กระทงแห่งดวงใจ สุโขทัยธานี

กระทงแห่งดวงใจ สุโขทัยธานี

ในวันเพ็ญเดือนสิบสองที่น้ำเริ่มเจิ่งนองถึงขอบตลิ่ง เป็นสัญญาณสำคัญที่บอกว่า ประเพณีลอยกระทง ใกล้เข้ามาแล้ว

คงไม่มีคนไทยคนไหนที่ไม่รู้จัก วันลอยกระทง เราทุกคนล้วนโตมากับประเพณีนี้อย่างกลมกลืนจนแทบจะแยกกันไม่ออก เรียกว่าพอหมดฝนและลมหนาวเริ่มโชยมานั่นแหละ.. ก็ได้เวลาเข้าสวนไปตัดต้นกล้วย กรีดใบตอง และเก็บดอกไม้เอามาทำกระทงเพื่อนำไปลอยในแม่น้ำใกล้บ้าน ช่วงเวลานั้นช่างสนุกสนานและอบอุ่น เพราะเราล้อมวงกันทำกระทงกันทั้งครอบครัว

ต่อมาในวัยที่โตขึ้น ความสนใจในประเพณีนี้ก็แตกต่างไป อาจด้วยว่าอยากซึมซับบรรยากาศของงานลอยกระทงแบบสมัยใหม่มากขึ้น อย่างในมหาวิทยาลัยก็มักจะมีการจัดงานลอยกระทงกันแทบทุกที่ สมัยนั้นงานลอยกระทงเริ่มพัฒนาไปอีกขั้น นอกจากจะจัดเตรียมท่าน้ำไว้ให้นิสิตและอาจารย์ร่วมลอยกระทงของแต่ละคณะแล้ว รอบๆ มหาวิทยาลัยยังมีซุ้มกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อความสนุกสนาน เช่น ซุ้มการแสดงละคร ซุ้มเกมปาลูกโป่ง ซุ้มสาวน้อยตกน้ำ ซุ้มจับฉลากชิงของรางวัล รวมไปถึงมีโซนขายอาหารและเครื่องดื่มมากมาย แต่นั้นก็เป็นเพียงงานเล็กๆ ที่ใครๆ ก็คงเคยไปเดินเที่ยวอยู่แล้ว

แต่ถ้าพูดถึงงานลอยกระทงแบบยิ่งใหญ่ระดับประเทศแล้วล่ะก็ คงจะเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจากงานลอยกระทงของ เมืองสุโขทัย งานของที่นี่ไม่ใช่แค่จัดอย่างอลังการเท่านั้น แต่ยังแฝงไปด้วยการอนุรักษ์ประเพณีการลอยกระทงแบบดั้งเดิม และที่สำคัญคือ สะท้อนถึงความสามัคคีของทุกคนในจังหวัดที่มีความร่วมมือร่วมใจกันเตรียมพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างอบอุ่นและยินดียิ่ง

ฉันเองก็เป็นคนหนึ่งที่อยากลองไปเที่ยวงานลอยกระทงระดับประเทศแบบนี้สักครั้งหนึ่งในชีวิต แต่ก่อนจะถึงวันนั้นฉันกลับได้รับโอกาสอันดี ได้เดินทางไปสำรวจดูการเตรียมงานลอยกระทงของชาวสุโขทัยก่อนใครเพื่อน ไปเที่ยวสุโขทัยคราวนี้ถือว่าเรียกน้ำจิ้มกันก่อนจะเจองานลอยกระทงของจริง

-1-

ก่อนจะไปชมการเตรียมงานในจุดต่างๆ ทั่วจังหวัดสุโขทัย เรามาพบกับเจ้าถิ่นที่นี่เพื่อฟังเรื่องราวความเป็นมาของประเพณีลอยกระทงในสมัยอดีตกันเสียก่อน ว่ากันว่าประเพณีนี้เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยนั่นเอง

