ภาษาห่อธรรม 'ญาณสังวร'

พระนิพนธ์บางชิ้นของ สมเด็จพระสังฆราช ยังไม่เสร็จ และไม่มีใครเขียนต่อได้ เพราะวิธีการเชื่อมโยงตีความ เพื่อค้นหาคำตอบมีความละเอียดลึกซึ้ง ทำไ
หากใครมีโอกาสได้ศึกษาชีวิตและธรรมะของ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก อย่างละเอียด จะค้นพบว่า พระเครื่องไม่ว่ารุ่นไหน นั่นไม่ใช่สรณะที่พระองค์ต้องการให้ยึดเหนี่ยว สิ่งที่เป็นสรณะคือ พระธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้า
ดังนั้น คนที่ศึกษางานของ สมเด็จพระสังฆราช ต่างรู้ดีว่า พระองค์ไม่นิยมให้สร้างพระเครื่องใดๆ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนพระองค์ เพราะพระองค์อยากให้นำธรรมะมาใช้ในชีวิตประจำวันมากกว่าอื่นใด
“พระเครื่องไม่ใช่ตัวตนของพระองค์ พระองค์ไม่ต้องการให้ใครมาสร้างเหรียญของพระองค์ แต่ก็มีคนพยายามสร้างเหรียญ สมเด็จพระสังฆราช มากมาย ” พระอนิลมาน ธฺมมสากิโย ผู้ช่วยเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เล่า
พระเครื่อง...หาใช่สาระ
แทนที่คนจะนำธรรมะมาใช้ในชีวิต กลับกลายเป็นว่า สนใจพระเครื่องสมเด็จพระสังฆราชมากกว่าตัวตนที่แท้จริงของพระองค์ ซึ่งเรื่องนี้ พระอนิลมาน บอกว่า เวลาญาติโยมมาถวายพระเครื่องให้พระองค์แจก สิ่งที่พระองค์ทำก็คือ แจกหนังสือธรรมะควบคู่ไปด้วย พระองค์บอกว่า เอาพระธรรมไปด้วย
“เวลาฟังหรืออ่านหนังสือธรรมะ พระองค์ไม่อยากให้ติดอยู่ที่ตัวบุคคล พระองค์ถ่ายทอดทะลุไปที่แก่นธรรม ดังนั้นเวลาเราอ่านพระนิพนธ์ เราลืมพระองค์ไปเลย เวลาเราฟังเสียง ลืมต้นเสียงไปเลย แต่เข้าไปในแก่นธรรม มีอยู่ช่วงหนึ่งสมเด็จย่าฯ ต้องการให้เด็กหรือคนที่ไปเรียนต่างประเทศ เรียนรู้เรื่องพุทธศาสนาในรูปแบบง่ายๆ ทั้งหลักการทำสมาธิเบื้องต้น จึงรับสั่งให้สมเด็จพระสังฆราชพระนิพนธ์เรื่อง พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอะไร"
แม้กระทั่งการสอนสมาธิ ก็เป็นไปอย่างเรียบง่าย พระอนิลมาน บอกว่า สมเด็จพระสังฆราช ตรัสว่า ทุกคนมีสมาธิอยู่แล้ว แต่เราไม่รู้จักกระบวนการที่จะทำให้สมาธิมีคุณภาพ หรือมีประสิทธิภาพในระดับหนึ่ง ขณะที่ทุกคนใช้คำว่ากรรมฐาน สมาธิภาวนา วิปัสสนา พระองค์ใช้คำว่า การบริหารจิต
“ในยุคนั้นไม่มีใครใช้คำว่าบริหารจิต แต่ใช้คำว่า วิปัสสนาหรือคำพระ พระองค์จึงประมวลความทั้งหมดว่า นี่คือการบริหารจิต พระองค์บอกว่า จิตคือกระบวนการรู้ ร่างกายเป็นประตู ยกตัวอย่างเมื่อตาเราเห็นว่า นี่คือ ถ้วยแก้ว เรารับรู้ว่าเป็นถ้วยแก้ว นั่นคือจิตรู้"
