เซินเจิ้น-ฮ่องกง 'ด่าน'เปลี่ยนชีวิต

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า จีน ประเทศที่ไม่เคยอยู่ในลิสต์ของสถานที่ที่อยากไปเที่ยว ไม่เคยคิดอยากอยู่นานๆ จนวีซ่าหมดอายุ
กลับเป็นประเทศที่ต้องเข้าไปคลุกคลี และใช้ชีวิตอยู่ด้วยมากที่สุดตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
หมึกสีน้ำเงิน ‘DEPARTED 26 FEB 2013’ ตราประทับขาออกราชอาณาจักรไทย ปลายทาง “เซินเจิ้น” สาธารณรัฐประชาชนจีน จุดเริ่มต้น 5 เดือนกับการใช้ชีวิตบนจีนแผ่นดินใหญ่
เซินเจิ้น เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งแรกของจีน ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของจีนแผ่นดินใหญ่ ตรงข้ามเกาะฮ่องกง การเดินทางไปมาระหว่างย่านชอปปิ้งในเซินเจิ้นและฮ่องกงใช้เวลาไม่เกินชั่วโมง (ไม่รวมเวลาตรงด่านตรวจคนเข้าเมือง) ฉันจึงไม่แปลกใจเมื่อได้รับเสียงร้องขอจากเพื่อนๆ นักช้อป ให้ช่วยซื้อและเช็คราคาสินค้าทั้งในเซินเจิ้นและฮ่องกงเป็นประจำ จากมุมมองของนักเดินทางท่องเที่ยว เซินเจิ้นคงเป็นแหล่งชอปปิงสินค้าโรงงานราคาถูก ส่วนฮ่องกงก็เป็นแหล่งชอปปิงสินค้าแบรนด์เนมปลอดภาษี แต่ในมุมของผู้อยู่อาศัยความสัมพันธ์ข้ามพรมแดนระหว่างเซินเจิ้นกับฮ่องกงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและมีความขัดแย้งอยู่ไม่น้อย
หลังฮ่องกงได้รับเอกราชจากการตกเป็นอาณานิคมของประเทศอังกฤษในปี 1997 ฮ่องกงกลายเป็นหนึ่งในเขตการปกครองของสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีฐานะเป็นเขตการปกครองพิเศษที่มีอิสระในการปกครองตนเอง แต่ในความเป็นจริง ฮ่องกงไม่สามารถเป็นอิสระโดยสิ้นเชิงจากการปกครองของจีนได้ เนื่องจากความพยายามเข้ามาแทรกแซงของรัฐบาลจีน โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจและการศึกษา จุดนี้ทำให้ชาวฮ่องกงส่วนหนึ่งไม่พอใจ กระทั่งเกิดความรู้สึกแปลกแยกกับคนจีนแผ่นดินใหญ่
ต้นทางสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินหลัวหู ( Luohu Zhan)เมืองเซินเจิ้น สถานีที่นักท่องเที่ยวชาวไทยคุ้นเคย นอกจากเป็นจุดเชื่อมต่อไปยังแหล่งชอปปิงต่างๆ ในเมืองเซินเจิ้นแล้ว หลัวหู ยังเป็นจุดเชื่อมต่อไปยังสถานีรถไฟเซินเจิ้น และด่านตรวจคนเข้าเมืองจีนชายแดนฮ่องกง จากจุดนี้เดินข้ามสะพานประมาณ 50 เมตร ยูนิฟอร์มของเจ้าหน้าที่เปลี่ยนไป เจ้าหน้าที่ทำงานอย่างจริงจังและเคร่งขรึม ทำให้นึกถึงซีรี่ย์ตำรวจฮ่องกง “ใช่แล้ว...แค่ข้ามสะพานมานิดเดียวเราก็มาอยู่ในฝั่งฮ่องกง”
เจ้าหน้าที่หลายคนกำลังยุ่งอยู่กับการใช้เครื่องมือเลเซอร์ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายเด็กๆ และคนแก่ ในสถานการณ์นี้ สำหรับชาวต่างชาติ พาสปอร์ตจะเป็นใบเบิกทางอย่างดี บางครั้งเราอาจหลงไปอยู่ในหมู่คนจีนเหมือนต่อแถวเข้าไปดูคอนเสิร์ต คนล้นหลามจนหาทางไปไม่ได้ โชว์พาสปอร์ตไว้ให้เจ้าหน้าที่เห็น เจ้าหน้าที่จะเรียกให้ไปอีกช่องทางหนึ่งสำหรับชาวต่างชาติซึ่งรวดเร็วกว่าหลายเท่า ภูมิใจลึกๆ ที่ถือพาสปอร์ตไทย ไม่อย่างนั้นคงต้องต่อแถวกันอีกนาน