ทนงศักดิ์ ตุลยธำรง เจ้าหน้าที่การตลาด ททท.สุโขทัยเล่าให้ฟังว่า งานลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ ของสุโขทัยนั้นเริ่มมีมาตั้งแต่ปี 2520 ทำกันมาในรูปแบบที่เรียบง่ายแบบงานวัด เรื่องอีเวนท์ต่างๆ ยังไม่มี ต่อมาในปี 2536 สุโขทัยได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกพร้อมๆ กับอยุธยา กำแพงเพชร ศรีสัชนาลัย โดยมรดกโลกแห่งอื่นๆ เขาก็มีการจัดงานเฉลิมฉลองกัน อย่างอยุธยาก็เริ่มจัดก่อนใครเพื่อน หลังจากนั้นประมาณ 2 ปี ทางสุโขทัยจึงเคาะวันเวลาเพื่อจัดงานเฉลิมฉลองบ้าง

"เราจัดงานฉลองโดยวางไว้ว่าเป็นงานลอยกระทงที่ยิ่งใหญ่ มีการแสดง แสง สีเสียง เล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของสุโขทัยด้วยเพราะที่นี่มีวิทยาลัยนาฏศิลป์ เราก็เริ่มจากทำบทการแสดงก่อน แรกเริ่มก็เอามาจากตำนานท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ตำนานเมืองพระร่วง ก็เอามาผสมผสานกัน แล้วนำขึ้นทูลเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงตรวจดูว่าเรื่องราวถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ บทต่างๆ เป็นอย่างไร เพราะพระองค์ท่านเรียนเรื่องวรรณคดีอะไรมาด้วย ท่านดูเสร็จแล้วก็ทรงแนะนำมาแบบนี้ๆ ทางทีมจัดงานก็เลยยึดถือเอาบทการแสดงนั้นมาใช้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา จนปีนี้เราจะจัดในวันที่ 13-17 พฤศจิกายน"

เจ้าถิ่นคนนี้บอกอีกว่า การแสดงนี้ถือว่าเป็นไฮไลต์สำคัญของงานลอยกระทงที่สุโขทัย นอกจากนั้นก็ยังมีการแสดงระบำโบราณ การแสดงพลุตะไล ไฟพะเนียง ที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์สำคัญของงาน รวมถึงการเล่าเรื่องราวของนางนพมาศคนแรกที่ถือกำเนิดขึ้น

ถนอม มากมิ่ง ผู้ทรงคุณวุฒิ จ.สุโขทัย ได้กรุณาเล่าถึงตำนานของนางนพมาศให้ฟังว่า ในสมัยของพระมหาธรรมราชาลิไทยหรือพระร่วงแห่งกรุงสุโขทัย มีสนมเอกนางหนึ่งชื่อ 'ท้าวศรีจุฬาลักษณ์' เป็นที่โปรดปรานของพระร่วงเจ้ามาก พระนางทำคุณงามความดีจนเป็นที่โปรดปราน และพระนางยังทรงคิดประดิษฐ์โคมเป็นรูปบัวกมุทบาน ประดิษฐ์พานหมากสองชั้นร้อยกรองด้วยดอกไม้ รวมถึงประดิษฐ์กระทงเป็นรูปดอกบัวกมุทประดับดอกไม้ธูปเทียนนำไปลอยน้ำหน้าพระที่นั่งในวันเพ็ญเดือนสิบสองซึ่งเป็นเวลาเสด็จประพาสลำน้ำตามพระราชพิธีในเวลากลางคืน ด้วยข้อมูลนี้จึงนำมาตีความได้ว่าท้าวศรีจุฬาลักษณ์ก็คือนางนพมาศที่รู้จักกันในปัจจุบันนั่นเอง

"งานปีนี้เราจะมีการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับนางนพมาศ นั่นคือ กิจกรรมตำนานท้าวศรีจุฬาลักษณ์ เป็นการแสดงแสง สี เสียง ในน้ำ บริเวณสระตะพังตะควนที่พระร่วงนำเอาท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ไปลอยกระทง เป็นอีกหนึ่งการแสดงที่จะเกิดขึ้นทุกคืนเวลาสี่ทุ่มตรง จัดทั้ง 5 คืน"

ยิ่งได้ฟังแล้วก็ยิ่งอยากจะเห็นงานของจริงมากขึ้นไปอีก ฉันบอกกับตัวเองทันทีว่าปีนี้จะต้องไปชมงานนี้ให้ได้