ว่ากันว่า สมาธิมีอยู่ในทุกคน แต่จะมากน้อยเพียงใด คนๆ นั้นต้องมีศักยภาพ เพื่อนำไปสู่ปัญญา หลักที่ สมเด็จพระสังฆราช ทรงสอนก็คือ หลักการทำสมาธิเบื้องต้น ซึ่งมีเทคนิคในการปฏิบัติมากมาย พระอนิลมาน บอกว่า พระองค์สรุปการปฏิบัติธรรมไว้สามอย่าง คือ ความจริง ความงาม และ ความดี
"ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นคือ ความจริง อริยสัจสี่...เป็นจริงเพราะอะไร ใครที่นำความจริงมาปฏิบัติ ก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะความจริงเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว แล้วใครที่เอาความจริงมาปฏิบัติก็ได้ความดี ซึ่งเป็นความดีในจิตใจและสังคม"
พระนิพนธ์...ที่ไม่เสร็จ
ขณะที่พระองค์มีพระภารกิจมากมายในการบริหารคณะสงฆ์ และเผยแผ่ธรรมะ พระองค์จึงใช้ทุกเสี้ยววินาทีของชีวิตให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระนิพนธ์เกี่ยวกับพุทธศาสนาในรูปแบบต่างๆ กว่าร้อยเรื่องที่เพียรพยายามศึกษาค้นคว้า และบางเรื่องยังทำไม่เสร็จ เนื่องจากประชวร
“พระองค์เคยตรัสว่า อยากนำเสนอพระไตรปิฎกในรูปแบบใหม่ อาตมาก็งง พระองค์ต้องการจัดพระไตรปิฎกในรูปแบบที่เรียงตามลำดับ ตั้งแต่ปีพรรษาแรก เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น นำพระสูตรทั้งหมดมาเรียงร้อย เพื่อเขียนเรื่องพระพุทธเจ้า แต่พอทำมาถึงพรรษาที่ 12 พระองค์ก็ประชวร” พระอนิลมาน เล่า พร้อมทั้งขมวดปมให้เห็นว่า คำสอนของพระองค์ทันสมัยมากกว่าที่พวกเราจะตามทัน
“ปี 2510 พระองค์เริ่มพระนิพนธ์เรื่อง 45 พรรษาพระพุทธเจ้า การทำหนังสือชุดนั้น พระองค์ต้องการใช้สอนพระใหม่ เวลาพระนิพนธ์จะไม่มีโน้ต แต่ออกมาจากพระทัย เมื่อประชวรก็เลยไม่สามารถทำต่อได้ เพราะความรู้ของพระองค์ พวกอาตมาไปไม่ถึง อาตมาก็ได้แต่หาหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้ให้พระองค์ แต่พระองค์ค้นคว้าเอง โดยใช้ทั้งภาษาอังกฤษ สันสกฤต มหายาน และวัชรยาน ฯลฯ ”
วิธีการพระนิพนธ์ที่พระองค์ใช้ พระอนิลมาน บอกว่า คนที่จะทำต่อได้ ต้องมีความเชี่ยวชาญในพระไตรปิฎกอย่างลึกซึ้ง เนื่องจากวิธีการของพระองค์จะมีการเทียบเคียงกับคัมภีร์หลายเล่มหลายภาษา และไม่ใช่แค่ความรู้ปริยัติอย่างเดียว ยังมีการเชื่อมโยงตีความหลายระดับ
“พระองค์สามารถเชื่อมโยงเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ และโยงไปเรื่องนี้ อย่างการเชื่อมโยงเรื่องนรกและสวรรค์ พระองค์สรุปว่า ความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ ไม่ใช่พุทธศาสนา ใครกล้าทำถึงขนาดนี้ ก็มีพระอาจารย์พุทธทาสที่กล่าวทำนองนี้"
