปสร้างศูนย์ราชการใหม่ ณ เมืองหลวงเนปิดอร์ คาดว่าคงไม่หันกลับมาดูแลบูรณะซ่อมแซมตึกร้าง เพราะซ่อมยาก อีกอย่างต้องใช้งบประมาณมหาศาล ชาตรี ประกิตนนทการ อาจารย์ภาควิชา ศิลปสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร แสดงทัศนะว่า การจะซ่อมแซมตึกโบราณให้กลับมาใช้งานใหม่ด้านเทคนิคนั้นไม่ยาก เพราะปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่ๆมากมาย ส่วนงบประมาณนั้นไม่น่าจะมีปัญหาเท่ากับค่านิยมของสังคมว่า มองเห็นคุณค่าควรแก่การอนุรักษ์หรือไม่

"ปัจจุบันนี้ตึกโบราณทั่วโลกเขาก็นิยมอนุรักษ์กัน ฉะนั้นไม่ต้องห่วงมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยซ่อมได้อยู่แล้ว แต่จุดสำคัญเมื่อฟื้นฟูคืนสภาพมาแล้ว จะใช้งานต่อหรือไม่ ถ้าไม่ใช้งาน ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เช่นทำเป็นโรงเรียน ทำเป็นมิวเซียม ทำเป็นห้องสมุดชุมชน หรืออะไรก็ได้ตามความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม และวัฒนธรรมของชุมชน หลักการอนุรักษ์สมัยใหม่ที่ถูกต้องคือซ่อมแล้วต้องใช้ ถ้าซ่อมแล้วเก็บไว้ห้ามใช้ ก็จะทำให้อาคารเหล่านั้่นโทรม ไม่มีประโยชน์ ส่วนเรื่องงบประมาณก็ขึ้นอยู่กับสภาพตึก ผมมองว่าเรื่องงบประมาณ รวมทั้งการซ่อมแซมไม่ใช่เรื่องยากหรือไม่ยาก อยู่ที่การประเมินคุณค่าของสังคมมากกว่า ถ้าตึกมีประวัติศาสตร์ควรค่าแก่การอนุรักษ์ แต่สังคมมองไม่เห็นคุณค่าก็จบ"

อาจารย์ภาควิชาศิลปสถาปัตยกรรมกล่าวต่อว่า หากประเทศพม่ามีความเป็นชาตินิยมสูง มองว่าสถาปัตยกรรมเหล่านี้แสดงถึงการเข้ามาของอาณานิคมอังกฤษไม่จำเป็นต้องเก็บไว้ ก็คงไม่มีการอนุรักษ์ดูแล หากพวกเขาก้าวพ้นพรมแดนของอนุรักษ์นิยม ไม่มองแค่กายภาพว่า ซ่อมตึกเก่าแพงกว่าทุบแล้วสร้างใหม่ สิ่งที่ได้ก็คือความคุ้มค่าที่สามารถอนุรักษ์เรื่องราวทางประวัติศาสตร์

"ถ้าจะทุบทิ้ง หรือปล่อยร้างก็น่าเสียดาย เพราะตึกเหล่านี้สะท้อนประวัติศาสตร์ช่วงหนึ่ง ซึ่งสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียลลิซึม ปรากฏอยู่ในรูปของอาคาร และศิลปกรรมในประเทศไทย ลาว เขมร อินโดนีเซีย พม่า ฯลฯ เป็นการแสดงถึงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ควรค่าแก่การเก็บรักษา อย่างในบ้านเราก็มีอาคารฝรั่งแบบที่สร้างอยู่ในย่างกุ้ง ซึ่งเรามองเห็นคุณค่าอย่างเช่น ตึกกระทรวงต่างๆ

ผมว่าอาคารแบบโคโลเนียล ถ้าพูดถึงในระดับสากลแล้ว เขาเห็นคุณค่า ยูเนสโก้จะเข้าไปดูแลอนุรักษ์ไว้หมด แต่เราเองที่มองไม่ค่อยเห็นคุณค่าซักเท่าไหร่"