-2-

หลังจากได้รับรู้ความเป็นมาของงานลอยกระทงสุโขทัยแล้ว ต่อไปก็ได้เวลาไปดูการเตรียมงานเสียที ทางทีมผู้จัดงานพาเราไปยังจุดเริ่มต้นของการทำกระทง นั่นคือ หมู่บ้านใบตอง หรือบ้านคลองกระจง อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย ที่นี่เป็นแหล่งผลิตใบตองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย นอกจากจะใช้สำหรับห่ออาหารแล้ว ที่นี่ยังให้ความสำคัญกับใบตองในแง่ที่เป็นวัสดุธรรมชาติที่ใช้สำหรับงานศิลปกรรมชั้นสูงของชาติ ใบตองจึงเข้ามามีส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ในงานลอยกระทง

ชาวบ้านที่นี่ยึดอาชีพทำสวนกล้วยตานีสืบต่อกันมายาวนานกว่า 70 ปี (บางครอบครัวก็เป็นร้อยปีแล้ว) ทำกันอยู่หลายครัวเรือน ว่ากันว่าพื้นที่ในการปลูกต้นกล้วยทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 12,000 ไร่เลยทีเดียว โดยจุดเด่นของใบตองบ้านคลองกระจงอยู่ที่ความเหนียว ไม่แตกง่าย นิยมเอาไปเย็บแบบทำกระทง และทำภาชนะใส่อาหาร ส่วนลำต้นก็เอาไปปั่นทำเป็นเส้นใยทอผ้า ส่งออกไกลไปถึงญี่ปุ่นและอเมริกา

"ใบตองของเราจะขายดีเป็นพิเศษช่วงลอยกระทง สารทจีน ตรุษจีน แบบนี้ค่ะ ยิ่งถึงวันลอยกระทงเราก็จะเอามาทำกระทงขายกันด้วย โดยกระทงของที่นี่จะไม่เหมือนที่อื่นเพราะกลีบของกระทงจะเป็นแบบของสุโขทัยแท้ๆ" นิสานาฐ เชิดชู เกษตรกรสวนกล้วยตานี เล่าถึงอาชีพทำเงินที่สามารถสร้างรายได้ให้ชาวสุโขทัยปีละร้อยล้านบาท

เธอบอกอีกว่า วิถีชีวิตของคนคลองกระจงผูกพันอยู่กับใบตองมากๆ เพราะตั้งแต่จำความได้ก็เห็นพ่อแม่ทำอยู่ก่อนแล้ว ส่วนเธอเองก็ทำเป็นรุ่นต่อๆ มา โดยไม่คิดจะเปลี่ยนไปทำอาชีพอื่น เห็นแล้วก็ดีใจแทนชาวสุโขทัยที่สามารถอนุรักษ์อาชีพดั้งเดิมแบบนี้ไว้ได้อย่างดี

ใบตองกองกันเป็นตับๆ ที่คลองกระจงนั้น ถูกส่งต่อมายัง บ้านด่านลานหอย ซึ่งอยู่ห่างจากคลองกระจงเพียง 40 กม. ที่นี่เป็นอีกจุดหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าคนสุโขทัยเขาเตรียมพร้อมกันจริงๆ เพราะเห็นแม่ป้าน้าอาทั้งหลายกำลังเอาใบตองมาประดิษฐ์กระทง ทำพนมหมาก พนมดอกไม้ และโคมชักโคมแขวน โดยอย่างหลังสุดนี้ชาวบ้านต้องใช้เวลาทำกันถึง 3 เดือน เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาสักการะรอยพระพุทธบาท ทำจากเมล็ดพืชจากผลิตผลทางการเกษตร เอามาติดแปะเรียงเมล็ดเป็นลวดลายต่างๆ สวยงาม จากนั้นเอามาประกอบกันทำเป็นโคมแล้วก็เอาไปห้อยโชว์ตามหน้าบ้าน