หากถามว่า ทำไมพระนิพนธ์ของสมเด็จพระสังฆราช ที่มีอยู่มากมายไม่แพร่หลาย พระอนิลมาน บอกว่า พระองค์จะพิมพ์แจกในโอกาสสำคัญเท่านั้น โดยถอดความจากการเทศน์พระใหม่และการสอนธรรมะในที่ต่างๆ ดังนั้นคนที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ จึงมีอยู่น้อย ถ้าจะนึกถึงแฟนพันธุ์แท้งานของสมเด็จพระสังฆราช ก็ต้องนึกถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะในหลวงได้ส่งเจ้าหน้าที่โสตมาบันทึกเทปเวลาพระองค์สอนธรรมะในวัดหรือนอกวัด ซึ่งทำมานานแล้ว
“เพราะฉะนั้นเทปที่อัดในวัดสมบูรณ์แบบไม่มี ส่วนใหญ่อยู่ในสวนจิตรลดา เนื่องจากในหลวงเอาเทปไปสดับฟัง อย่างหนังสือสัมมาทิฐิที่ สมเด็จพระสังฆราช ทรงสอน ในหลวงสดับฟังจนประทับพระราชหฤทัยมาก จึงให้ถอดความและแก้ไขตรวจปรู๊ฟด้วยพระองค์เอง และพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือ ซึ่งในหลวงเป็นแฟนพันธุ์แท้ คือปฏิบัติแล้วฟัง ถอดเทป นั่งแก้ไข แล้วให้ สมเด็จพระสังฆราช ทรงตรวจอีกครั้ง”
ยุคสมัยของพระองค์
สมเด็จพระสังฆราช เป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งที่มีผลงานเปลี่ยนแปลงประเทศไทยในช่วงที่พระองค์มีชีวิตอยู่ ถ้าย้อนไปดูประวัติศาสตร์หรือวิเคราะห์สังคมในเชิงวิชาการในช่วงร้อยปี พระในยุคเดียวกับสมเด็จพระสังฆราชที่มีอิทธิพลในการเปลี่ยนแปลงความคิดในสังคม ก็คือท่านอาจารย์พุทธทาส ซึ่งเป็นรุ่นพี่ของสมเด็จพระสังฆราชไม่กี่ปี ส่วนสายวัดป่าคือ พระอาจารย์มหาบัว ซึ่งมีความคิดแหวกแนวไม่แพ้ท่านอาจารย์พุทธทาส
“ในแง่การปฏิบัติ สมเด็จพระสังฆราชก็ไม่แพ้สายกรรมฐานของพระอาจารย์มหาบัว สายกรรมฐานก็ถือสมเด็จพระสังฆราชเป็นพระอริยะ ทางสายนักวิชาการพุทธศาสนาก็ถือว่า สมเด็จพระสังฆราชมีการตีความพุทธศาสนาอันเอกอุ ไม่มีใครเหมือน เป็นการตีความที่มีการใช้คำบัญญัติไม่แพ้พระอาจารย์พุทธทาส” พระอนิลมานวิเคราะห์ และกล่าวว่า ขณะที่ผลงานและคำสอนท่านอาจารย์พุทธทาสมีผลกระทบต่อการพัฒนาสังคม ทั้งๆ ที่ท่านอาจารย์พุทธทาสหรือพระอาจารย์มหาบัวไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงสังคมได้มากมายเหมือนสมเด็จพระสังฆราชที่อยู่ในอำนาจและการบริหาร ซึ่งสามารถเปลี่ยนสังคมได้