-------------------------------------------

พม่าในยุคอาณานิคมของอังกฤษ

การปกครองของอังกฤษในพม่าระยะแรก ยังไม่ค่อยมีคนต่อต้านมากนัก เพราะยังไม่กระทบต่อโครงสร้างสังคมในพม่ามากนัก และอังกฤษยังคงใช้ภาษาพม่าเป็นภาษาราชการ ต่อมาอังกฤษผนวกพม่าเข้าเป็นมณฑลหนึ่งของอินเดีย อันที่จริงอังกฤษไม่ได้ต้องการพม่าเป็นอาณานิคมเลย เนื่องจากต้องการรักษาผลประโยชน์ของบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษในแคว้นเบงกอล ซึ่งอยู่ในเขตการปกครองของอังกฤษ ในปี คศ.1886 พระเจ้าธีบอ แห่งราชวงศ์อลองพญา ถูกอังกฤษบังคับให้สละราชสมบัติและเนรเทศไทยอยู่เมืองรัตนคีรี ประเทศอินเดีย หลังสิ้นสุดสงครามอังกฤษ-พม่าครั้งที่ 3 อังกฤษไม่ได้แต่งตั้งใครให้เป็นกษัตริย์พม่าอีกเลย ผลของสงครามครั้งสุดท้ายในพม่า ทำให้สถาบันกษัตริย์ของพม่าถูกยุบ เป็นอันว่าสิ้นสุดการปกครองโดยระบอบกษัตริย์ของพม่าที่มีมาอย่างยาวนาน

ด้วยเหตุนี้ทำให้ชาวพม่าส่วนใหญ่ไม่พอใจ เพราะขาดสถาบันกษัตริย์ที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ เมื่อสถาบันกษัตริย์ล่ม สถาบันศาสนาก็พลอยล่มไปด้วย โดยที่อังกฤษไม่คิดที่จะทำนุบำรุงพุทธศาสนาของพม่าให้คงอยู่สืบไป วัดกับประชาชนซึ่งเคยมีความผูกพันก็เริ่มห่างเหิน ระบบราชการสำนักซึ่งเคยควบคุมข้าราชการต่างๆทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นสลายตัวลง ข้าราชการต่างๆก็พลอยหมดอำนาจ ประชาชนที่เคยชินกับระบบศักดินาสังกัดข้าราชการขุนนางที่มีอิทธิพลในท้องถิ่นก็หมดที่พึ่ง เมื่ออังกฤษนำระบบหมู่บ้านมาใช้โดยมีการหมุนเวียนตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้าน นำระบบเทศบาลเข้ามาใช้ตามเมืองใหญ่ ๆ ทางตอนล่างของพม่า เพื่อยกระดับการเก็บภาษีให้สูงขึ้นและจัดระบบการเก็บภาษีแบบเดียวกันหมดและให้ปฏิบัติตามคำสั่งของอังกฤษ นับว่าเป็นการทำลายระบบทางสังคมแบบเก่าของพม่า เกิดการขัดแย้งระหว่างประชาชนและผู้ปกครองที่มาจากต่างหมู่บ้าน

อังกฤษได้ปล่อยให้ชาวอินเดียเข้ามาทำงานในพม่า ในระยะนี้อังกฤษได้ส่งข้าวพม่าไปขายในตลาดโลกและได้กำไรเป็นจำนวนมาก แต่กำไรก็ตกเป็นของคนอินเดียและคนอังกฤษเป็นส่วนใหญ่มากกว่าที่จะถึงมือคนพม่า และคนพม่าเองก็จำเป็นต้องจำนองที่ดินให้กับคนอินเดีย เนื่องจากไม่มีเงินที่จะพัฒนาการปลูกข้าว ในไม่ช้าคนพม่าก็เป็นหนี้สินชาวอินเดียมากขึ้น เพราะว่าเล่ห์เหลี่ยมทางการค้าสู้คนอินเดียไม่ได้ นอกจากนี้คนอังกฤษไม่จำกัดการเข้ามาในพม่าของคนอินเดีย ทำให้เกิดการแย่งงาน ชาวอินเดียกลายเป็นนายทุนเงินกู้และเจ้าของที่ดินรายใหญ่ในพม่า ทำให้คนพม่าว่างงานเป็นจำนวนมาก แต่อังกฤษออกกฎหมายห้ามชาวพม่าว่างงาน ต้องทำงานเพื่อมิให้จับกลุ่มกันก่อกบฏ ทำให้ชาวพม่าซึ่งเคยหยุดงานเมื่อทำการเก็บเกี่ยวเสร็จ ไม่สามารถพักผ่อนได้ ต้องออกมาหางานทำ และควบคุมนโยบายใหญ่ ๆ เช่น การคลัง การต่างประเทศ รัฐบาลพื้นเมืองดูแลเพียง การศึกษา สาธารณสุข ป่าไม้ เท่านั้น (ข้อมูลจาก : rathpanyowat.wordpress.com/2012/.../burma-history...‎)