มงคล อินมา ศิลปินร่วมสมัยภาคเหนือ และปราชญ์พื้นบ้านสาขาศิลปะและการแสดงสุโขทัย บอกว่า โคมชักโคมแขวนถือเป็นงานศิลปะที่ละเอียดประณีตมาก ทำมาจากเมล็ดข้าวนก งา เมล็ดผักกาด เมล็ดแตง เมล็ดมะกำ เมล็ดใบยาสูบ เมล็ดข้าวฟ่าง เรียกว่า 'งานเรียงเมล็ด' ซึ่งมีที่นี่ที่เดียวถือว่าเป็นต้นกำเนิดของศิลปะประเภทนี้ ส่วนลวดลายก็ลอกแบบมาจากสุโขทัยดั้งเดิม คือ ลายปลา ลายจากชามสังคโลก และลวดลายต่างๆ จากวัดในสุโขทัย เอามาจำลองลงไปในชิ้นงาน ส่วนกระทงก็ทำทั้งแบบดั้งเดิมคือทำเป็นทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ และมีแบบประยุกต์คือทำให้มีลวดลายของธงชาติอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ

-3-

หลังจากซึมซับและลองหัดเรียงเมล็ดพืชอยู่นาน แต่พบว่าฝีมือตัวเองช่างห่างไกลกับช่างฝีมือของที่นี่เอามากๆ (ก็เลยเลิกทำ) พอได้ลองทำเองจึงรู้ว่าความตั้งใจของคนที่นี่สูงจริงๆ เมื่อสำเร็จเป็นโคม กระทง และพนมหมากพนมดอกไม้แล้วต้องออกมาสวยงามแน่นอน

เราใช้เวลาที่นี่ไม่นานก็เดินทางไปชมการซ้อมการแสดงที่บอกไปตอนต้นว่ายิ่งใหญ่อลังการมากๆ เราเดินทางไปกันที่ วิทยาลัยนาฏศิลปสุโขทัย ที่นี่เราเห็นน้องๆ ผู้หญิงนุ่งโจงสีแดงกำลังฝึกซ้อมร่ายรำในชุดการแสดงต่างๆ ซึ่งเล่าถึงความรุ่งเรืองของสุโขทัยในอดีตว่าสมัยนั้นมีความอุดมสมบูรณ์และเจริญรุ่งเรืองแค่ไหน มีการปกครองที่อบอุ่นแบบพ่อปกครองลูก การแสดงชุดเด่นๆ ได้แก่ ระบำสุโขทัย ระบำศรีสัชนาลัย ระบำประทีปทอง นอกจากนั้นเด็กผู้ชายก็มีซ้อมการชกมวยไทยและการรำดาบด้วย ดูจากฝีไม้ลายมือแล้วสวยงามไม่แพ้ผู้ใหญ่เลย

ทนงศักดิ์ ตุลยธำรง เล่าเสริมให้ฟังว่า การแสดงของสุโขทัยทุกชุดนอกจากเรื่องบท และเรื่องการฝึกซ้อมท่าร่ายรำต่างๆ แล้ว ในเรื่องเสื้อผ้าหน้าผมก็มีการค้นคว้าหารายละเอียดกันมากพอสมควร โดยเฉพาะเรื่องเสื้อผ้ายึดเอาจากรูปปูนปั้นที่วัดเจดีย์ 4 ห้อง สันนิษฐานว่าคนสุโขทัยในสมัยนั้น พวกนางในหรือคนในวังแต่งตัวอย่างนี้ กรมศิลป์จึงเอามาประยุกต์ให้เสื้อผ้ามีลักษณะแบบนี้ โดยชุดรำจะไล่ไปตั้งแต่ศิลปะในสมัยสุโขทัย ทวาราวดี และอยุธยา

จากนั้นเรามุ่งหน้าไปที่ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย เพื่อชมสถานที่จัดงานจริง เดินไปก็ได้ฟังรายละเอียดของงานไป โดยธีมงานหลักๆ นั้นจะเน้นอยู่ 3 เรื่อง คือ 1. เรื่องประวัติศาสตร์ ในการแสดงต่างๆ จะเล่าขานถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมา ความเจริญรุ่งเรืองต่างๆ รวมถึงเรื่องศาสนา โดยปีนี้จะมีนิทรรศการป่าหิมพานต์ในสมัยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจัดขึ้นด้วย 2. เรื่องวัฒนธรรม จะมีกิจกรรมการแสดงวัฒนธรรมบอกเล่าว่าคนสุโขทัยทั้ง 9 อำเภอ เขาอยู่ตรงไหน เขาทำมาหากินกับแบบไหน อย่างไร มีบ้านเรือนแบบไหน มีวิถีชีวิตอย่างไร ก็จะมีการโชว์ต่างๆ เช่น การซ้อมข้าว การทำขนมท้องถิ่น ตีเหล็ก การแสดงเด็กหัวจุกขี่ม้าก้านกล้วย 3. เรื่องประเพณี มีกิจกรรมที่แสดงให้เห็นว่าสุโขทัยน่าจะเป็นต้นกำเนิดของงานลอยกระทง และต้นกำเนิดของนางนพมาศ