“คนไม่ค่อยรู้ว่าในยุคสมัยของพระองค์ สิ่งที่พระองค์ทำในแง่กฎหมายและธรรมะที่เกี่ยวกับมหาเถรสมาคมมีมากมาย ดังนั้นพระนิพนธ์ของพระองค์ไม่ได้ออกมาในแง่สมเด็จพระสังฆราชทรงทำ พระองค์จะไม่ใช้คำว่า “ผม” แต่ใช้คำว่า “ที่นี่ “(สรรพนามแทนพระองค์) และใช้มานาน อย่างอาตมาเคยใช้คำพูดว่า สมเด็จพระสังฆราช เป็นพระอาจารย์ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์กริ้ว แล้วตรัสว่า “ไม่ควรใช้คำนี้ไม่ถูกต้อง ที่นี่ (สรรพนามแทนพระองค์) ไม่ได้เป็นพระอาจารย์ ที่นี่เป็นคนไทยคนหนึ่ง พระสงฆ์องค์หนึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นกษัตริย์ ทุกคนมีหน้าที่สนองงานถวาย ที่นี่ก็มีหน้าที่สนองงานถวายงานตามหน้าที่พระที่อยู่ภายใต้การปกครองของประเทศ เป็นหน้าที่ของเราทุกคน และอีกคำหนึ่งที่พระองค์ใช้ คือ พวกเราเกิดมา เราเป็นหนี้แผ่นดิน หน้าที่ของเราที่ทำอยู่ไม่ใช่เพื่อสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่สิ่งที่ต้องทำในฐานะที่เราได้รับประโยชน์จากแผ่นดินนี้ ไม่ใช่เพื่อจะรับสิ่งนั้นสิ่งนี้ตอบแทน แต่ต้องใช้หนี้แผ่นดิน”
ตีความภาษาธรรม
หากย้อนไปในช่วง สมเด็จพระสังฆราช ได้รับการสถาปนาเมื่อปี 2532 พระภารกิจแรกที่พระองค์ปฏิบัติ พระอนิลมานเล่าว่า กรณีของสันติอโศกที่คาราคาซังมานาน คราวนั้นพระองค์ใช้พระเดช ตัดสันติอโศกออกจากคณะสงฆ์ โดยพระองค์ไม่เอ่ยคำว่า สันติอโศก แม้แต่คำเดียว
“พระองค์ใช้หลักการตามธรรมวินัยอธิบายชัดเจน แม้คณะสงฆ์จะร่างจดหมายให้พระองค์อ่าน พระองค์ทอดพระเนตรเสร็จก็วางลง จากนั้นตรัสออกมาจากพระทัย และตรัสชัดเจน มีที่มาที่ไป มีหลักเกณฑ์ในการตัดสินหรือการดำรงสถานภาพ เมื่อท่านพูดจบทุกคนงง ไม่มีใครตั้งคำถาม บังเอิญอาตมาตามเสด็จ ก็ได้อัดเทปไว้และกลายเป็นหลักฐานชิ้นเดียวที่ต้องถอดเทปตอนนั้น และออกมาเป็นคำตัดสิน” พระอนิลมาน เล่า เพื่อให้เห็นว่า ทำไมคนไม่ค่อยรู้ในสิ่งที่พระองค์ทำ
หากย้อนถึงยุคสมัยที่เริ่มมีการสอนกรรมฐาน พระองค์สอนกรรมฐานตั้งแต่ปี 2504 สัปดาห์ละสองวัน โดยเปิดห้องโถงใหญ่ปูเสื่อยาวให้ผู้คนนั่งฟังธรรมเป็นพันๆ คน พระอนิลมาน เล่าว่า เวลาเทศน์ พระองค์จะทรงถือใบลาน เวลาพระองค์ให้ศีล พระองค์ก็เปิดใบลาน ผู้คนนั่งฟังก็ดูเหมือนท่านดูกัณฑ์เทศน์ แต่จริงๆ บนใบลานไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับการเทศน์
“พอพระองค์เทศน์จบ ก็ดูเหมือนพระองค์อ่าน แต่ในใบลานนั้นไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับการเทศน์เลย เพราะอาตมาเป็นคนถอดเทปคำสอน และสิ่งที่ทรงตรวจก็คือ สิ่งที่อาตมาพิมพ์ผิด นอกนั้นไม่มีอะไรต้องแก้ เพราะวิธีคิดของพระองค์สามารถนำมาเรียงร้อยออกมาเป็นหนังสือได้เลย โดยไม่ต้องเปลี่ยนสำนวน”
