ตำหนักเพ็ชร ประชุมบำเพ็ญพระราชกุศลถวาย

ตำหนักเพ็ชร ประชุมบำเพ็ญพระราชกุศลถวาย

รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง 'ตำหนักเพ็ชร' ด้วยสถาปัตยกรรมคล้าย 'บ้านขนมปังขิง' ต้นแบบบ้านสไตล์วิคตอเรียนในประเทศอังกฤษ

วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิด 'ราชวรวิหาร' ฝ่ายธรรมยุต ตั้งอยู่ริมถนนบวรนิเวศและถนนพระสุเมรุ ในท้องที่แขวงวัดบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่ 3 ทรงสร้างขึ้นใหม่ในรัชกาลนั้นด้วยศิลปะไทยผสมจีน ทรงผูกพัทธสีมาเป็นครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ.2372 และเคยเป็นที่ปลงศพ เจ้าจอมมารดา(น้อย) เจ้าจอมของพระองค์เจ้าดาราวดี พระราชชายา ระหว่าง พ.ศ.2367-2375 (ปีระหว่างอุปราชาภิเษกและสวรรคตของสมเด็จพระบวรราชเจ้าพระองค์นั้น)


เดิมชื่อ 'วัดใหม่' ตั้งอยู่ใกล้กับ 'วัดรังษีสุทธาวาส' น่าจะได้รับพระราชทานชื่อวัดบวรนิเวศวิหารเมื่อ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอาราธนา สมเด็จพระอนุราชาธิราส เจ้าฟ้ามงกุฎฯ ซึ่งทรงผนวชเป็นพระภิกษุประทับอยู่วัดสมอราย (วัดราชาธิวาสในปัจจุบัน) เสด็จมาอยู่ครองเมื่อพ.ศ.2379


ในระหว่างที่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงผนวชอยู่ ทรงปรับปรุงวางหลักเกณฑ์ความประพฤติ ปฏิบัติของพระสงฆ์ให้เป็นไปโดยถูกต้องตามพระธรรมวินัย โดยมีพระสงฆ์ประพฤติปฏิบัติตามอย่างพระองค์เป็นอันมาก ในคราวที่พระองค์เสด็จมาครองวัด ก็ได้นำเอาการประพฤติปฏิบัตินั้นมาใช้ในการปกครองพระสงฆ์ ณ วัดนี้ด้วย เดิมเรียกพระสงฆ์คณะนี้ว่า 'บวรนิเวศาทิคณะ' อันเป็นชื่อสำนักวัดบวรนิเวศวิหาร ต่อมาจึงได้ชื่อว่า 'คณะธรรมยุติกนิกาย' แปลว่าคณะสงฆ์ผู้ซึ่งปฏิบัติตามพระธรรมวินัย


จึงถือว่าวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นสำนักเอกเทศแห่งคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายเป็นวัดแรก


ต่อมาภายหลัง พระบาทสมเด็จมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่า 'วัดรังษีสุทธาวาส' ร่วงโรยมาก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวมกับวัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อพ.ศ.2458 ปัจจุบันยังคงเรียกส่วนที่เป็นวัดรังษีสุทธาวาสมาเดิมว่า 'คณะรังษี' และทรงโปรดให้สร้างพระตำหนักเพิ่มเติม รวมเรียก 'คณะตำหนัก' หนึ่งในนั้นคือ ตำหนักเพ็ชร เป็นพระตำหนักเก่าแก่ และมีความสำคัญ


พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง ตำหนักเพ็ชร ด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ถวายเป็นที่ทรงงานและท้องพระโรงแด่ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส หรือสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 10 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งเป็นพระราชโอรสในรัชกาลที่ 4 โดยมีการฉลองพระตำหนักแห่งนี้เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ.2457


ลักษณะสถาปัตยกรรม 'พระตำหนักเพ็ชร' มีดังนี้
- เป็นเรือนคอนกรีตชั้นเดียว
- หลังคามุงกระเบื้องเคลือบ
- สันหลังคาประดับด้วยปูนปั้นลายกระจัง
- หน้าบันประดับด้วยลายมหามงกุฎและวัชระ ล้อมรอบด้วยลายเครือเถา ด้านล่างลงมาเป็นชื่อตำหนัก
- ซุ้มประตูหน้าต่างทำด้วยไม้
- คันทวยเป็นลายดอกไม้
- ฐานแต่ละช่องประดับด้วยซุ้มดอกไม้ปูนปั้น
- เสาย่อเก็จประดับบัวหัวเสา
- พื้นปูด้วยหินอ่อน


ปัจจุบัน พระตำหนักเพ็ชรใช้เป็นสถานที่ประชุมกรรมการมหาเถรสมาคม ภายในห้องพระโรงเป็นที่ประดิษฐาน พระบรมรูปหล่อรัชกาลที่ 4 ปั้นขึ้นมาเป็นต้นแบบขนาดเท่าพระองค์จริงเป็นองค์แรก ทำด้วยปูนปลาสเตอร์ ฝีมือช่างไทยสมัยรัชกาลที่ 4 และได้กลายเป็นต้นแบบของพระบรมรูปหล่อต่างๆ ในเวลาต่อมา

นอกจากนี้ยังประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระรูปสีน้ำมัน สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, ตู้พัดยศ พัดรอง ซึ่งสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงจัดด้วยพระองค์เอง

ตลอดจนเครื่องใช้ส่วนพระองค์ของสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ก่อนๆ เช่น กลักใส่เครื่องใช้ประจำพระองค์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์, กล่องงาแกะสลักรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านบนแกะสลักเป็นรูปพญานาคพ่นน้ำ ล้อมรอบพระราชลัญจกร ประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้านข้างแกะเป็นรูปพญานาคพ่นน้ำขดกลับกันน 2 ตัว เป็นอาทิ

พระตำหนักเพ็ชร ตั้งอยู่ทางขวามือเมื่อเข้าจากทางหน้าวัด เดิมเคยเป็นที่ตั้ง 'โรงพิมพ์' ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สร้างขึ้นเมื่อครั้งทรงครองวัดนี้ สำหรับพิมพ์บทสวดมนต์และหนังสือพุทธศาสนาอื่นๆ แทนหนังสือใบลาน โดยใช้ตัวพิมพ์เป็นอักษรอริยกะที่ทรงประดิษฐ์ขึ้นใหม่


หลังจาก 'สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ' สิ้นพระชนม์แล้ว พระตำหนักเพ็ชรเป็นที่ตั้งพระศพ ที่ประชุมบำเพ็ญพระราชกุศลถวาย

เช่นเดียวกับในยามนี้ หลังจาก สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สิ้นพระชนม์ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2556 เวลา 19.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานพระศพสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ไว้ ณ พระตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร และถวายเกียรติตามราชประเพณีทุกประการ ทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทด้วยความเศร้าสลดพระราชหฤทัยอย่างยิ่ง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ไว้ทุกข์ในพระราชสำนักจาก 15 วัน เป็น 30 วัน นับตั้งแต่วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม 2556 ถึงวันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2556


พุทธศาสนิกชนรวมใจร่วมถวายอาลัยทั่วแผ่นดิน

ภาพ : ฐานิส สุดโต
อ้างอิง : www.watbowon.com