"แล้วก็มีตลาดโบราณอย่าง ตลาดปสาน จัดเพิ่มเข้ามาด้วย จะได้เห็นว่าคนสมัยสุโขทัยเมื่อก่อนเขานุ่งผ้ากันอย่างไร ตลาดปสานก็ใช้เบี้ยซื้อขนมซึ่งแตกต่างจากตลาดโบราณที่อื่นๆ และเราก็ชวนให้ชาวสุโขทัยมาเข้าร่วมเป็นเจ้าบ้านโดยการประดับตกแต่งบ้านเรือนของตนให้สวยงามด้วยโคมชักโคมแขวน ส่วนทางเดินเข้าสู่งานเราก็วางประทีปตลอดแนวถนนเพื่อสร้างความตื่นตาตื่นใจให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาชม เราขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการโรงแรม ร้านค้าต่างๆ ให้ตกแต่งสถานที่ในธีมลอยกระทง รวมถึงหน่วยงานราชการ และมีการเปิดเพลงลอยกระทงกันทั้ง 5 วัน"

ที่สำคัญมีคนกระซิบว่า งานนี้คนสุโขทัยทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนร่วมกันจัดขึ้นเองโดยไม่ได้จ้างออแกไนซ์จากข้างนอกมาจัดงานให้ ฟังแล้วก็ภูมิใจในความสมัครสมานสามัคคีของคนที่นี่มาก เห็นได้เลยว่าทุกคนร่วมใจกันทำให้งานนี้เกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ เหมือนหลอมรวมทุกหัวใจของชาวสุโขทัยเพื่อจัดงานประจำปีครั้งนี้อย่างแท้จริง

-------------------------
การเดินทาง

การเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปสุโขทัยที่สะดวกที่สุด แนะนำให้เดินทางด้วยเครื่องบิน โดยสายการบินบางกอกแอร์ เวย์ส ที่มีบริการเที่ยวบินสู่สุโขทัยทุกวัน วันละ 2 เที่ยวบิน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 0 2229 3456, 0 2535 2497-8 หรือ http://www.bangkokair.com

หากสะดวกเดินทางโดยรถยนต์ สามารถเดินทางได้ 2 เส้นทางคือ 1. จากทางหลวงหมายเลข 1 ผ่านจังหวัดนครสวรรค์ กำแพงเพชร เข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 101 ผ่านอำเภอพราน กระต่าย อำเภอคีรีมาศเข้าสู่จังหวัดสุโขทัย รวมระยะทาง 440 กิโลเมตร และ 2. จากทางหลวงหมายเลข 1 ไปจนถึงประมาณกิโลเมตรที่ 50 บริเวณแยกอำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนคร ศรีอยุธยา แล้วเข้าเส้นทางหลวงหมายเลข 32 ผ่านพระนครศรีอยุธยามุ่งสู่นครสวรรค์ แล้วเข้าทางหลวงหมายเลข 117 ตรงเข้าพิษณุโลก ก่อนจะเปลี่ยนไปใช้ทางหลวงหมายเลข 12 เข้าสู่จังหวัดสุโขทัย รวมระยะทาง 427 กิโลเมตร

เมื่อถึงสุโขทัยแล้ว สามารถเดินทางไปชมงานลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ ได้ที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย สอบถามรายละเอียดและเส้นทางท่องเที่ยวได้ที่ โทร 0 5561 1619, 0 5501 4304, 0 5561 0530 หรือ ททท.สำนักงานสุโขทัย โทร 0 5561 6228-9, 0 5561 6366 และ Facebook : งานประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ จังหวัดสุโขทัย ประจำปี 2556