เหมือนเช่นที่กล่าวมา พระองค์เป็นนักค้นคว้า นักภาษาศาสตร์ พระอนิลมาน บอกว่า เวลาพระนิพนธ์หนังสือ พระองค์ไม่ทรงติดภาษาบาลี อย่างคำว่า สุขและทุกข์ พระองค์อธิบายว่า มีคนเข้าใจผิดเยอะ พระองค์บอกว่า วิธีการตีความคำว่า สุข หรือ ทุกข์ โดยปกติจะตีความสนองตัณหากิเลสของตัวเอง สุข แปลว่า ทนได้ง่ายๆ ทุกข์ แปลว่า ทนได้ยาก
"ถ้าญาติโยมนั่งฟังจนลืมความปวดเมื่อย เพราะมีสมาธิ นั่นก็คือ ความสุข เรื่องนี้เพื่อจะอธิบายว่า ทุกคำที่พระองค์ตีความจะค้นไปถึงรากศัพท์ภาษาบาลี”
นอกจากเรื่องสุขหรือทุกข์ พระอนิลมานยังยกตัวอย่างวิธีคิดของพระองค์ว่า ถ้ามีคนบอกว่า ความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ไม่ใช่พุทธศาสตร์ พระองค์จะถามต่อว่า มันคืออะไรล่ะ มันเป็นภูมิศาสตร์ทั้งหมดหรือ
“วิธีคิดแบบนี้สมัยใหม่ไหม ทุกวันนี้เราอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ แต่สมัยโบราณมองโลกว่ามีกี่ชั้นกี่ภูมิ พระองค์มองว่า มันเป็นภูมิศาสตร์ของคนโบราณ มีประโยชน์ไหม...มี ทำให้รู้ว่า คนโบราณคิดอย่างไร มีความรู้ระดับไหน” สิ่งที่พระอนิลมานถ่ายทอดให้ฟัง ก็เพื่อให้เห็นว่า บางครั้งหลักเหตุผลแต่ละยุคสมัยก็ไม่เหมือนกัน จึงต้องเข้าใจบริบทในสังคมยุคนั้นด้วย ดังนั้นภูมิปัญญาโบราณจึงต้องทำความเข้าใจให้ลึกซึ้ง โดยไม่สรุปว่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ล้าสมัย โดยปราศจากเหตุและผล
“พระองค์ไม่เคยยกย่องวิทยาศาสตร์ สะท้อนมาถึงตัวอาตมาไม่เคยสนใจวิทยาศาสตร์เหมือนกัน เรื่องวิทยาศาสตร์ ครูบาอาจารย์หลายคนบอกว่า พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ ทำไมพุทธศาสนาต้องลดไปถึงความรู้ระดับเด็กๆ 200 ปีนี่หรือ วิทยาศาสตร์เป็นความรู้เมื่อสองร้อยปี และไม่นิ่งสักที ต่างจากสองพันหกร้อยปีที่นิ่งมาตลอด ไม่มีใครคัดค้านได้ มันเป็นการเปรียบเทียบที่เหมาะสมไหม พระองค์ไม่เคยเปรียบเทียบอย่างนั้น แต่วิธีการอธิบาย ไม่ได้แตกต่างจากหลักการวิทยาศาสตร์”นี่คือ ความแยบยลในการอธิบาย พร้อมกล่าวว่า
“วิทยาศาสตร์ ไม่ได้เป็นความจริงทั้งหมด เป็นแค่กระบวนการ ความจริงเปลี่ยนได้ตลอด สมัยก่อนเราบอกโลกแบน ก็มีคนพิสูจน์ว่า โลกกลม ถ้ามีคนบอกว่า โลกมีรูปทรงแปดเหลี่ยมล่ะ ความจริงก็เปลี่ยน แต่คำสอนของพระพุทธเจ้า อริยสัจสี่ ก็คือ อริยสัจสี่ มรรคมีองค์แปด ก็คือ มรรคมีองค์แปด ไม่ว่าจะไปอยู่ในโลกไหน หรือดาวอะไร ก็คือความจริง เราไม่ได้พูดถึงรูปธรรม พระองค์พูดถึงคำสอนพุทธศาสนา สิ่งต่างๆ ที่อยู่ข้างใน ไม่ใช่ข้างนอก เหมือนการมองคนว่าสวยหรือไม่สวย แล้วความเป็นคนอยู่ตรงนั้น”