ฉันเขียนข้อมูลบนบัตรขอเข้าเมืองฮ่องกงใบเล็กๆ และยืนต่อแถว ฝั่งฮ่องกงมีการแบ่งแถวชัดเจนระหว่าง ชาวฮ่องกง ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ และชาวต่างชาติ
คราวนี้ฉันยื่นพาสปอร์ต พร้อมบัตรขอเข้าเมืองให้เจ้าหน้าที่โดยไม่ทักทายอะไร เจียมเนื้อเจียมตัวหน่อยๆ เพราะถึงแม้จะเป็นชาวต่างชาติแต่ก็ข้ามมาจากฝั่งแผ่นดินจีน ที่สำคัญฉันไม่สื่อสารด้วยภาษาจีนกลางเด็ดขาด เพราะครั้งหนึ่งเคยแลกเปลี่ยนบทสนทนากับเพื่อนฮ่องกง ได้ความมาว่า ชาวฮ่องกง (คงไม่ทั้งหมด) จะไม่ชอบใจเลย ถ้าใครมาบอกว่าเขาเป็นคนจีน แล้วพูดภาษาจีนกลางกับเขา ถึงแม้คนฮ่องกงจำนวนไม่น้อยจะพูดภาษาจีนกลางได้ แต่เขาไม่เคยคิดว่าเขาเป็นคนจีน เขาเป็นพลเมืองฮ่องกง และภาษาที่ชาวฮ่องกงสื่อสารกันในชีวิตประจำวัน คือ ภาษากวางตุ้งและภาษาอังกฤษ
เจ้าหน้าที่รับเอกสารไป ไม่พูดไม่จา เปิดดูพาสปอร์ตอยู่นาน สักพักหยิบกระดาษอีกใบออกมาเขียนโน้ตที่ฉันอ่านไม่ออก ภายในสองวินาที เจ้าหน้าที่อีกคนเดินเข้ามา รับพาสปอร์ตของฉันและเอกสารทั้งหมดไป ทำท่าทางว่าให้ฉันเดินตามไป เป็นการสื่อสารกันด้วยภาษาใบ้ทั้งหมด
“เอาแล้ว” ฉันคิดในใจ ความภูมิใจที่ถือพาสปอร์ตไทยก่อนหน้านี้ มลายหายไปทันที
ฉันเดินตามเจ้าหน้าที่ไปอย่างไม่ขัดขืน เดินเข้าไปมีพนักงานเปิดโซ่กั้นทางเดินให้เข้าไปนั่งรอตรงเก้าอี้ที่เตรียมไว้ รอบข้างมีห้องซอยเป็นบล็อคเล็กๆ ข้างในมีโต๊ะทำงานและที่นั่งสำหรับการสัมภาษณ์ หลายคนนั่งรอกันอยู่ก่อนแล้ว ทั้งหมดเป็นผู้หญิง ไม่ก็ผู้หญิงกับเด็กเล็กๆ และไม่มีคนขาว พูดง่ายๆ ไม่มีฝรั่ง มีแต่ผู้หญิงเอเชียหรือผู้หญิงผิวดำ
สำหรับฉันนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่โดนเรียกสัมภาษณ์ แต่ทุกครั้งที่โดนสัมภาษณ์จะมีความรู้สึกขุ่นเคืองใจอยู่ลึกๆ รู้สึกเหมือนกำลังโดนข้อกล่าวหาทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำผิด ข้อแนะนำสำหรับผู้หญิงไทยที่อาจโดนสัมภาษณ์ก่อนเข้าเมืองอยู่บ่อยๆ แน่นอนว่าโดยปกติเจ้าหน้าที่จะสื่อสารกับเราเป็นภาษาอังกฤษเพราะเป็นภาษาสากล สิ่งที่เขาอยากรู้คือเราจะมาทำอะไรในประเทศของเขา สิ่งที่เราต้องทำคือ ตอบตามความจริง ตอบอย่างมั่นใจ (ด้วยสำเนียงแบบไทยๆ ก็ได้) อย่าไปกลัว
นอกจากนี้ การเดินทางไปต่างประเทศ ควรเตรียมบัตรเดบิตหรือบัตรเอทีเอ็มติดตัวไปด้วย ข้อแรกเผื่อเงินที่แลกไปไม่พอจะได้มีเงินสำรองไว้ใช้ ข้อที่สอง เวลาเจ้าหน้าที่สัมภาษณ์อาจถามว่าแลกเงินมาเท่าไร แล้วมีบัตรเครดิตหรือเปล่า ถ้าเราแลกเงินมาน้อย จะได้โชว์บัตรให้เขาดูอย่างมั่นใจ “ฉันมีบัตรนะจ๊ะ” ส่วนบัตรของเราจะโดนจำกัดวงเงินหรือยัง อันนี้เจ้าหน้าที่เขาไม่ตรวจ