ในยุคนั้นถือว่าทันสมัย
อีกเรื่องที่พระอนิลมานตั้งคำถามว่า ทำไมพระองค์คิดต่างจากพระยุคสมัยนั้น ดังนั้นในนิทรรศการสมเด็จพระสังฆราชครั้งนี้ โจทย์ที่ตั้งไว้ ก็เพื่อให้คนดูไตร่ตรองด้วยตัวเอง ขณะที่คนไทยบอกว่า พระองค์สุดยอด เกิดมาเพื่อเป็นสมเด็จพระสังฆราช แต่กลับโยงมาเป็นเรื่องปาฏิหาริย์
“จากที่สนองงานถวายมาตลอด พระองค์ไม่เน้นเรื่องปาฏิหาริย์” พระอนิลมานตั้งคำถามว่า ในยุคสมัยนั้น ถ้าเทียบจากงาน ความคิดและคนในยุคสมัยนั้น ความคิดที่ทันสมัยแบบนี้มีไหม
“ขณะที่สมัยนี้มีอุปกรณ์ทันสมัยมากมาย แต่พระสมัยนี้เป็นยังไง ต่างจากสมัยพระองค์ไม่มีอะไรสักอย่าง พระองค์ขวนขวายศึกษาค้นคว้า ทั้งๆ ที่ไม่ได้เรียนสายสามัญ แค่เปรียญ 9 ประโยค เรียนภาษาอังกฤษด้วยพระองค์เอง อาตมาเคยถามหลานพระองค์ ซึ่งอายุ 70 ปีได้ความว่า น้าของพระองค์ เคยถามพระองค์ว่า ทำไมเรียนภาษาอังกฤษ พระองค์ตอบว่า “ถ้าเราไม่สามารถสื่อสารกับคนต่างชาติได้ ก็แย่สิ” น้าก็ถามว่า เรียนยังไง นี่คือ ครูของฉัน (หนังสือ) “ พระอนิลมานเล่า และชวนคิดต่อว่า ในแง่การพัฒนาตัวตนของพระองค์ ยุคสมัยก็มีผลต่อความเป็นตัวตนของคนยุคนั้น
“วิธีคิดของพระองค์ต่างจากคนทั่วไปที่จำมายังไง ก็พูดออกไปอย่างนั้น แต่พระองค์รับข้อมูล แล้วโยนิโสมนสิการ จากนั้นออกมาเป็นคำพูดที่สมบูรณ์แบบ สมัยหนึ่งเพื่อนของพระองค์อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ สึกเหมือนพระอาจารย์มิตซูโอะในปัจจุบัน คนทั่วไปก็เขียนเฟซบุ๊ควิจารณ์กันมากมาย แต่ในยุคนั้นเพื่อนของพระองค์ว่าสักวาธรรมโต้ตอบกัน เห็นได้ว่า บุคลิกภาพของพระองค์ มีวิธีการนำเสนอธรรมะหลายแบบ” พระอนิลมานเล่า และเวลาญาติโยมมากราบที่พระตำหนัก ผู้ช่วยเลขานุการสมเด็จพระสังฆราชจึงต้องทำหน้าที่ตามความเหมาะสม เพื่อให้พระองค์มีเวลาส่วนตัวพระนิพนธ์ธรรมะ แต่พระองค์กลับบอกว่า พวกเขามีทุกข์จึงมาหาพระ เป็นพระก็ต้องให้ญาติโยมพึ่งพิง
"นั่นทำให้พระองค์ไม่มีเวลาส่วนตัว แม้กระทั่งตอนฉันอาหารหรือช่วงนั่งหลับตานิดหนึ่ง อาตมาจึงต้องอ่านหนังสือถวาย หากมีเวลาว่างพระองค์ก็จะปฏิบัติภาวนา แต่ละวันพระองค์จะมีคอร์ส อาตมาก็ไม่เคยถามว่า คอร์สของพระองค์มีอะไรบ้าง พระองค์สวดมนต์เยอะ และบทสวดมนต์อยู่ในตัวพระองค์ พระองค์ทบทวนตลอดเวลา บางคืนงานเยอะ พระองค์ก็จะบอกว่า ยังไม่จบคอร์สเลย ถ้ามีเวลาว่าง ก็สวดมนต์ภาวนาให้จบ”
ความเป็น "ญาณสังวร"
แม้ว่า สมเด็จพระสังฆราช จะมีความแยบยลในการอธิบายธรรมะเพียงใด แต่ใช่ว่าญาติโยมจะเข้าใจและเข้าถึงได้เหมือนกันทุกคน บางครั้งก็มีการตีความต่างไปจากพระประสงค์ของพระองค์ พระอนิลมาน บอกว่า แม้จะรับใช้พระองค์อย่างใกล้ชิดตั้งแต่อายุ 15 ปี สิ่งที่เป็นตัวตนในทุกวันนี้ ก็แค่เศษเสี้ยวธุลีของ สมเด็จพระสังฆราช และธรรมะของพระองค์ก็เพื่อใช้ในชีวิต ไม่ใช่ธรรมะที่เอามาคิดหรือเอาไว้เขียน
“ทุกอย่างเอามาใช้ได้ อาตมาพยายามเน้นเรื่องนี้ ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจความเป็น "ญาณสังวร" (ผู้มีสติเพื่อขัดเกลากิเลส) แต่คนไทยชอบไปสนใจเรื่องสมณะศักดิ์ ชั้นยศ อาตมาก็พยายามให้เรื่องคุณธรรม ก่อนหน้านี้พระองค์ไม่ได้สั่งเสียอะไรไว้ อยู่ที่จิตสำนึกของพวกเรา ซึ่งต่างจากตอนอาตมาจบดอกเตอร์ใหม่ๆ พระองค์เคยตรัสว่า ให้สอนสิ่งที่เรียนมา ซึ่งเป็นหน้าที่โดยตรงที่พระองค์มอบหมาย”
ในส่วนของมรดก หนังสือธรรมเป็นอีกส่วนที่พระอนิลมานบอกว่า หนังสือของพระองค์ เวลาใครอยากพิมพ์ พระองค์ก็อนุญาตทุกราย แต่มีบางสำนักพิมพ์ตัดต่อพระนิพนธ์ออกมาผิดๆ มีการดัดแปลงเชื่อมประโยคเอง
“อย่างคำสอนเรื่อง วิธีการสร้างบุญบารมีที่พิมพ์กันมากมาย ทำตรงนั้นจะได้บุญตรงนี้ พระองค์ไม่เคยสอนที่ไหน อาตมาอ่านพระนิพนธ์มากมายที่พิมพ์ออกมา พระองค์ไม่ได้สอนแบบนั้น อาตมาพยายามบอก ก็ไม่มีใครเชื่อ นักเขียนบางคนแค่ขึ้นต้นคำก็ผิดแล้ว โดยการอ้างคำว่า บุญ จากพจนานุกรมพุทธศาสนาของพระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ซึ่งพระนิพนธ์ของ สมเด็จพระสังฆราช ต้องอ้างพจนานุกรมลูกศิษย์ หรือ พระองค์เชี่ยวชาญภาษาบาลีตั้งแต่พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ยังเป็นเด็กๆ อยู่ที่ไหนไม่ทราบ
ทั้งๆ ที่อาตมาพยายามลบล้าง โดยนำเอาลายพระหัตถ์มาอธิบาย เพื่อบอกว่าสิ่งที่ถูกคืออะไร แต่กลายเป็นว่าสำนักพิมพ์เหล่านั้น สแกนลายพระหัตถ์พิมพ์ใส่ในหนังสือที่ผิดอีก ทุกอย่างเป็นการค้าเป็นเรื่องเงิน ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ของ สมเด็จพระสังฆราช ปัญหาคือมีการตัดต่อคำสอนอย่างไม่ถูกต้องในหนังสือหลายเล่ม"
ในแง่การเผยแพร่พระนิพนธ์ของพระองค์ พระอนิลมาน สรุปว่า
"พระองค์อนุญาตมาตลอด เพราะว่าธรรมะเป็นของพระพุทธเจ้า แต่ใครจะพิมพ์ ก็ควรให้ถูกต้องตามคำสอน"