ถึงแม้การโดนเรียกสัมภาษณ์จะทำให้หงุดหงิดและเสียเวลา แต่ก็เข้าใจว่าเป็นมาตรการป้องกันการค้ามนุษย์และค้าเพศข้ามชาติ ซึ่งมีอยู่จริงและเป็นเรื่องที่เลวร้ายจนเกินจะรับไหว
ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองฮ่องกง ออกมาตามทางเพื่อซื้อตั๋วรถไฟฟ้า ป้ายแสดงชื่อสถานีรถไฟต้นทาง โลวู (Lo Wu)
โลวูห่างจากย่านชอปปิงในเกาะฮ่องกงอีกไม่เกินหนึ่งชั่วโมง อันที่จริงชื่อสถานีรถไฟหลัวหูในเซินเจิ้น และสถานีรถไฟโลวูฝั่งฮ่องกง มีความหมายเดียวกัน แปลว่า "เสือ" แต่ทั้งสองเมืองเลือกสื่อสารด้วยภาษาและรูปแบบการเขียนตัวอักษรที่แตกต่างกัน โดยเซินเจิ้นออกเสียง “หลัวหู” ด้วยสำเนียงจีนกลางและเขียนอักษรภาษาจีนแบบตัวย่อ ส่วนฮ่องกงจะออกเสียงด้วยสำเนียงกวางตุ้ง “โลวู” และเขียนตัวอักษรภาษาจีนแบบจีนตัวเต็มหรือแบบจีนดั้งเดิม นี่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างความพยายามรักษาอัตลักษณ์หรือความเป็นตัวของตัวเองของทั้งสองฝ่าย
ฉันประทับใจฮ่องกงหลายอย่าง อาจเป็นเพราะฮ่องกงเคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ทำให้มีเรื่องราวที่ซ้อนทับอยู่ในความทรงจำของฉันเกี่ยวกับลอนดอน แต่คงไม่สามารถเล่าได้หมดในตอนนี้
ช่วงระยะเวลา 5 เดือน ฉันเดินทางไปมาระหว่างเซินเจิ้นและฮ่องกง ไม่น้อยกว่าสิบครั้ง ทุกครั้งฉันเห็นคนจีนแผ่นดินใหญ่ ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคจำนวนมาก หอบหิ้วข้ามฝั่งมาแบ่งกันตรงสะพานข้ามแดนฝั่งจีน หรือไม่ก็เอามาขายกันตรงสถานีหลัวหู ที่เป็นเช่นนี้เพราะจีนคิดภาษีมูลค่าเพิ่มสินค้าทั่วไปถึง (VAT) 17% ซึ่งสูงกว่าเมืองไทยกว่าเท่าตัว ทำให้สินค้าอุปโภคบริโภคในจีน เช่น แชมพู ยาสระผม ผ้าอ้อมเด็ก ฯลฯ มีราคาแพง ความอีหลักอีเลื่อจากการพัฒนาอย่างรวดเร็วของจีน โดยที่ประชาชนยังไม่มีความพร้อม และไม่มีสิทธิออกเสียงว่าตัวเองต้องการอะไร มีตัวอย่างให้เห็นมากมายในเขตเศรษฐกิจพิเศษเซินเจิ้น
เซินเจิ้น ต้องการรักษาภาพลักษณ์ความเป็นเมืองเศรษฐกิจ ด้วยการห้ามมอเตอร์ไซค์วิ่งบนท้องถนน แล้วมอเตอร์ไซด์ไปไหน? มอเตอร์ไซค์ต้องเปลี่ยนมาวิ่งบนทางเท้าร่วมกับคน คนใช้ทางเท้าก็ต้องระวังมอเตอร์ไซค์เฉี่ยวชน หากใช้แค่ความรู้สึกของนักเดินทางตัดสิน โดยไม่อ้างถึงการเมือง เศรษฐกิจ สังคมหรือประวัติศาตร์ ฉันรู้สึกเป็นอิสระภายใต้กฎระเบียบและข้อบังคับของฮ่องกงที่คนปฏิบัติบัติตามกฎจนเป็นธรรมชาติ มากกว่าการใช้ชีวิตอยู่ในเซินเจิ้นภายใต้กฎระเบียบข้อบังคับที่ขัดกับวิถีชีวิตของคน จนทำให้เกิดการฝ่าฝืนกฎจนเป็นธรรมชาติ
สำหรับฉันแค่การเดินข้ามสะพานจากด่านตรวจคนเข้าเมืองเซินเจิ้นไปเกาะฮ่องกง ก็รู้สึกทันทีว่า เปลี่ยนด่านแล้วชีวิตเปลี่ยนจริงๆ แล้วประเทศไทยของเราล่ะ จะเดินหน้าต่อไปในทิศทางใด







